บทที่17 อารามเเห่งความมืด
บทที่17 อารามเเห่งความมืด
" เรื่องนี้ข้ามิสนใจหรอกเจ้าค่ะ ข้าสนใจแค่ผลลัพธ์ของมันเท่านั้น ข้าไม่อยากอ่อนแออีกต่อไปแล้ว พี่ใหญ่ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนข้าเกือบตายเพราะพี่สามมาเเล้ว "
" ข้า... " เหตุใดเขาจะไม่รู้ เรื่องนี้ทำให้เขาเสียใจอยู่เรื่อยมาที่เขาไม่สามารถที่จะปกป้องน้องสาวร่วมมารดาของตนได้ จนทำให้นางเลือกที่จะเดินทางเส้นสายนี้ เรื่องนี้ที่ทำให้รู้ว่าเขาไร้ความสามารถแค่ไหนที่ไม่สามารถปกป้องน้องสาวให้อยู่อย่างปลอดภัยไร้กังวลได้
หานจินอี้มองดูสีหน้าที่เจ็บปวดใจของพี่ชายของเจ้าของร่างอย่างเงียบๆก่อนจะตัดใจเอ่ยขึ้น " เฮ้อ ข้ารู้ว่าท่านพี่เป็นห่วงข้าแต่ท่านจะปกป้องข้าได้ตลอดเซียวหรือ ข้าก็ไม่อยากจะเป็นภาระให้กับท่านและเป็นกำลังให้กับพวกท่านได้บ้าง มิใช่เคยให้ท่านกับท่านแม่เคยปกป้องเช่นนี้ "
หานเจี้ยนเฉิงได้ยินน้องสาวของตนกล่าวออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกนางสาวของจนเหมือนกับคนแปลกหน้า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่หานจินอี้เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ได้
" ท่านพี่ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นข้าสามารถฝึกมันได้ข้าก็ย่อมมีหนทางออกได้เช่นกัน ที่ข้ามาที่นี่เพราะว่ามีผู้อาวุโสในขุมกำลังอารามแห่งความมืดสนใจรับข้าเป็นศิษย์ ข้าดูแล้วว่าผู้อาวุโสผู้นั้นจะเป็นคนที่มีอำนาจในขุมกำลังนั้น อีกอย่างข้าก็สวมหน้ากากปิดปังใบหน้าไม่มีผู้ใดรู้หรอกว่าข้าคือคุณหนูของตระกูลหานท่านวางใจได้ "
" ถ้าเจ้าตัดสินใจเเล้วก็เช่นนั้นแล้วข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก แต่เจ้าต้องสัญญากับพี่ก่อนว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรเกินตัว " หานเจี้ยนเฉิงยอมตกลงให้ที่สุด ส่วนเหตุผลที่เขายอมตกลงนั้นเป็นเพราะเขาเห็นเเววตาที่เเสนจะดื้อรั้นของหานจินอี้ ถ้าหากเขาไม่ยินยอมนางก็จะเลือกเดินในเส้นทางนี้อยู่ดี
" เจ้าค่ะ ข้ารับปากว่าจะไม่ทำอะไรเกิดตัวเด็ดขาด " หานจินอี้รับปากย่างว่าง่าย
" เช่นนี้ก็ดี พี่ว่าเราควรกลับกันได้แล้ว " เอ่ยจบหานเจียนเฉิงก็พาผู้เป็นน้องกลับไปยังจุดเดิมที่พวกเขาจากมา
' ข้าต้องเเข็งแกร่งมากกว่านี้ จึงจะสามารถปกป้องน้องสาวที่ตนรักได้ ' หานเจี้นเฉิงปฏิญาณไว้ในใจด้วยใจเเววตาอันมุ่งมั่น
เมื่อทั้งสองกลับไปรวมกลุ่มแล้วก็เห็นว่าคนที่เหลือทำแผลกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนึ่งในศิษย์ของสำนักหมื่นเมฆาที่เป็นคนถามเรื่องน้ำทิพย์วารีของหานจินอี้ก็เอ่ยขึ้นถาม " แม่นางเรื่องน้ำทิพย์วารีเจ้าสนใจขายให้ข้าได้หรือไม่ เจ้าเสนอราคาเท่าไรข้ายอมจ่าย "
เป็นที่รู้กันดีว่าน้ำทิพย์วารีเป็นของล้ำค่ามิจะเป็นผู้ปรุงโอสถหรือผู้ฝึกยุทธ์ก็ต่างก็ต้องการกันทั้งนั้น หานจินอี้ได้ยินว่าตนสามารถเสนอราคาเท่าไรก็ได้ดวงตาหงส์ของนางก็เป็นประกายขึ้นทันที ถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะมิได้เดือดร้อนเรื่องเงินแล้วก็ตามแต่ถ้ามีเงินติดตัวไว้เยอะหน่อยก็ดีมิใช่หรือ อย่างไรถ้าหมดนางก็สามารถไปเอาอีกได้เพราะเส้นทางไปถ้ำใต้น้ำตกนางได้จดจำไว้ในหัวเรียบร้อยแล้ว
ทันใดนั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นมุมปากของหานจินอี้จนทำให้คนถามถึงกลับขนลุกชันขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากพี่ชายคนดีของนางกับเอ่ยขึ้นขัดเสียก่อน " อี้เอ๋อร์ เจ้าต้องไปถึงอารามแห่งความมืดก่อนค่ำมิใช่หรือ พี่ว่าเจ้ากับรั่วหลินรีบหน่อยก็ดีเหมือนกัน "
ด้วยนิสัยของหานจินอี้มีหรือที่นางจะยอมปล่อยเงินก้อนโตไปง่ายๆ ทว่าพอเห็นผู้เป็นพี่มองมาด้วยสีหน้าอึมครึมเช่นนั้นก็ได้แต่ล่าถอยไปและพารั่วหลินจากไปทันที
เมื่อหานเจี้ยนเฉิงเห็นว่าน้องสาวและสาวใช้คนสนิทของนางได้จากไปก็หันมาเอ่ยขึ้นเว่ยตงหนาน " ตงหนานขอบคุณเจ้ามาก หากข้าไม่ได้เจ้าคงต้องแย่แน่ "
" เจี้ยนเฉิง...เจ้ากับข้าล้วนเป็นสหายกันมีสิ่งใดต้องเกรงใจเล่า " เว่ยตงหนานเอ่ยตอบสหายตนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เขากับหานเจี้ยนเฉิงถึงจะรู้จักกันก่อนที่ยังไม่เข้าสำนักทว่าก็มิได้สนิทสนมนักเช่นนี้ แต่พอได้เข้าศึกษาในสำนักพร้อมกันและผ่านความลำบากหลายๆอย่างมาด้วยกันจนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทดังเช่นทุกวันนี้
ที่เขาให้คนไปจับตาที่จวนตระกูลหานส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวว่าตระกูลหานจะโดนองค์ชายสี่หลอกใช้และก็รู้ด้วยว่าหานเจี้ยนเฉิงนั้นทั้งรักทั้งห่วงหานจินอี้ที่เป็นน้องสาวร่วมมารดาแค่ไหนเขาไม่อยากให้หานเจี้นเฉิงเข้ามากับความขัดแย้งในราชสำนัก แต่เมื่อเขานึกถึงหานจินอี้ภาพในหัวของเขาก็พลันนึกถึงใบหน้าน้อยๆของนางเวลาที่โกรธเขาตอนที่รบกวนการนอนของนาง ใบหน้าอันหล่อเหล่าราวกับเทพเซียนของเขาก็หลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
" เจี้ยนเฉิง เจ้ารู้จักเเม่นางน้องสองคนนั้นด้วยหรือ " โจวฉือซิงที่เพื่อนร่วมทีมเอ่ยขึ้นถามอย่างสงสัย
" ข้าว่าเราจัดการอสรพิษตัวนี้ก่อนดีกว่า " หานเจี้ยนเฉิงมิตอบคำถามของสหายรวมทีมทว่าเขากลับเบนความสนใจไปยังอสรพิษยักษ์ที่นอนอยู่ที่พื้น เมื่อทั้งหมดจัดการอสรพิษยักษ์ตัวนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางไปทำภารกิจของพวกตนต่อ
ส่วนทางด้านหานจินอี้กับรั่วหลินหลังจากที่แยกจากหานเจี้ยนเฉิงแล้วก็มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาหิมะที่ตั้งของขุมกำลังอารามแห่งความมืดทันที ทั้งสองให้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วยามกว่าจะถึง
ณ ประตูใหญ่ทางเข้าของอารามแห่งความมืดบนเทือกเขาหิมะ
" พวกเจ้าเป็นใคร แจ้งนามของพวกเจ้ามา " ยามที่เฝ้าหน้าประตูเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาเห็นคนที่ไม่ใช่คนของอารามของตน สตรีทั้งสองนางตรงหน้าสวมหน้ากากปิดปังใบหน้าของพวกเขาอยู่ที่เอวก็ไม่ได้ห้อยป้ายของอารามไว้
" ผู้น้อยแซ่หานนามว่าจินอี้ มาขอพบผู้ว่าอาวุโสป๋ายซ่าง " หานจินอี้เเจ้งจุดประสงค์ของตนให้แก่ผู้เฝ้าประตู
เมื่อคนเฝ้าประตูได้ยินว่าทั้งสองต้องการพบผู้ใดก็มองหน้ากันไปมาอยู่ไม่แน่ใจ หานจินอี้นางจึงยืนป้ายหยกที่ผู้อาวุโสผู้นั้นเคยมอบไว้ให้นางไว้ให้กับผู้เฝ้าประตู พอคนผู้ประตูทั้งสองได้เห็นป้ายหยกประจำตัวเจ้าอารามก็รีบโค้งคารวะสตรีทั้งสองคนทันทีก่อนจะพอทั้งสองเข้าไปด้านใน
ภายในของขุมกำลังอารามแห่งความมืดก็เหมือนกับสำนักใหญ่ทั่วไปมีลานฝึกยุทธ์มีหอตำราและมีที่พักของศิษย์ในอาราม ทว่าพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนไม่ได้มีพื้นที่ที่เขียวอุ้มก็แค่นั้น
พอทั้งสองเดินเข้าไปในส่วนลึกขึ้นเรื่อยๆก็พบกับตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง คนที่นำทางให้กับทั้งสองคนจึงแจ้งแก่คนเฝ้าอยู่ด้านหน้าพร้อมยื่นป้ายหยกที่หานจินอี้ให้มา เมื่อคนเฝ้าหน้าตำหนักให้เห็นป้ายหยกก็ปรายมองสตรีสองนางที่สวมเสื้อคลุมกับหน้ากากปิดปังใบหน้าก่อนจะเข้าไปรายงานนายของตน ไม่นานก็มีคนออกมาและพาทั้งสองเข้าไปด้านในหลังใหญ่ตำหนักทั้งอธิบายเรื่องต่างๆให้กับทั้งสองอย่างนอบน้อม
" ถึงเเล้วขอรับ " ทั้งสามก็มาหยุดที่ที่หน้าประตูบานใหญ่สีดำสลักลายพยัคฆ์ที่บานประตูและคนที่พาเข้ามาก็ผลักประตูออก " หมดหน้าที่ของข้าแล้ว เชิญเเม่นางทั้งสองเข้าไปด้านในเถิด " เอ่ยจบแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป
หานจินอี้กับรั่วหลินก็เดินเข้าไปด้านในพร้อมกับถอนหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าออก
" ในที่สุดเจ้าก็มา " ป๋ายซ่างที่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุดเอ่ยขึ้นยังนึกว่านางจะไม่มาเสียแล้ว
" คารวะผู้อาวุโสเจ้าค่ะ " หานจินอี้กับรั่วหลินเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
ป๋ายซ่างพยักให้กับทั้งสองอย่างพอใจแล้วพลางกวาดสายตามองสำรวจตัวดรุณีน้อยทั้งสอง เมื่อครึ่งปีก่อนเขายังสัมผัสได้ว่าตัวนางยังไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลย พอมาครึ่งปีหลังเขากลับสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณของนางช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียจริง ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันถึงจะอายุน้อยกว่าทว่ากลับมีพลังวิญญาณถึงระดับต้นจิตห้าดาราแล้วนับว่ามีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา
" ว่าอย่างไรนังหนู สนใจจะเป็นศิษย์เอกของข้าแล้วสินะ "
" เจ้าค่ะ " หานจินอี้ตอบตกลงอย่างหนักแน่ก่อนจะเอ่ยแนะนำรั่วหลินให้ว่าที่อาจารย์ของตน " นางคือรั่วหลินเป็นคนสนิทของข้าเองเจ้าค่ะ " รั่วหลินจึงโค้งคารวะผู้อาวุโสตรงหน้าอีกรอบ
" เด็กคนนี้ไม่เลวเลย " ป๋ายซ่างเอ่ยขึ้นอย่างพอใจก่อนหันมาเอ่ยกับหารจินอี้ต่อ " นังหนู ครึ่งปีมานี่ข้าขอดูหน่อยว่าเจ้าพัฒนาถึงไหนแล้ว "
จากนั้นหานจินอี้จึงปลดปล่อยพลังระดับพลังวิญญาณของตนให้กลับผู้อาวุโสดู ดวงดาราสีแดงสดปรากฏขึ้นรอบๆตัวของหานจินอี้เห็นได้ชัดว่านางอยู่ในระดับจิตวิญญาณห้าดารา ด้วยอายุของนางมีระดับพลังวิญญาณเท่านี้ถือว่าเป็นยอดอัจฉริยะแล้ว ทว่าป๋ายซ่างก็สัมผัสได้ถึงพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของนางนี่สิที่ทำให้เขาตื่นตกใจอย่างแท้จริง
" นี่เจ้า! "
