บทที่15 อสรพิษยักษ์
บทที่15 อสรพิษยักษ์
วันต่อมาหานจินอี้กับรั่วหลินก็ออกเดินทางทั้งแต่เช้ามืด ในระหว่างทางทั้งสองรู้สึกว่าคนติดตามพวกตนอยู่ ทั้งสองจึงสบตากันครู่หนึ่งก่อนจะเร่งความเร็วของฝีเท้ามากขึ้นและเเยกกันไปคนละทางแล้วก็นัดกันไปเจอที่โรงประมูลของตระกูลหานในเมืองข้างหน้าแทน
เมื่อหานจินอี้แยกกับรั่วหลินแล้วก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกระดับหนึ่งก่อนจะเลี้ยวหลบไปที่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่และลบจิตของตนให้กลืนไปกับธรรมชาติเพื่อรอดูสถานการณ์
ส่วนพวกชายชุดดำที่ตามหานจินอี้มาเมื่อเห็นว่าเป้าหมายได้รู้ตัวแล้วจึงหันไปบอกชายอีกคนที่ตามมาด้วย " พวกนางไหวตัวทันแล้ว พวกเรากลับไปรายงานนายท่านเถอะ " จากนั้นชายชุดดำทั้งสองก็พากันจากไปในที่สุด
เมื่อหานจินอี้เห็นว่าชายชุดดำสองคนจากไปไกลแล้ว นางจึงปรากฏขึ้นข้างๆกับต้นไม้ที่ตนซ่อนตัวอยู่แล้วมองไปในทิศทางที่ชายชุดดำพวกนั้นจากไปด้วยสายตาเฉยชา นางสัมผัสได้ว่าชายชุดดำพวกนั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อแต่อย่างใด นางถึงไม่คิดจะลงมือกับสองคนนั้นจึงไปปล่อยสองคนนั้นไปแล้วมุ่งหน้าไปเมืองข้างหน้าเพื่อไปรอรั่วหลินในสถานที่ที่นัดกันไว้
ตั้งแต่ที่นางสามารถใช้พลังวิญญาณได้วิชาคลื่นเมฆาก็พัฒนาขึ้นว่าเมื่อก่อน ปกติแล้วคนทั่วไปเดินทางถ้าไม่ใช้สัตว์อสูรเป็นยานพาหนะในการเดินทางไปต่างเมืองต้องใช้แล้วสามสี่วันกว่าจะถึง ทว่าสำหรับหานจินอี้แล้วใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็ถึงแล้ว
เมื่อหานจินอี้มาถึงหน้าโรงประมูลของตระกูลหานก็พบว่ารั่วหลินยังมาไม่ถึงนางจึงนึกเป็นห่วงคนสนิทของตนขึ้นมา ถึงแม้รั่วหลินจะพอเอาตัวรอดได้ทว่านางก็เป็นกังวลอยู่ดี จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงครึ่งชั่วยามรั่วหลินจึงได้มาถึงจุดนัดพบ
" คุณหนูมาถึงนานแล้วหรือเจ้าคะ " รั่วหลินเอ่ยถามผู้เป็นนายทันทีที่มาถึง
" เกือบครึ่งชั่วยามได้แล้วล่ะ ทางเจ้าเป็นเช่นไรบ้างมีคนตามมาหรือไม่ "
" ตั้งแต่ที่ข้าแยกจากคุณหนูไปก็ไม่มีผู้ใดตามมาเลยเจ้าค่ะ น่าแปลกเป็นอย่างมาก "
หานจินอี้ได้ยินรั่วหลินกล่าวก็หยักหน้ารับ....ดูเหมือนคนพวกนั้นต้องการตามแค่นางสินะ คนพวกนั้นต้องการอะไรจากนางกันแน่ " เหตุใดถึงมาช้านักเล่า " นางเอ่ยถามรั่วหลินต่อ ตามปกติแล้วรั่วหลินมีธาตุลม ด้วยความเร็วของคนที่มีธาตุลมอย่างรั่วหลินก็น่าจะมาถึงหลังไม่มากนักแต่นี้กลับเลยไปตั้งเกือบครึ่งชั่วยาม
" ระหว่างทางข้าเจอกับคนสติไม่ดีมาเจ้าคะ แต่คุณหนูไม่ต้องห่วงข้าทุบตีคนผู้นั้นไปเรียบร้อยแล้ว"
หานจินอี้ได้ยินว่ารั่วหลินทุบตีผู้อื่นก็หรี่ตามองนางอย่างสงสัยแล้วก็ขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ " หือ....เดี๋ยวนี้รั่วหลินของข้ารู้จักทุบตีคนเป็นเสียแล้ว "
" คุณหนู! " เมื่อรั่วหลินเห็นผู้เป็นนายล้อเลือนนางก็ทำหน้ามุ้ย ที่นางต้องโดนคุณหนูล้อเลือนเช่นนี้ก็ต้องโทษบุรุษสติไม่ดีผู้นั้น มีอย่างที่ไหนพอเห็นนางก็เอาแต่ถามหาคุณหนูของนาง ทำราวกับว่ารู้จักพวกนางอย่างงั้นแหละ พอนางไม่ตอบก็เดินตามมาไม่หยุด นางไปที่ไหนคนผู้นั้นก็ตามมาด้วยซ้ำยังไล่ก็ไม่ไปอีก จนนางรู้สึกรำคาญจึงลงมือทุบตีคนผู้นั้นยกหนึ่งก่อนจะรีบหนีมา มันเลยเป็นเหตุให้นางมาพบกับคุณหนูของตนช้ากว่าปกติ
หานจินอี้เย้าเเหย่รั่วหลินจนพอใจแล้วก็พากันเดินทางต่อ ก่อนที่ทั้งสองออกจากเมืองได้ซื้อหน้ากากมาคนละอันเพื่อหลบเลี่ยงพวกที่กำลังติดตามนางอยู่
เมื่อทั้งสองคนเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆสภาพอากาศก็เริ่มหนาวเย็นมากยิ่งขึ้น โชคดีที่ทั้งสองเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วจึงมิได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางมาหนัก
สามวันต่อมาหานจินอี้กับรั่วหลินก็มาถึงเทือกเขาหิมะ เทือกเขาหิมะนี้ล้วนแต่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ต้นไม้ที่มีก็ล้วนยืนต้นตายจนหมดเพราะอากาศหนาวเย็นเพราะสถานที่เเห่งนี้ปกคลุมด้วยหิมะแทบจะทั้งปีเวลาที่หิมะละลายไม่ถึงสามเดือนเลยด้วยซ้ำ เป็นเรื่องยากที่จะมีพืชพันธุ์เติบโตในสถานที่แห่งนี้
" คุณหนู เทือกเขาแห่งนี้สมชื่อว่าเป็นเทือกเขาหิมะจริงๆเจ้าคะ มองไปทางไหนก็มีหิมะขาวโพลนเต็มไปหมด "
หานจินอี้มองดูทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าตนแล้วพลางคิดถึงป่าเหมยแดงที่นางเคยเห็นที่โลกเก่าของนาง ถ้าที่นี่มีป่าเหมยเเดงคงจะเป็นทิวทัศน์ที่งดงามมิใช่น้อย
" พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ เราต้องไปที่นั่นก่อนพลบค่ำ " หานจินอี้เอ่ยขึ้นเตือนรั่วหลินที่กำลังชื่นชมกับทุ่งหิมะอยู่เพราะที่เมืองหลวงมิคอยได้มีให้เห็นกันบ่อยนัก
จากนั้นทั้งสองก็เร่งเดินทางขึ้นเขาทันที โดยใช้วิชาตัวเบากระโจนไปตามกิ่งไม้ที่แห้งของต้นไม้ที่ยืนต้นตาย กิ่งไม้แห้งพวกนั้นบางกิ่งก็มีน้ำแข็งจับอยู่จึงต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าหากพลาดเพียงนิดเดียวอาจจะลื่นจนพลัดตกลงจากต้นไม้คงเจ็บมิใช่น้อยเลย
ระหว่างทางนั้นหานจินอี้กับรั่วหลินก็พบกับคนห้าคนที่ต่อสู้กับอสรพิษตัวยักษ์ตัวหนึ่งอยู่ ทั้งสองจึงหยุดดูการต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์อสูรที่ตะลุมบอนกันอย่างเมามันอยู่นาง หานจินอี้นางพึ่งสังเกตเห็นอาภรณ์ที่ห้าคนนั้นสวมใส่อยู่ อาภรณ์สีขาวขลิบแดงมันที่เป็นเครื่องแบบของสำนักศึกษาหมื่นเมฆา!
" คุณหนูนั้น!....คุณชายใหญ่มิใช่หรือเจ้าคะ! " จู่ๆรั่วหลินโผล่งขึ้นมากะทันหัน พลางชี้นิ้วไปที่บุรุษผู้เป็นถือกระบี่เล่มใหญ่สีดำทมิฬที่กำลังพุ่งตัวต่อสู้กับอสรพิษตัวยักษ์อยู่
หานจินอี้ถึงหันไปมองตามนิ้วที่รั่วหลินชี้ไปก็พบกับบุรุษที่หน้าตาคล้ายคลึงกับนางถึงเจ็ดส่วนถือได้ว่าเป็นบุรุษที่หน้าตาดีผู้หนึ่งเลยทีเดียว เมื่อนางเห็นว่าพี่ชายของตนกำลังเสียท่าให้กับอสรพิษยักษ์ตัวนั้นในใจของนางก็พลันรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาราวกับกลัวว่าคนผู้นั้นจะตกอยู่ในอัตราย จากนั้นขาทั้งสองข้างของนางจึงพุ่งตัวออกไปอย่างที่นางมิรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ปัง! ตึง!
เสียงปะทะกันระหว่างหานจินอี้กับอสรพิษยักษ์ดังสนั่นได้ทั่วบริเวณ หานจินอี้นางยกขาเตะเข้าไปที่สันกรามของมันโดยที่มันยังไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ จนทำให้มันล้มลงไปกองอยู่กับพื้นและทำให้หิมะสีขาวที่อยู่ในบริเวณนั้นฟุ้งกระจายไปทั่ว
รั่วหลินที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่บนต้นไม้ก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นางมิทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าผู้เป็นนายพุ่งตัวไปตอนไหน ส่วนคนของสำนักศึกษาหมื่นเมฆาเห็นว่าอสรพิษตัวยักษ์ที่มีระดับสวรรค์ที่พวกเขาร่วมกันโจมตีอย่างเอาเป็นเอาตายล้มลงด้วยการโจมตีครั้งเดียวก็รู้สึกทึ่งอยู่ไม่น้อย แม้แต่หานเจี้ยนเฉิงที่มีธาตุมืดที่ทรงพลังในเรื่องของพละกำลังยังมิอาจจะทำได้เลย
เมื่อหิมะที่ฟุ้งกระจายอยู่นั้นหายไปก็ปรากฏร่างของเเม่นางน้อยผู้หนึ่งยืนประจันหน้ากับอสรพิษตัวนั้นอยู่ ทว่าพวกเขากลับมิได้เห็นหน้าของนางได้เพราะว่านางสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่
" คุณหนู! จู่ๆท่านพุ่งไปเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ " รั่วหลินที่พุ่งเข้ามาหานายของตนอย่างรวดเร็วก็เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนเพราะกลัวผู้เป็นนายจะได้รับบาดเจ็บ
ฟ่อๆๆ!
เสียงของอสรพิษขู่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว มันไม่คิดว่าหญิงสาวที่มีระดับพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดินจะสามารถทำให้มันได้รับบาดเจ็บได้ พอมันตั้งตัวได้ก็พุ่งเข้าโจมตีหญิงสาวผู้นี้ทันที
หานจินอี้กับรั่วหลินที่โดนอสรพิษยักษ์พุ่งเข้าใส่ก็แยกกันไปคนละทาง หานจินอี้ที่เห็นเป็นเช่นนั้นก็คว้ากริชเงินที่เหน็บไว้ที่เอวเล็กของตนแล้วพุ่งเข้าใส่มัน
ปัง! ปัง! ตูม! เคร็ง!
เสียงต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์อสูรได้เริ่มขึ้นอีกรอบ ทว่ารอบนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างแม่นางน้อยกับอสรพิษยักษ์ หานจินอี้ที่มีระดับต่ำกว่าเจ้าอสรพิษยักษ์ตัวนั้นอยู่หลายขั้นแน่นอนนางก็ยอมเสียเปรียบมัน
เมื่อคนของสำนักศึกษาหมื่นเมฆาเห็นว่าแม่นางน้อยที่เข้ามาช่วยเหลือพวกตนถูกไล่ต้อนเกือบจะจนมุมก็รีบพากันเข้าไปร่วมต่อสู้ทันทีและในห้าคนนั้นก็มีเว่ยตงหนานรวมอยู่ด้วย ส่วนรั่วหลินเองก็เข้าร่วมวงด้วยเช่นกัน
เว่ยตงหนานที่สังเกตเห็นกริชเงินที่อยู่ในมือของแม่นางน้อยผู้นี้ก็จำได้ขึ้นมาว่าเจ้าของมันคือผู้ใด มุมปากหยักได้รูปของเขาก็พลันกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เขาไม่คิดเลยว่าตนจะได้พบนางในที่แห่งนี้และนางยังสามารถรับมือกับอสรพิษตัวนี้ได้หลายกระบวนท่าเสียด้วย สตรีนางนี้ช่างน่าสนใจเสียจริง บนร่างเล็กๆของนางซ่อนความสามารถไว้เท่าไหร่กันแน่....
