บทที่3 ขายสมุนไพร
บทที่3 ขายสมุนไพร
หลังจากที่หานจินอี้กลับมาจากร้านขายสมุนไพรแล้วก็เริ่มทดลองหลอมโอสถตามตำราบอกไว้ หลังจากที่นางทดลองอยู่หลายวันก็ไปค้นพบปัญหาใหญ่ขึ้นมา นางไม่มีพลังวิญญาณจึงไม่สามารถจะหลอมโอสถขึ้นมาได้ จึงได้ปรับเปลี่ยนเเผนเป็นปลูกสมุนไพรที่ได้ราคาดีไปขายแทน มีโอกาสเกิดใหม่ทั้งทีจะให้นางมีชีวิตที่ดีบ้างมิได้หรือ สวรรค์เหตุใดถึงได้เล่นตลกกับชีวิตของนางนัก!
นางได้มาอยู่บนโลกใบนี้ได้สามกว่าเดือนแล้วก็ค้นพบความจริงว่าร่างกายนี้อ่อนแอแค่ไหน แค่ออกแรงปรับหน้าดินเพื่อทำแปลงปลูกสมุนไพรได้ไม่ถึงเค่อก็เหนื่อยเสียแล้วสู้กระทั่งรั่วหลินที่อายุน้อยกว่าไม่ได้ จนทุกวันนี้นางตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างออกมาฝึกฝนร่างกายตามแบบในชาติก่อนที่พ่อบุญธรรมเคยสอนไว้ตั้งแต่นางยังเล็ก
พ่อบุญธรรมของนางเป็นหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายที่รัฐบาลทั่วโลกต่างกันต้องการตัวรวมถึงตัวของนางด้วยเช่นกัน ทั้งนางและพ่อบุญธรรมถูกหมายหัวจากรัฐบาลทั่วโลกเลยทีเดียว พ่อบุญธรรมของนางมีเชื้อสายจีนเลยสอนศาสตร์การต่อสู้แบบโบราณให้นางรวมถึงกำลังภายในด้วย ทีแรกนางก็ไม่อยากเชื่อว่ากำลังภายในมีอยู่บนโลกด้วยเคยได้ยินแต่ในตำนานเท่านั้น พอเห็นพ่อบุญธรรมได้แสดงให้ดูตัวของนางก็รีบรกเร้าสอนให้ตน
ตอนนั้นนางยังเด็กไม่รู้เรื่องราว พอโตมาหน่อยก็รู้ว่าที่พ่อบุญธรรมเเสดงให้ดูในวันนั้นมันเป็นแผนที่ล่อลวงนางนั้นเอง นางอยากรู้นักถ้าพ่อบุญธรรมรู้ว่านางได้ตายไปแล้วจะแสดงสีหน้าเป็นเช่นไร จะเสียใจหรือว่าเรียบเฉย....
ในระหว่างที่หานจินอี้กำลังออกทางท่าแปลกอยู่ที่ลานหน้าเรือนตนอยู่นั้นรั่วหลินก็วิ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น " คุณหนูแย่แล้วเจ้าค่ะ! องค์ชายสี่มาขอถอนหมั้นกับคุณหนูแล้ว "
รั่วหลินได้ยินบ่าวในจวนเล่าให้ฟังก็รีบวิ่งมารายงานนายของตนทันที เมื่อวิ่งมาถึงหน้าเรือนก็พบว่าคุณหนูของตนกำลังออกท่าทางแปลกประหลาดอยู่ตรงลานหน้าเรือนเช่นเคย รั่วหลินเห็นคุณหนูของตนทำเช่นนี้มาหลายวันแล้ว แรกเริ่มนางก็รู้แปลกใจอยู่บ้างพอนานเข้าก็เริ่มชินชาไปเสียแล้ว
ต่อมารั่วหลินก็เริ่มเข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูของจนถึงทำเช่นนี้เพราะนางโดนคุณหนูลากตัวมาทำท่าทางประหลาดด้วยกันทุกเช้า ตอนนี้ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก ก็เริ่มเข้าใจเหตุผลของคุณหนูของตนขึ้นมา
หานจินอี้ได้ยินสาวใช้ของตนตะโกนมาแต่ไกลก็หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ แล้วค้นความทรงจำเจ้าของร่างเดิมว่าองค์ชายสี่คือผู้ใด ต่อมารู้ว่าองค์ชายสี่คือคู่หมั้นของร่างเดิม ซึ่งองค์ชายสี่ผู้นั้นไม่พอใจกับการหมั้นหมายในครั้งนี้ตั้งแต่แรกเพราะเจ้าของร่างเดิมเป็นคนสติไม่ดีแถมยังไม่มีพลังวิญญาณคาดว่าคงใช้โอกาสนี้มาถอนหมั้นกระมัง ในปีนี้องค์ชายสี่ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว
" ถอนก็ถอนไปสิ " หานจินอี้เอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา สำหรับบุรุษที่เห็นแก่ผลประโยชน์เช่นนั้นไม่ควรให้นึกถึง
รั่วหลินได้ยินเช่นนั้นก็งุนงงขึ้นมา ถ้าปกติคุณหนูของตนได้ยินว่าองค์ชายสี่มาก็ต้องรีบไปหาทันทีมิใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงได้นิ่งเฉยเช่นนี้
" คุณหนูไม่ไปหาองค์ชายสี่หรือเจ้าคะ "
" ไม่ คาดว่าอีกไม่ท่านแม่คนดีของข้าคงจะให้คนมาตามข้าไปเป็นแน่ เจ้าก็บอกว่าเมื่อคืนข้าต้องลมหนาวไม่สบาย " เอ่ยจบหานจินอี้ก็เดินเข้าไปในเรือน เพื่อไปหยิบของหมั้นหมายออกมาจากกล่องไม้แล้วส่งให้กับรั่วหลินที่เดิมตามมาติดๆ " เอาของหมั้นหมายคืนให้กับองค์ชายสี่ด้วย "
รั่วหลินก็ได้แต่รับของมาจากนายของตนอย่างเงียบๆ ช่วงสามเดือนมานี้คุณหนูของตนเปลี่ยนไปมากมิเหมือนคนสติไม่ดีเลยสักนิด ว่ากันว่าคนที่ผ่านความตายมาดูแล้วจะเปลี่ยนไปราวกับคนละคนคงจะเป็นจริง
เวลาผ่านไปไม่นานก็มีสาวใช้จากเรือนใหญ่มาหาคุณหนูของนางจริงดังที่คุณหนูคาดการณ์ไว้ รั่วหลินจึงบอกตามที่คุณหนูบอกไว้แล้วคืนของหมั้นหมาย เมื่อสาวใช้ได้ของหมั้นหมายมาแล้วก็รีบหมุนตัวออกไปด้วยท่าทางรีบร้อน
สามเดือนต่อมาสมุนไพรชุดเเรกก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว หานจินอี้กับรั่วหลินก็ช่วยกันเก็บเกี่ยวสมุนไพรชุดเเรก ทั้งสอนคนใช้เวลาอยู่กว่าครึ่งวันถึงจะเก็บเสร็จ
" สมุนไพรมากเช่นนี้ถ้านำออกไปคนต้องสงสัยแน่ " หานจินอี้เอ่ยขึ้นมา
รั่วหลินจึงพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพึ่งจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงบอกกับนายของตน " คุณหนู! มิใช่ว่าคุณชายใหญ่เคยมอบกำไลมิติให้กับคุณหนูหรือเจ้าคะ "
หานจินอี้ได้ยินที่รั่วหลินกล่าวก็รับค้นดูที่ที่เจ้าร่างเดินชอบซ่อนสมบัติไว้ก็พบว่ามีกำไลวงหนึ่งวางอยู่จริงๆ นางจึงหยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามันเป็นกำไลหยกมันแพะสีขาวสลักลวดลายดอกไห่ถังที่เจ้าของร่างเดิมชื่นชอบ
กำไลมิตินี้เป็นพี่ชายเจ้าของร่างเดิมมอบให้ไว้เมื่อครั้งกลับมายังจวน กำไลมิตินี้สามารถใช้เก็บของได้มีพื้นที่ไม่จำกัด ที่พิเศษยิ่งกว่านั้นคือกำไลมิติวงนี้ในที่ไม่มีพลังวิญญาณเช่นนางก็สามารถใช้ได้ เห็นได้ชัดว่าพี่ชายเจ้าของร่างเดิมนี้ใส่ใจแค่ไหน บนโลกใบนี้มีเพียงหานเจี้ยนเฉิงที่ดีกับนาง หัวใจที่ด้านชาของนางก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
จากนั้นหานจินอี้กวาดสมุนไพรที่เก็บมาเข้าใส่ในกำไลมิติแล้วเปลี่ยนอาภรณ์จากผ้าไหมเนื้อดีเป็นผ้าฝ้ายธรรมดา จากนั้นทั้งสองก็พากันไปที่ร้านขายสมุนไพรทันที
ร้านสมุนไพรที่หานจินอี้เลือกนั้นเป็นร้านที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ทั้งยังให้ราคายุติธรรมที่สุดในเมืองหลวงแล้ว เมื่อทั้งสองคนเข้าไปในร้านก็พบกับเสี่ยวเอ้อร์ยืนอยู่ที่โต๊ะคิดเงิน เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นจึงเอ่ยถามขึ้น " แม่น้องน้อยทั้งสองมาซื้อสมุนไพรหรือมาขายสมุนไพรขอรับ "
" มาขายเจ้าค่ะ " รั่วหลินเอ่ยขึ้น
หานจินอี้จึงนำสมุนไพรทั้งหมดที่เก็บมาเกือบสามสิบต้นออกมา แต่ละต้นของสมุนไพรล้วนแต่ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งยังเป็นสมุนไพรที่มีราคาสูง
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นสมุนไพรหายากอีกทั้งยังมีเกือบสามสิบต้นก็เอ่ยขึ้น " เเม่นางรอสักครู่ขอรับ ข้าจะไปเรียกเถ้าแก่มาดู "
เสี่ยวเอ้อร์จากไปได้ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับชายวัยกลางคนท่านหนึ่ง " เถ้าแก่ เเม่นางน้อยทั้งสองคนนี้แหละขอรับ "
เก่าแก่ร้านสมุนไพรก็มองสำรวจดรุณีน้อยทั้งสองคน ถึงทั้งสองจะส่วนใส่ผ้าฝ้ายธรรมดาเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป ทว่ามีอยู่คนหนึ่งที่หน้าตางดงามและมีราศีไม่เหมือนชาวบ้านเลยคาดว่าน่าจะเป็นคุณหนูจากตระกูลไหนสักตระกูลเสียมากกว่า
จากนั้นเถ้าแก่ร้านก็เดินเข้าไปตรวจสอบสมุนไพรที่ทั้งสองนำมาเสร็จแล้วก็เอ่ยขึ้น " สมุนไพรที่แม่นางทั้งสองนำมาครบทวนสมบูรณ์ ข้าให้ต้นละสองเหรียญทอง แม่นางทั้งสองเห็นว่าเช่นไร "
หานจินอี้คาดเดาราคาไว้อยู่แล้วก็ตกลงทำการค้าทันที สมุนไพรมีอยู่ทั้งหมดยี่สิบแปดต้นรวมเป็นห้าสิบหกเหรียญทอง เมื่อหานจินอี้ได้รับเงินแล้วก็เก็บเข้าไปในกำไลมิติทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้นถาม " ข้ายังมีสมุนไพรที่ยังไม่เก็บอยู่อีกมาก ไม่ทราบว่าเถ้าแก่ยังจะรับซื้ออยู่หรือไม่ "
เถ้าแก่ร้านสมุนไพรเมื่อรู้ว่าดรุณีน้อยทั้งสองยังมีสมุนไพรหายากอยู่อีกก็รีบตอบตกลงอย่างยินดี สมุนไพรหากยากเหล่านี้ล้วนแต่เป็นที่ต้องการของผู้ปรุงโอสถทั้งหลายและขายได้ราคาสูงเหตุใดเขาจะไม่ยินดี
เมื่อหานจินอี้ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เก้าแก่ร้านขายสมุนไพรตอบตกลง จากนั้นทั้งสองก็เดินออกไปจากร้านทันที
สามวันต่อมาหานจินอี้กับรั่วหลินก็กลับไปขายสมุนไพรที่ร้านเดินอีกครั้ง และในครั้งสมุนไพรที่นำมาก็เยอะกว่าเดิม ก่อนกลับหานจินอี้ก็เลือกซื้อเมล็ดพันธุ์สมุนไพรหายากไปอีกจำนวนหนึ่งทั้งยังพบกับต้นจวินซานที่เป็นส่วนผสมของโอสถสร้างรากปราณอีกด้วย นางจึงซื้อกลับไปถึงมันจะทำให้เงินที่ขายสมุนไพรได้ในครั้งนี้ไม่เหลือก็เถอะ
