บท
ตั้งค่า

บทที่19 เหยี่ยวเวหา

บทที่19 เหยี่ยวเวหา

ในระหว่างที่หานจินอี้กำลังหลอมโอสถอยู่นั้นก็มีคนเปิดประตูเข้ามา " ท่านจิน จดหมายจากจวนตระกูลหานขอรับ " 

หานจินอี้นางก็พยักหน้ารับ จากนั้นคนที่เข้ามาใหม่ก็วางจดหมายไว้โต๊ะที่อยู่ไม่ไกลนักแล้วค่อยโค้งตัวให้นางก่อนจะเดินออกไป เมื่อหานจินอี้หลอมโอสถหม้อสุดท้ายเสร็จแล้วก็เก็บเม็ดโอสถทั้งสิบเม็ดลงไปในขวดกระเบื้อง ตอนนี้ความสามารถหลอมโอสถของนางอยู่ระดับสามแล้วและนางก็หลอมออกมาได้ทั้งหมดสิบเม็ดทั้งยังมีความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วนทุกเม็ด ไม่ง่ายเลยกว่าที่นางจะหลอมออกมาได้ถึงระดับนี้

เมื่อนางจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วจึงเดินไปหยิบจดหมายที่มารดาส่งมาให้ใจความหลักๆว่าให้นางกลับจวน ริมฝีบางของนางจึงคลี่ยิ้มออกมาบางๆแล้วเดินออกจากห้องปรุงโอสถไป " อาซุน เจ้านำโอสถที่เข้าพึ่งหลอมเสร็จไปให้ผู้เฒ่าเหอแทนข้าที แล้วพรุ่งนี้ก็เตรียมตัวออกเดินทางด้วย " 

          " เจ้าค่ะ " สตรีที่มีนามว่าอาซุนขานรับแล้วหมุนตัวเดินจากไป

อาซุนเป็นคนที่อาจารย์เป็นคนมอบให้หานจินอี้ไว้ใช้งาน อาซุนอยู่ข้างกายของนางทั้งแต่สองปีก่อน คนผู้นี้มีความคล่องแคล่วว่องไวใช้ได้และยังเป็นยอดฝีมือของขุมกำลังอีกด้วย ส่วนรั่วหลินตอนนี้กำลังกักตนเลื่อนระดับอยู่คาดว่าวันนี้น่าจะออกมาได้แล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อทั้งสามร่ำลาท่านเจ้าอารามเสร็จก็เร่งออกเดินทางไปเมืองซานเพื่อไปรับแม่นมฉินเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงพร้อมกัน ในครั้งนี้หานจินอี้กับรั่วหลินก็มิได้ใส่หน้ากากปิดปังใบหน้าดังเช่นปกติ แต่ทว่าก็ยังสวมชุดของขุมกำลังอารามแห่งความมืดอยู่

ทั้งสามให้เวลาสามวันสองคืนในการเดินทางไปเมืองชาน พอตกบ่ายของวันที่สามทั้งสามยืนอยู่หน้าประตูจวนตระกูลอวี้ เมื่อบ่าวรับใช้ที่ยืนเฝ้าประตูเห็นทั้งสามคนก็ปล่อยให้เข้าไปโดยมิได้ถามสิ่งใดเพราะทุกคนในจวนต่างก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

สองปีมานี้มิใช่ว่าหานจินอี้จะไม่เคยมาเยี่ยมเยือนแม่นมชอุ่มกับอวี้ฮูหยินเลย เวลานางต้องไปทำภารกิจที่อาจารย์ของตนมอบหมายให้ถ้าหากผ่านเมืองซานก็เเวะเยี่ยมเยือนเเม่นมฉินอยู่เป็นประจำ เเม้แต่หานเจี้ยนเฉิงก็ด้วยเช่นจนทุกวันนี้นางสนิทกับคนเฝ้าประตูของสำนักศึกษาหมื่นเมฆาไปเสียแล้ว

เมื่อเข้ามาภายในจวนทั้งสามก็รู้สึกว่าที่จวนเงียบกว่าปกติ รั่วหลินเลยอาสาเดินไปถามสาวใช้ที่ทำความสะอาดอยู่แถวนี้ " เหตุใดในจวนจึงได้เงียบเช่นนี้เล่า แม่นมฉินกับอวี้ฮูหยินไม่อยู่หรือ "

        " เเม่นางรั่ว ฮูหยินกับแม่นมฉินไปไว้พระที่วัดได้สามวันแล้วเจ้าค่ะ วันนี้ช่วงค่ำถึงจะกลับมา " สาวใช้เห็นรั่วหลินก็เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม 

        " ขอบใจมาก เจ้าทำงานของเจ้าเถอะ " รั่วหลินเอ่ยจบก็เดินกลับไปรายงานผู้เป็นนายของตน

       " อีกสามวันค่อยเดินทางก็แล้วกัน " หานจินอี้บอกทั้งก่อรจะเดินไปเรือนพักของพวกตนที่อวี้ฮูหยินเตรียมไว้ให้พวกนางพักเวลาพวกนางมาที่จวน ที่นางต้องเลื่อนวันเดินทางไปอีกสามวันเพราะห่วงแม่นมฉินที่อายุมากแล้วกลัวว่าหากนั่งรถม้านานๆและติดต่อกันหลายวันจะทำให้แม่นมฉินไม่สบายตัว

พอถึงกำหนดเวลาเดินทางอวี้ฮูหยินกับอวี้เฟยที่เป็นบุตรีคนเล็กของอวี้ฮูหยินก็ออกมาส่งที่หน้าจวน 

         " ข้าไม่อยากให้พี่อี้กลับเลยเจ้าคะ " อวี้เฟยที่อายุหกปีทำหน้างอพร้อมกับกอดเอวของหานจินอี้ไว้แน่ ช่วงสามวันมานี้อวี้เฟยติดหานจินอี้มากเลยทีเดียว

หานจินอี้จึงย่อตัวนั่งให้เสมอกับอวี้เฟยแล้วยกขึ้นลูบศีรษะของอวี้เฟย " ไว้พี่อี้มีเวลาว่าง พี่อี้จะมาเยี่ยมอวี้เฟยบ่อยๆดีหรือไม่ " 

         " พี่อี้สัญญาแล้วนะเจ้าคะ " อวี้เฟยเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ เด็กอย่างไรก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำไม่ว่าผู้ใหญ่พูดสิ่งใดก็เชื่อไปเสียหมด

         " ได้พี่อี้สัญญา " แล้วหานจินอี้ก็หันไปหาอวี้ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างอวี้เฟย " ท่านน้าอวี้รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ ไว้ข้าว่างจะมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ " 

         " คุณหนูก็เช่นกันเจ้าคะ รักษาตัวด้วย "

พอร่ำลาก็เสร็จเป็นทั้งสี่ก็ขึ้นไปบนรถม้าโดยมีอาซุนเป็นสารถีให้แล้วรถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจากหน้าจวนตระกูลอวี้         

        " คุณหนู คืนนี้เราพักที่เมืองข้างหน้านะเจ้าค่ะ " เสียงของอาซุนดังขึ้นออกจากนอกรถม้า

        " อืม... " หานจินอี้ขานรับเบาๆพลางมองไปทางนอกหน้าต่างของรถม้า

เมื่อออกจากเขตทางเหนือมาแล้วอากาศก็อุ่นขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้ใบหญ้าข้างก็เขียวชอุ่มนึกอย่างผิดหูผิดตา หากเป็นทางเหนือคงหาชมไม่ได้เช่นนี้เเน่ ยิ่งที่ขุมกำลังอารามเเห่งความมืดแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงเพราะที่นั้นเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนตลอดทั้งปี ครึ่งชั่วยามต่อมารถม้าก็เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองต้าซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดกับเขตป่าวิญญาณ

พอรถม้าเคลื่อนเข้าเขตเมืองซานหานจินอี้ก็เห็นชายป่าวิญญาณอยู่ไม่ไกลแล้วพลางนึกขึ้นได้ว่าน้ำทิพย์วารีนางได้ใช้จนหมดแล้วเมื่อตอนที่หลอมโอสถคราก่อนแล้ว " ข้าจะไปเอาน้ำทิพย์วารีเสียหน่อย " 

         " งั้นข้าไปด้วยเจ้าค่ะ " รั่วหลินเอ่ยขึ้น

         " ไม่ต้อง เจ้ากับอาซุนอยู่เป็นเพื่อนเเม่นมฉินเถอะ อีกสองวันข้าจะกลับมา " หานจินอี้เอ่ยจบก็หายออกไปจากรถม้าทันที ส่วนรถม้าก็เคลื่อนตัวไปที่ยังที่พักราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น

     ณ ป่าวิญญาณ

หานจินอี้กระโจนไปตามต้นไม้ใหญ่อย่างคล่องแคล่วและมุ่งหน้าไปยังถ้ำน้ำตก โดยมีเหยี่ยวเวหาบินตามหลังนางมาติดๆ เหยี่ยวเวหาเป็นสัตว์อสูรประเภทนกสีของมันเป็นสีขาวนวลไปทั้งตัว มันเป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญาของหานจินอี้ เมื่อปีก่อนนางบังเอิญได้มันมาอย่างไม่คาดฝัน 

เหยี่ยวเวหานี้มันเป็นสัตว์อสูรที่มีนิสัยหยิ่งยโสไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใดง่ายๆ ในครั้งนั้นนางไปตรวจตลาดมืดที่เมืองลู่เขตทางใต้ของดินแดนพร้อมกับศิษย์พี่ลี่เจวี๋ยแล้วบังเอิญพบมันเข้า ผู้ดูเเลตลาดมืดเห็นว่านางสนใจจึงช่วยนางทำพันธสัญญากับนกเหยี่ยวเวหาตัวนี้ อันที่จริงมันตัวใหญ่กว่านี้หลายเท่าตัวทว่านางเป็นคนบอกมันเองว่าให้มันย่อขนาดลงเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ

สัตว์อสูรที่สามารถย่อขนาดตัวความต้องการได้ก็มีแต่สัตว์อสูรที่อยู่ในระดับสวรรค์แล้วเท่านั้น ถึงว่านางโชคดีมากที่ได้มันมาไว้ในครอบครอง ทว่ากว่าที่นางจะปราบพยศมันลงได้ก็ใช้เวลานานทีเดียว มีมันอยู่สัตว์อสูรที่ระดับต่ำกว่าก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาโจมตีนางเพราะพวกมันกลัวเหยี่ยวเวหาตัวนี้ นางจึงไปไหนมาไหนในป่าวิญญาณได้สะดวกสบาย ยกเว้นอาณาเขตของสัตว์อสูรระดับเซียนเพราะมันมีระดับสูงกว่าเสี่ยวลู่ของนาง

        " เสี่ยวลู่ข้าจะไปเอาหญ้าเเสงจันทร์ก่อน ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าเจอมันที่ริมผาพฤกษก ไว้พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปที่ถ้ำน้ำตก " หานจินอี้บอกความต้องการกับให้เสี่ยวลู่ทราบ 

       " ได้ ข้าจะนำทางให้เจ้า " เสียงของเสี่ยวลู่ดังขึ้นในหัวของหานจินอี้ 

สัตว์อสูรกับผู้เป็นนายสามารถสื่อสารกันได้ในห้วงจิต ตอนนี้เสี่ยวลู่ยังไม่สามารถพูดคุยกับคนได้นอกเสียจากนายของมัน ส่วนสัตว์อสูรที่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ที่มิใช่เจ้านายของมันได้นั้นจะต้องเป็นสัตว์อสูรระดับเซียนขึ้นได้เท่านั้น

จากนั้นเสี่ยวลู่จึงบินนำทางนายของมันไปยังริมผาพฤกษกตามที่ผู้เป็นนายต้องการ หนึ่งชั่วยามต่อมาหนึ่งคนหนึ่งสัตว์อสูรก็มาถึงที่ผาพฤกษก ทว่าก็ยังไม่สามารถเก็บหญ้าแสงจันทร์ยังไม่ได้อยู่ดีเพราะต้องรอให้ดวงจันทร์ขึ้นเสียก่อนหญ้าแสงจันทร์ถึงจะปรากฏให้เห็น

ดังนั้นหนึ่งคนกับอีกหนึ่งสัตว์อสูรก็ต้องนั่งรออยู่ที่ริมผาจนกระทั่งดวงจันทร์ลอยขึ้นบนท้องนภา เสี่ยวลู่มันจึงกลายร่างไปเป็นนกเหยี่ยวตัวใหญ่แล้วให้หานจินอี้ขึ้นขี่บนหลังของมันก่อนจะร่อนลงไปด้านล่างผา

หานจินอี้บอกให้เสี่ยวลู่ให้มันบินเข้าใกล้ซอกหินให้มากขึ้นเพื่อที่จะสามารถเก็บหญ้าเเสงจันทร์ได้สะดวก เมื่อหานจินอี้เก็บหญ้าแสงจันทร์ได้มากจนพอใจแล้วก็บอกให้เสี่ยวลู่บินไปหาที่พักค้างแรมในคืนนี้

        " จินอี้ เก็บมาแค่พอให้ไม่ได้หรือไม่เห็นต้องเก็บเอามาจนหมดเลย ใจคอเจ้าจะไม่ได้เหลือให้คนอื่นเขามาเก็บเลยรึไง " เสี่ยวลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจกับนิสัยของผู้เป็นนาย

        " เก็บไว้เยอะสิถึงจะดี เหลือจากหลอมโอสถแล้วก็เอาได้ขายได้ " 

        " ช่วงนี้เจ้าขาดแคลนเงินหรือ " เสี่ยวลู่เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ มันไม่คิดว่าคนอย่างหานจินอี้จะจากเเคลนเงินทองเป็นกับเขาด้วย

        " มีเงินติดตัวเยอะหน่อยข้าถึงรู้สึกอุ่นใจ "

 เสี่ยวลู่มันได้ยินที่ผู้เป็นนายกล่าวถึงกับกลอกตาไปมา มันคิดไว้อยู่แล้วเซียวว่าคนที่ชอบเงินยิ่งกว่าสิ่งใดอย่างหานจินอี้จะขาดเเคลนเงินทอง ทรัพย์สินที่อยู่ในมือหานจินอี้ตอนนี้มันคิดว่ามีมากกว่าเจ้าอารามแห่งความมืดเสียอีก 

พอเสี่ยวลู่มันเห็นว่ามีที่ที่สามารถพักค้างแรมในคืนนี้แล้วก็ร่อนลงบนพื้นก่อนจะเอ่ยบอกนายของมัน " เจ้านอนเถอะ เจ้าเฝ้ายามให้ "

        " ได้ ฝากเจ้าด้วย " จากนั้นหานจินอี้ก็กระโดดขึ้นไปนอนบนกิ่งไม้ที่ตนคิดว่าแข็งเเรงไม่นานก็หลับไปเพราะความเหนื่อยล้า ส่วนเสี่ยวลู่มันก็ย่อตัวให้ขนาดเล็กให้เหมือนนกเหยี่ยวธรรมดาแล้วบินไปเกาะกิ่งได้เพื่อเฝ้าระวังภัยให้นายของมันขณะที่ผู้เป็นนายที่กำลังหลับอยู่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel