บทที่8 สร้างรากปราณ
บทที่8 สร้างรากปราณ
กว่าหานจินอี้จะไปถึงแหล่งน้ำเจอท้องฟ้าก็สว่างแล้ว นางจึงปลดอาภรณ์ที่เปื้อนเลือดที่แห้งกรังออกแล้วกระโจนลงไปล้างตัวที่น้ำตก น้ำในน้ำตกเย็นสบายไม่ได้เย็นระเยือกจนเกินไปจึงทำได้นางรู้สึกว่าไม่ได้หนาวจนเกินไป
ในระหว่างที่หานจินอี้กำลังดำผุดดำว่ายในน้ำตก ทว่าสายตาของนางก็พลันสะดุดเข้ากับถ้ำหลังม่านน้ำตก นางจึงแหวกว่ายเข้าไปใกล้ตรงหน้าถ้ำจากนั้นนางก็เข้าไปในถ้ำแล้วก็เอาอาภรณ์ชุดใหม่ออกมาจากกำไลมิติก่อนจะสวมใส่บนร่างเปลือยเปล่าของตนและที่นางจะเดินเข้าไปสำรวจด้านใน
พอนางเดินเข้าไปไม่ลึกนักก็พบว่าจากผนังถ้ำมีหินที่เรืองเเสงให้ความสว่างอยู่ภายในถ้ำ มันทำให้ในถ้ำไม่ได้มืดมิดเท่าที่ควรจะเป็น หานจินอี้จึงเดินเข้าไปในส่วนถึงของถ้ำขึ้นเรื่อยๆ จนมาหยุดที่บ่อน้ำเล็กที่อยู่ภายในถ้ำ
บ่อน้ำเล็กแห่งนี้เป็นสีฟ้ามรกตแวววาวพอมันกระทบเข้ากับหินเรืองที่เรียงรายอยู่กับผนังถ้ำแห่งนี้ มันก็ส่องประกายระยิบระยับคล้ายกับอัญมณีในโลกก่อนนางมิผิด หานจินอี้จึงย่อตัวนั่งลงใกล้ๆกับขอบบ่อด้วยความสนใจจากนั้นก็ลองควักน้ำขึ้นมาดื่ม
พอนางได้ดื่มน้ำในบ่อน้ำแห่งนี้ก็พลันรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าความเหนื่อยล้าในตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็พลันหายไปในชั่วพริบตา นางรู้สึกว่ามันพิเศษมากจึงเอาถุงน้ำที่นางดื่มน้ำหมดไปแล้วออกมา จากนั้นก็กรอกน้ำในบ่อในถุงน้ำจนเต็มแล้วก็เก็บเอาไว้ในกำไลมิติเหมือนเดิม
หานจินอี้สำรวจในถ้ำนี้อยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าที่นี่เหมาะกับการที่นางจะให้สร้างรากปราณใหม่ให้กับตนเองยิ่งนักทั้งเงียบสงบและไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวน ในถ้ำเเห่งนี้คงปลอดภัยสำหรับนางไปสักระยะหนึ่ง
จากนั้นหานจินอี้จึงนำเอาสมุนไพรที่เป็นส่วนผสมของโอสถสร้างรากปราณที่นางเอามันติดตัวมาด้วยกับอุปกรณ์อีกเล็กน้อย เมื่อนางเตรียมของจนครบก็เริ่มลงมือบดยาทันที นางไม่ได้มีพลังวิญญาณที่จึงไม่สามารถหลอมโอสถออกมาได้ ดังนั้นหานจินอี้จึงเลือกที่จะใช้วิธีโบราณจากโลกเก่าที่ตนจากมานั้นก็คือทำเป็นยาลูกกลอน
นางใช้เวลาอยู่หนึ่งก้านธูปกว่าจะทำยาลูกกลอนเสร็จ จากนั้นนางก็เดินเข้าไปนั่งสมาธิข้างๆกับบ่อน้ำมรกตที่อยู่ในถ้ำก่อนจะเอายาลูกกลอนเม็ดใหญ่เข้าปากของตน แล้วก็ใช้กำลังภายในชักนำยาลูกกลอนเข้าไปที่จุดตันเถียนที่อยู่ตรงท้องของตน
อ๊ากกก!
เสียงของหานจินอี้กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทรมาน ไม่คิดว่าการสร้างรากปราณขึ้นมาใหม่จะสร้างความเจ็บปวดมากมายให้กับตนเช่นนี้ มันเสมือนกับชีพจรของนางจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทว่านางก็ได้เเต่กัดฟันอดทนเอาไว้ นางต้องผ่านมันไปให้ได้โลกใบนี้มีเพียงผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดมาได้
ตูม!
ทันใดนั้นร่างของหานจินอี้ก็ล้มลงและตกลงไปในบ่อน้ำมรกตที่อยู่ด้านหลังของตน นางหวังว่าน้ำในบ่อน้ำแห่งนี้จะบรรเทาอาการเจ็บปวดของตนได้บ้าง ร่างของนางจมลงไปที่ก้นบ่อน้ำไปเรื่อยๆ ไม่นานความเจ็บปวดก็เริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ จากนั้นพลังวิญญาณสองสายก็ไหลเวียนอยู่ในจุดตันเถียนของตน
พลังวิญญาณสองสายนี้เป็นสีเขียวกับสีดำเห็นได้ชัดเจนว่าร่างนี้เป็นผู้มีพลังธาตุสองอยู่ในตัว พลังสองสายนี้ก็คือธาตุไม้กับธาตุมืด ผู้ที่มีพลังธาตุสองสายนั้นทั่วทั้งสองดินแดนแทบจะนับนิ้วได้เลยด้วยซ้ำ ร่างนี้ถือว่ามีพรสวรรค์อย่างเเท้จริง มิน่าถึงมีคนคิดทำร้ายเจ้าของร่างนี้
จากนั้นหานจินอี้ก็พุ่งตัวขึ้นมาจากส่วนลึกของบ่อน้ำแล้วพลังวิญญาณของนางก็เพิ่งขึ้นมาเรื่อยๆดาวดาราที่ปรากฏขึ้น จากที่เป็นสีเเดงทั้งหมดเก้าดวงก็ค่อยรวมตัวกันก็กลายเป็นดวงดาราสีส้มและมีกันทั้งหมดสามดวงด้วยกัน
ในตอนนี้หานจินอี้เป็นผู้มีพลังวิญญาณระดับจิตวิญญาณสามดารา ซึ่งข้ามขั้นไปถึงหนึ่งระดับใหญ่ทั้งยังเป็นผู้ใช้พลังสองสาย เป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้ร่างนี้ได้สะสมพลังวิญญาณไว้ในร่างกายเป็นจำนวนมาก ถ้าหากว่ารากปราณของเจ้าของร่างไม่ได้รับความเสียหายตั้งแต่ตอนคลอดปานนี้นางคงขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะของดินเเดนชิงหลงไปแล้ว แล้วเหตุใดรากปราณของร่างนี้ถึงได้รับความเสียหายขนาดนั้น เป็นไปได้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่นางยังไม่รู้เป็นแน่ พอนางกลับไปต้องถามแม่นมฉินเสียเเล้วว่าตกลงมันเกินสิ่งใดขึ้นกับร่างนี้กันแน่ ถึงมันจะเสี่ยงว่าความลับที่นางพยายามเก็บซ่อนไว้ถูกเปิดเผยก็ตามที
เมื่อเท้าของหานจินอี้เเตะลงพื้นแล้วนางก็หันไปมองบ่อน้ำมรกตทันที บ่อน้ำนี้หรือจะเป็นบ่อน้ำพิทย์วารีที่เขียนเอาไว้ในตำราเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนี้มันก็เป็นเรื่องดี ตอนนี้นางมีธาตุไม้ที่สามารถหลอมโอสถได้ น้ำทิพย์วารีสามารถช่วยให้โอสถที่หลอมออกมาบริสุทธิ์ถึงแปดส่วน ถ้าเป็นเช่นนั้นในเส้นทางของการหาเงินของนางมันก็ไม่เรื่องยากอีกต่อไป
การฝึกฝนพลังวิญญาณจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเป็นอย่างมาก นอกจะต้องมีพรสวรรค์แล้วก็ต้องมีกำลังทรัพย์ด้วย แก่นอสูรก็ล้วนแต่มีราคาเเพงกันทั้งนั้นแล้วไหนจะโอสถรวมปราณระดับสูงๆอีกก็ล้วนต้องใช้เงินซื้อ ยิ่งเป็นผลึกวิญญาณแล้วก้อนเล็กๆหนึ่งก็มีราคาหลายพันเหรียญทองแล้ว
เมื่อนางคิดถึงเรื่องเงินนางก็พึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตนได้ปล้นชิง....ไม่ถูกสิต้องเรียกว่าของขวัญปลอบใจถึงจะถูก หานจินอี้จึงเอาของเหล่านั้นออกมาดู ในแหวนมิติทั้งสี่ที่ได้มามีตั๋วเงินจำนวนหนึ่งเท่าที่นางดูคร่าวๆเเล้วน่าจะมีถึงสองพันเหรียญทองและยังมีแกนอสูรกับโอสถฟื้นฟูอีกไม่น้อย สมแล้วที่เป็นหอโอสถแม้แต่โอสถระดับห้าก็ยังมี
โอสถนั้นแบ่งเป็นสิบระดับนับตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับสิบ ยิ่งระดับสูงและความบริสุทธิ์ของโอสถมากเท่าไหร่ก็ยิ่งราคาสูงเท่านั้น
จากนั้นหานจินอี้จึงเก็บของทั้งหมดใส่ลงไปในกำลังมิติของตน โชคดีที่กำไลมิติที่พี่ชายของร่างนี้ให้มาสามารถเก็บของได้ไม่จำกัด มิเช่นนั้นมันคงเต็มไปนานแล้ว
เมื่อนางเก็บของจนหมดเเล้วก็ทำลายหลักทิ้งไป เพื่อไม่ให้พวกนั้นจับได้และเดินออกไปจากถ้ำทันที นางออกมาจากหายนานเกือบเดือนแล้วไม่รู้ว่ารั่วหลินนางยังจะรับมือได้หรือไม่ นางถึงมุ่งหน้ากลับไปที่จวนตระกูลหานทันที
หานจินอี้ใช้เวลาเดินทางกลับเพียงสี่วันเท่านั้นก็ถึงจวน เร็วกว่าตอนที่เดินทางไปป่าวิญญาณเสียอีกมีพลังวิญญาณที่ดีจริงๆ พอนางลอบเข้ามาในจวนได้เเล้วก็เข้าตรงไปที่เรือนหลันฮวาของตน
หานจินอี้เดินเข้าไปในเรือนของตนก็พบความว่ามันเงียบกว่าปกติ แต่พอนางเดินเข้าไปด้านในเรือนก็มีเสียงสตรีดังขึ้นมา " ยังดีที่รู้จักทางกลับจวนของตัวเอง "
ซ่างเหยาโหลวเอ่ยทักบุตรีของตนที่หายออกไปจากจวนนานนับเดือน
เมื่อหานจินอี้รู้ว่าเป็นผู้ใดจึงส่งยิ้มให้กับมารดาของเจ้าของร่างเหมือนคนสติไม่ดีอย่างเช่นเคย
" หึ!...เจ้าจะเสเเสร้งไปถึงเมื่อไหร่กัน! " ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามบุตรีของตนอีกครั้ง
หานจินอี้จึงปรายตารั่วหลินที่ยืนอยู่ด้านหลังมารดาของเจ้าของร่างอย่างต้องการคำตอบ
ส่วนรั่วหลินจึงส่งยิ้มแห้งๆให้กับผู้เป็นนายของตนและส่งสายตาบอกว่าความลับแตกแล้ว
" ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน " หานจินอี้เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของมารดาเจ้าของร่างเดิม
ซ่างเหยาโหลวมองดูบุตรีที่ตนคลอดตอนคลอดออกมาเองกับมือ ในตอนนั้นพอนางได้รับรายงานจากองครักษ์ลับบอกว่าหานจินอี้ลักลอบออกไปจากจวนกลางดึก นางก็รู้สึกเป็นห่วงจึงรีบมาที่เรือนหลันฮวาเค้นถามความจากปากรั่วหลินก็ได้รู้ว่าบุตรีของตนหายจากอาการสติไม่ดีนานแล้วและยังไปป่าวิญญาณเพื่อหาสมุนไพรมารักษารากปราณของตนและยังไปคนเดียวอีก
พอนางได้เห็นบุตรีกลับมาอย่างปลอดภัยนางก็รู้สึกโล่งใจ ถึงนางจะละเลยไม่สนใจหานจินอี้ก็จริง แต่ทว่านางก็ไม่เคยปล่อยให้การอยู่การกินของบุตรีผู้นี้ของนางให้ยากลำบาก ถึงจะให้อยู่เรือนหลังเล็กท้ายจวนแต่เครื่องเรือนทุกชิ้นรวมทั้งอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่ก็ล้วนแต่เป็นของใหม่และเป็นของที่ดีที่สุด
" ตั้งแต่วันเเรกที่เจ้าออกจากจวน " ซ่างเหยาโหลวเอ่ยตอบ แล้วพลางมองสำรวจบุตรีของตนอย่างละเอียดนางรู้สึกว่าหานจินอี้ดูเปลี่ยนกว่าเมื่อก่อนมาก
หากเป็นเมื่อก่อนบุตรีผู้นี้ของนางไม่กล้าเเม้แต่สบตากับนางเสียด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้กลับกล้าสบตานางอย่างตรงๆแล้วดูว่าจะโตขึ้นมาเเล้วจริงๆ ซ่างเหยาโหลวจึงเอ่ยขึ้นต่อ " เจ้ามีสิ่งใดจะถามผู้เป็นมารดาเช่นข้าหรือไม่ "
