บทที่18 กราบอาจารย์
บทที่18 กราบอาจารย์
ดวงดาราสีแดงสดปรากฏขึ้นรอบๆตัวของหานจินอี้เห็นได้ชัดว่านางอยู่ในระดับจิตวิญญาณห้าดารา ด้วยอายุของนางมีระดับพลังวิญญาณเท่านี้ถือว่าเป็นยอดอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก ทว่าเมื่อมองดูดีก็พบว่ามีอักขระสีดำเล็กๆล้อมรอบดวงดาราทั้งห้าดวงไว้
" นี่เจ้า! " ป๋ายซ่างมองหานจินอี้อย่างไม่เชื่อสายตา วิชาที่สืบทอดต่อของบรรพบุรุษของตระกูลป๋ายมาหลายชั่วอายุคนที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทั้งที่เขาพยายามตามหาแทบพลิกแผ่นดินแต่เคล็ดวิชากลับมาอยู่ในมือดรุณีน้อยนางนี้เสียได้
วิชาอักขระโบราณเดินทีเป็นเคล็ดวิชาลับของตระกูลป๋ายที่สืบทอดกันมาหายชั่วอายุคน ทว่าเมื่อร้อยปีก่อนผู้หวาดกลัววิชาลับนี้จึงได้รวมยอดฝีมือของทั้งสองดินแดนเพื่อจำกัดคนตระกูลป๋าย คนตระกูลป๋ายนับร้อยชีวิตไม่ว่าจะสายหลักหรือสายรองโดนกวาดล้างภายในคืนเดียว มีแค่ไม่กี่คนที่เหลือรอดออกมาได้และในคืนนั้นเองเคล็ดวิชาลับของตระกูลก็หายสาบสูญไปเช่นเดียวกัน ส่วนคนที่เหลือรอดมาได้ก็รวมตัวกันก่อตั้งอารามแห่งความมืดนี้ขึ้นมา
ป๋ายซ่างลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้าหาหานจินอี้ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างกุมไหลของนางแน่นและหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง " ฮ่าๆๆ...ในที่สุดสวรรค์ก็เห็นใจคนตระกูลป๋ายของพวกเราแล้ว "
หานจินอี้มองหน้าป๋างซ่างอย่างงุนงงไม่เข้าใจว่าผู้อาวุโสท่านนี้หมายความว่าเช่นไร โดยปกติแล้วถ้ารู้ว่านางฝึกศาสตร์ต้องห้ามนี้ตกหวาดกลัวนางสิถึงจะถูกมิใช่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้
ป๋ายซ่างเห็นใบหน้าที่งุนงงของหานจินอี้แล้วก็ปล่อยมือที่กุมไหลของนางออกก่อนจะเดินเอามือไขว้หลังก่อนเอ่ยอธิบาย " นังหนู เจ้าคงสงสัยสินะว่าเหตุใดข้าถึงได้ดีใจเช่นนี้ "
" เจ้าค่ะ เป็นดังที่ผู้อาวุโสกล่าว "
" นังหนูเจ้าแซ่หานสินะ ถ้าให้ข้าเดาเจ้าคือบุตรีคนที่ห้าของตระกูลหาน หานจินอี้ถูกหรือไม่ " หานจินอี้จึงพยักหน้าก่อนที่ป๋ายซ่างจึงจะเอ่ยต่อ " ข้าจะบอกอะไรให้วิชาอักขระโบราณนี้เดินที่เป็นเคล็ดวิชาลับของตระกูลป๋าย คนที่ฝึกฝนวิชานี้สำเร็จจะเป็นผู้ทรงพลังยากจะคาดเดา เดิมทีบรรพชนของตระกูลป๋ายของข้าเป็นคนคิดค้นวิชานี้ขึ้นมา ต่อมาเป็นเพราะพวกขี้ขลาดตาขาวพวกนั้นหวั่นแกร่งอานุภาพของมัน จึงได้รวมยอดฝีมือของจากสองดินแดนรวมตัวกันกวาดล้างคนตระกูลป๋ายนับร้อยภายในคืนเดียว "
หานจินอี้ได้ฟังความเป็นมาของวิชาที่ตนสุ้มฝึกอย่างเงียบๆแล้วยกยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน ตนเองไม่มีความสามารถเองแท้ๆพอคนผู้อื่นมีความสามารถมากกว่าก็คิดกำจัดให้สิ้นซากอย่างหรือ...ช่างน่าขันเสียจริง
จากนั้นป๋ายซ่างจึงหันกลับมามองหานจินอี้อีกครั้ง " เหอะ!...วิชามารอันใดกันคนพวกนั้นก็แค่หวาดกลัวเคล็ดวิชานี้เท่านั้น! นังหนูเจ้ายินดีให้ข้าเป็นอาจารย์หรือ ข้าจะถ่ายทอดทุกอย่างที่ข้ารู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชานี้ให้แก่เจ้าเอง "
หานจินอี้ได้ยินก็คุกเข่าคงและล้มลงคารวะป๋ายซ่างเป็นอาจารย์ " ข้า...หานจินอี้คารวะท่านอาจารย์ "
ป๋ายซ่างเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจ เขารู้สึกถูกชะตากับนังหนูคนนี้ตั้งแต่เเรกเห็น ยิ่งรู้ว่านางมีตำราอักขระโบราณที่หายสาบสูญไปนานของตระกูลป๋ายแล้วก็ยิ่งรู้สึกดีกับนางมากขึ้นไปอีก
จากนั้นป๋ายซ่างก็ประคองศิษย์รักของตนลุกขึ้นแล้วเอ่ยขึ้น " นี่ก็ค่ำมืดแล้วพวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ ผู้ใดอยู่ด้วยนอกบ้างมานำทางศิษย์รักของข้าไปที่พักหน่อย "
พอสิ้นเสียงของป๋ายซ่างก็มีคนเข้ามาพาหานจินอี้กับรั่วหลินไปยังที่เรือนพักที่ป๋ายซ่างเตรียมเอาไว้ ป๋ายซ่างได้ให้เตรียมที่พักให้กับหานจินอี้ตั้งแต่เขากลับจากป่าวิญญาณเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว ของทุกอย่างถูกคัดสรรมาอย่างดีเพื่อศิษย์คนดีของตนโดยมิรู้ว่าหานจินอี้จะตอบตกลงหรือไม่
แม้กระทั่งลี่เจวี๋ยก็ยังส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายกับการกระทำของบิดาบุญธรรมของตน ยังดีที่หานจินอี้ยอมตกลงแต่โดยดีมิเช่นนั้นข้าวของเครื่องใช้พวกนี้ที่เตรียมไว้นับว่าเสียเปล่าแล้ว ไม่นานข่าวเจ้าอารามรับศิษย์ก็แผ่กระจายไปทั่วขุมกำลังไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในอารามหรือคนที่ทำภารกิจอยู่ด้านนอก ซึ่งสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากเป็นที่รู้กันว่าเจ้าอารามของพวกตนไม่ใช่คนที่จะรับศิษย์กันง่ายๆ
สองปีต่อมา
สองดินแดนมีข่าวลือแผ่กระจายว่ามีผู้ใช้วิชาต้องห้ามปรากฏขึ้น ว่ากันว่าคนผู้นั้นเป็นสตรีผู้หนึ่งทั้งยังเป็นศิษย์คนโปรดของเจ้าอารามแห่งความมืดที่เป็นสายเลือดของตระกูลป๋ายที่เหลือรอดสังหารหมู่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งนั้นก็ได้สร้างความหวาดผวาให้คนทั้งสองคิดแดนเป็นอย่างมากเพราะกลัวว่าคนตระกูลป๋ายจะเปิดศึกล้างเเค้น ทางวิหารแห่งเเสงจึงส่งคอยออกสืบหาคนที่ใช้วิชา ทว่าก็มิมีผู้ใดเคยเห็นหน้าค่าตาของสตรีผู้นั้นเลยแม้กระทั่งคนในขุมกำลังด้วยเช่นกัน
" เสี่ยวจิน " ลี่เจวี๋ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับโบกมือให้กับสตรีสวมหน้ากากที่นั่งอยู่บนหลังคาส่วนอีกมือก็ชูไหสุราให้นางดู
หานจินอี้กำลังโคจรพลังอยู่บนหลังคาเรือนพักของตนไว้พักใหญ่แล้ว พอได้ยินเสียงศิษย์พี่ของตนเรียกจึงส่งยิ้มให้กับเขาก่อนจะเหินลงไปด้านลง " ศิษย์พี่ สุรานี้คงจะเป็นของดีจากเมืองหลินโจกระมัง "
" ใช่แล้ว....ขากลับข้าเเวะซื้อมาแต่ไม่รู้ว่ามันจะรสชาติดีเหมือนสุราดอกสาลี่ที่เจ้าหมักไว้หรือเปล่า "
" เช่นนั้นก็ลองชิมดู " หานจินอี้เอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเคียงค้างกับลี่เจวี๋ยไปที่ชานเรือนก่อนจะนั่งร่ำสุราด้วยกันไปพลางพร้อมทั้งพูดคุยเรื่องราวต่างๆไปพลาง
สองปีมานี้หานจินอี้อาศัยอยู่ที่ขุมกำลังอารามแห่งความมืด นางรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันเพราะคนที่นี่อยู่กันเหมือนกับครอบครัวมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง ส่วนอาจารย์กับศิษย์พี่ก็รักใคร่เอ็นดูนางมาตลอดสองปีที่ผ่านมาไม่เคยทำให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยเเม้แต่น้อย ตอนนี้เคล็ดวิชาต้องห้ามกับพลังวิญญาณของนางได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งและนางก็ได้ฝึกฝนวิชาควบคุมจิตใจควบคู่กับวิชาอักขระต้องสาป
เหตุผลที่ฝึกวิชาควบคุมจิตใจก็เพราะเคล็ดวิชาอักขระต้องสาปพอฝึกไประดับหนึ่งแล้วผู้ฝึกจะมีจิตด้านลบเกิดขึ้น จึงได้มีเคล็ดวิชานี้ขึ้นมาควบคุมจิตใจของผู้ฝึกวิชาอักขระต้องสาป ซึ่งสองเคล็ดวิชานี้ก็มีเเต่ในคนตระกูลป๋ายเท่านั้นที่รู้ ตอนนี้จึงกลายเป็นว่านางเป็นผู้สืบทอดของตระกูลป๋ายไปเสียแล้ว
สองปีที่ผ่านมาระดับพลังวิญญาณของนางก็ก้าวหน้าขึ้นมาก ตอนนี้นางก็อยู่ในระดับมายาสองดาราแล้ว ซึ่งอายุเท่านางแทบจะมิมีผู้ใดบรรลุระดับนี้มาก่อน ส่วนมากคนที่อายุในระดับนี้มักมีอายุเลยยี่สิบกว่าปีเข้าไปแล้ว แต่ก็มิใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้ใดเลยที่บรรลุระดับมายามาก่อนและเว่ยตงหนานก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น ได้ยินว่าตอนนี้เขาใกล้จะบรรลุระดับนภาเต็มที
ในตอนนี้หานจินอี้ก็อายุครบสิบห้าปีแล้วไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาของนางต่างก็งดงามขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อนมาก โดยเฉพาะส่วนสูงของนางที่สูงกว่าสตรีในวัยเดียวกับนาง
เมื่อสองสัปดาห์ก่อนมารดาของนางส่งจดหมายมาว่าในจวนมีปัญหาจึงได้เลื่อนพิธีปักปิ่นของนางออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด พอให้คนไปสืบข่าวก็ได้ความว่าพี่สามของนางลงมือทำร้ายคุณหนูจวนขุนนางใหญ่ตระกูลหนึ่งบาดเจ็บหนักจนถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเกือบครึ่งเดือนเพราะหึงหวงองค์ชายสี่ ทำให้ขุนนางท่านนั้นร้องเรียนตระกูลหานต่อหน้าฮ่องเต้จนกลายเป็นเรื่องใหญ่
" จริงสิ นี่เงินของเจ้า " เสียงของลี่เจวี๋ยเอ่ยขึ้นทำให้หานจินอี้หลุดออกจากภวังค์ความคิดของตน
จากนั้นหานจินอี้จึงยื่นมือไปรับถึงเงินจากลี่เจวี๋ยก็ลองช่างน้ำหนักด้วยมือเปล่าดูก็ปรากฏว่าถุงเงินที่ได้มานั้นหนักสมควร คาดว่าเงินในถุงคงมีไม่ต่ำกว่าร้อยเหรียญทองเป็นเเน่ " ขอบใจศิษย์พี่ที่เป็นธุระให้ "
" เรื่องเล็กน้อย ว่าแต่เจ้าจะกลับจวนตระกูลหานไปวันไหนหรือ " ลี่เจวี๋ยถามจบก็ยกไหสุราที่ขึ้นดื่มต่อ
" คงจะรอให้ท่านเเม่ข้าส่งข่าวมาอีกทีเจ้าคะ "
" เรื่องตระกูลของเจ้าข้าให้คนไปสืบมาแล้ว เรื่องทั้งหมดเกิดจากองค์ชายสี่ผู้นั้น " ลี่เจวี๋ยเอ่ยบอกกับศิษย์น้องของตนด้วยสีหน้าจริงจังกว่าปกติ " ทางที่ดีเจ้าคิดหาวิธีให้ตระกูลหานตัดขาดกับองค์ชายสี่ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า "
เมื่อหานจินอี้ได้ยินที่ศิษย์พี่ของตนกล่าวก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจก่อนจะเอ่ยขึ้น " ถ้าทำให้ง่ายขนาดนั้นคงดีสิ ท่านก็รู้จักพี่สามของข้าดีว่านางหลงองค์ชายสี่มากแค่ไหน "
ลี่เจวี๋ยได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันให้กับความโง่งมของสตรีผู้นั้นก่อนจะเอ่ยขึ้น " สตรีโง่งมผู้นั้นโดนองค์ชายสี่หลอกใช้เเล้วยังไม่รู้ตัวอีก ข้าละสงสัยจริงว่านางใช่พี่สาวเจ้าจริงหรือเหตุใดถึงเเตกต่างกับเจ้าราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ "
" แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยเห็นข้าเป็นน้องอยู่แล้ว นางจะทำอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับข้า ทว่าเรื่องนี้ทำให้ตระกูลหานเดือดร้อนเรื่องนี้ข้าคงปล่อยผ่านไปมิได้ " หานจินอี้เอ่ยขึ้นพร้อมกระดกสุราเข้าปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อสุราหมดแล้วทั้งสองคนจึงเเยกย้ายกันไปพักผ่อน
