บทที่14 เมืองซาน
บทที่14 เมืองซาน
" ผู้อาวุโสจากขุมกำลังอารามแห่งความมืดเจ้าค่ะ! "
" อะไรนะ! " เมื่อได้ยินที่บุตรสาวกล่าวซ่างเหยาโหลวก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตกใจ " เจ้ารู้หรือไม่ว่าอารามแห่งความมืดคือสถานที่ใด! "
หานจินอี้พอรู้ข้อมูลของขุมกำลังนี้อยู่บ้าง อารามเเห่งความมืดคือขุมกำลังหนึ่งในสองที่ใหญ่ที่สุดของทั้งสองดินแดินและขึ้นชื่อว่าเป็นขุมกำลังมารที่สองดินแดนต่างมิเคยยอมรับในการมีอยู่ของขุมกำลังนี้ ทว่าก็ปฏิเสธมิได้เช่นกันว่าเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดของทั้งสองดินแดนด้วยเช่นกัน
" ข้าทราบอยู่แล้วเจ้าค่ะ " หานจินอี้เอ่ยตอบผู้เป็นมารดาอย่างใจเย็น
" รู้เช่นนั้นเจ้ายังจะไปอีกหรือ! "
หานจินอี้รู้ว่ามารดาไม่ยินยอมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะอธิบายเหตุผลของนางให้มารดาฟัง " ท่านแม่ ท่านก็ย่อมรู้ว่าตอนนี้อำนาจของฮูหยินรองมีมากแค่ไหนในจวนและไหนจะตระกูลเดินของนางอีก ตอนนี้ตระกูลอู่กำลังเรืองอำนาจมาก หากเกิดว่าพวกเขาต้องการกำจัดพวกเราเล่าจะเป็นเช่นไร "
ซ่างเหยาโหลวรู้ว่าที่บุตรสาวของตนกล่าวมาล้วนมิผิด ตอนนี้อู่เสวี่ยชิงมีอำนาจในจวนกว่าเมื่อก่อน แม้แต่สามีของนางก็ยังแกร่งใจสตรีผู้นี้อยู่หลายส่วน หากอู่เสวี่ยชิงต้องการกำจัดพวกนางสามแม่ลูกก็ใช่ว่าจะทำมิได้ทว่ามันก็มิง่ายเช่นกัน
เมื่อหานจินอี้เห็นว่ามารดาเริ่มคล้อยตามที่ตนกล่าวเเล้วก็เอ่ยขึ้นต่อ " ท่านแม่ ที่ข้าตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะอยากเป็นกำลังให้กับท่านพี่และอยากจะท้วงความเป็นธรรมให้กับท่านแม่ด้วย " ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือนางต้องการแข็งแกร่งขึ้น แน่นอนว่าประโยคหลังนางมิได้กล่าวออกมาแต่อย่างใด
ซ่างเหยาโหลวมองเห็นความมุ่งมั่นในสายตาของบุตรสาวของตนก็พลางคิดว่าบุตรสาวของนางโตขึ้นมากแล้วจริงๆ
" ได้...แม่ตกลง เรื่องนี้แม่จะหาวิธีส่งเจ้าออกไปจากจวนเอง แต่เจ้าต้องรับปากแม่ว่าต้องส่งจดหมายมาทุกเดือนและต้องกลับมาให้ทันในวันพิธีปักปิ่นของเจ้า "
เมื่อหานจินอี้เห็นว่ามารดาตอบตกลงแล้วก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจก่อนจะเอ่ยขอบคุณและขอตัวกลับไปเรือนหลันฮวาของตน
หลังจากกลับเรือนนางก็บอกเรื่องนี้ให้กับรั่วหลินและให้จัดเตรียมข้าวของไว้สำหรับเดินทางล่วงหน้า ส่วนตัวเองก็ทำการเร่งการเจริญเติบโตของมีสมุนไพรให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะเก็บไปขายให้ทันก่อนที่จะออกเดินทาง
ตลอดหลายวันมานี้หานจินอี้ก็ยุ่งอยู่กับการหลอมโอสถต่างๆตุนเก็บไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินถึงแม้ที่นางหลอมออกมาได้แค่โอสถระดับหนึ่งก็ตามทีแต่มันก็ดีกว่าไม่มีโอสถพบติดตัวเลย พอว่างแล้วก็ฝึกทักษะพื้นฐานของพลังวิญญาณและลองเขียนลวดลายอักขระโบราณลงบนแผ่นกระดาษ
ตำราอักขระโบราณที่นางซื้อมาจากร้านขายตำรานั้นนางพึ่งรู้ว่ามันเป็นศาสตร์ต้องห้าม เหตุที่มันเป็นอักขระต้องห้ามก็เนื่องมาจากเป็นศาสตร์เเห่งความมืดและคำสาปที่คนทั้งสองดินแดนต่างพากันหวั่นเกรงในอานุภาพของมัน ว่ากันว่าอักขระต้องสาปนี้มันหายสาบสูญไปหลายร้อยปีพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง ทว่ามันไปอยู่ที่ร้านขอตำราแห่งนั้นได้อย่างไรนั้น....เรื่องนี้นางก็มิรู้เช่นกัน
หานจินอี้นางรู้เรื่องอักขระต้องสาปตามความบอกเล่าของเเม่นมฉินมาพอสมควรทว่าตัวนางกลับไม่สนใจ สิ่งที่นางสนใจคือผลลัพธ์ของมันต่างหาก หากสามารถฝึกถึงระดับสูงสุดได้จะสามารถทำลายเมืองเมืองหนึ่งได้ในชั่วพริบตาและนั้นคือผลลัพธ์ที่นางต้องการ
พอถึงพลบค่ำแม่นมฉินก็ได้เเจ้งข่าวแก่นางว่าอีกสามวันจะเดินทางไปเมืองซาน ซึ่งเมืองซานอยู่ทางเหนือของดินแดนและอยู่ติดกับสำนักศึกษาหมื่นเมฆาที่พี่ใหญ่ของนางกำลังศึกษาอยู่ เหตุผลที่มารดาของนางเจาะจงเฉพาะเมืองซานเป็นเพราะสาวใช้คนสนิทของมารดานางได้แต่งเข้าตระกูลพ่อค้าแห่งหนึ่งที่เมืองซานและสาวใช้ผู้นั้นก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเเม่นมฉินด้วย
หานจินอี้นางมิทราบเลยว่ามารดาใช้เหตุผลอะไรมาเป็นข้ออ้างให้นางออกไปจากจวนแห่งนี้ได้ แต่นางก็หาได้ใส่ใจในเรื่องนั้นขอให้นางออกไปจากจวนได้ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อได้รู้ถึงกำหนดเดินทางแล้วหานจินอี้นางจึงเร่งการเติบโตของสมุนไพรให้เร็วขึ้นเป็นเท่าตัวและช่วยรั่วหลินเก็บสมุนไพรส่วนหนึ่งไปขายอีกส่วนหนึ่งก็เก็บไว้หลอมโอสถ
สามวันต่อมาหานจินอี้ก็เดินทางออกไปจากจวนอย่างเงียบๆก่อนที่นางจะไปก็ได้มอบโอสถชำระไขกระดูกที่นางหลอมไว้เมื่อคราวก่อนให้มารดาของตนเเล้วค่อยออกเดินทาง ถึงแม้ว่านางจะมาอยู่ในโลกใบนี้ได้ปีกว่าทว่านางก็อดใจหายมิได้ อย่างไรเสียจวนหลังนี้ก็เป็นที่อาศัยของนางมานานนับปี
คณะเดินทางของหานจินอี้ประกอบด้วยรั่วหลิน แม่นมฉินและคนคุ้มกันอีกห้าคน โดยทั้งสามคนนั่งอยู่ในรถม้าส่วนผู้คุ้มกันห้าคนก็เคยอารักขาอยู่รอบๆรถม้า ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางสิบวันกว่าจะมาถึงเมืองซานทางเหนือของแคว้น
พอถึงที่เมืองซานรถม้าก็มุ่งตรงไปจวนของตระกูลอวี้ทันที เมื่อรถม้าหยุดลงที่หน้าจวนตระกูลอวี้ก็พบสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งมายืนรออยู่ทั้งสามถึงลงจากรถม้า
" พี่ฉินท่านสบายดีหรือไม่ แล้วนายหญิงนางอยู่สุขสบายดีหรือไม่เจ้าคะ " อวี้ฮูหยินเอ่ยขึ้นถามทันทีที่เห็นฉินโม่ลงมาจากรถม้า
ฉินโม่ที่เห็นลูกพี่ลูกน้องของตนยิงคำถามใส่ตั้งแต่ตอนที่ลงจากรถม้าก็ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ นานแล้วที่เขาทั้งสองไม่ได้พบกัน แต่ทว่าลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ของนางก็ยังมีนิสัยเหมือนเดินไม่มีผิด " ไว้เข้าไปแล้วข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง "
ทันทีที่ฉินโม่กล่าวจบหานจินอี้ก็ลงมาจากรถม้าพร้อมกับรั่วหลินพอดี เมื่ออวี้ฮูหยินได้เห็นใบหน้าอันงดงามของหานจินอี้ก็อดตะลึงมิได้ " นี่คือ...คุณหนูห้ากระมัง " อวี้ฮูหยินเอ่ยถามฉินโม่ พอนางเห็นฉินโม่พยักก็พลันเอ่ยขึ้นต่อ " คุณหนู...งดงามกว่านายหญิงในสมัยก่อนเสียอีก "
" คารวะอวี้ฮูหยินเจ้าคะ " หานจินอี้กับรั่วหลินลงจากรถม้ามาแล้ว ทั้งสองก็โค้งตัวคารวะอวี้ฮูหยินพร้อมกัน
เมื่ออวี้ฮูหยินเห็นว่าบุตรีของอดีตตนคารวะเช่นนั้นก็รีบพุ่งตรงเข้าไปประคองทันที " ได้เช่นไร อย่างไรเสียนายหญิงก็คอยเป็นนายข้าไม่ว่าเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้ คุณหนูห้าคารวะข้าเช่นนี้ก็มิถูก "
" เช่นนี้ข้าเรียกท่านว่าท่านน้าอวี้ก็เเล้วกันเจ้าค่ะ " หานจินอี้เอ่ยขึ้นตัดบท อย่างไรเสียอวี้ฮูหยินก็พ่นสภาพความเป็นบ่าวของมารดานานแล้วและอวี้ฮูหยินก็เป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งด้วยเรียกนางว่า'ท่านน้าอวี้'ก็สมควรแล้ว
" ข้าว่าเราเข้าได้ด้านในกันเถอะ ถ้ายังยืนคุยกันเช่นนี้เกรงว่าจะคุยกันไม่จบเสียที " ฉินโม่เอ่ยขึ้นพร้อมกับจูงมือของลูกพี่ลูกน้องตนเข้าไปในจวน ในระหว่างนั้นก็เล่าเรื่องหลายปีที่ผ่านมาให้ลูกพี่ลูกน้องตนไปฟังจนกระทั่งถึงโถงรับรองในที่สุด
" อู่เสวี่ยชิง!...นังจิ้งจอก! กล้าดีอย่างไรวางยานายหญิงกับคุณหนูของข้า! " อวี้ฮูหยินเอ่ยขึ้นอย่างโมโห จนบ่าวรับใช้ที่คอยรับใช้อยู่ในห้องโถงถึงกับสะดุ้งกันเป็นแถบๆ
ทุกคนในจวนเเห่งนี้รู้ดีว่านายหญิงของจวนเป็นคนอารมณ์ร้อนมิให้ผู้ใดมาเอาเปรียบตนง่ายๆ เวลาฮูหยินโมโหแม้แต่นายท่านของจวนก็ยังเข้าหน้าไม่ติด
ส่วนหานจินอี้ก็ได้แต่นั่งจิบชาเงียบๆอย่างไม่ทุกข์ร้อน นางทำราวกับที่พูดคุยกันเมื่อครู่นั้นมันมิใช่เรื่องของตน
" เจ้านี่มัน....ก็ยังอารมณ์ร้อนเหมือนเดิน ที่นายหญิงให้เจ้าออกเรือนมาก่อนก็เพราะเจ้าเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า ถึงจะรู้ตัวบงการทว่าก็ไม่มีหลักฐานเอาผิดคนพวกนั้นได้ ถ้านายหญิงบอกนายท่านว่าเป็นฝีมืออู่เสวี่ยชิงผู้นั้นนายท่านจะเชื่อหรือ " ฉินโม่เอ่ยขึ้น
" มันก็จริงดังที่พี่ฉินว่า " อวี้ฮูหยินเอ่ยตอบอย่างเห็นด้วยแล้วหันมาเอ่ยกับหานจินอี้ที่นั่งจิบชาอยู่อีกฝั่ง " คุณหนูแน่ใจหรือเจ้าคะ ที่จะเข้าร่วมกับอารามแห่งความมืด "
" ท่านน้าอวี้ ข้าตัดสินใจดีแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากเป็นกำลังให้กับพี่ใหญ่ของข้า "
" แล้วคุณหนูจะเดินทางได้เมื่อใด ข้าจะได้ให้คนเตรียมของไว้ให้ " อวี้ฮูหยินเอ่ยถามต่อ
" ข้าจะเดินทางไปพรุ่งนี้เลยเจ้าคะ ส่วนข้าวของข้าให้รั่วหลินเตรียมไว้แล้ว อย่างไรข้าขอรบกวนฝากแม่นมฉินอยู่นี่สักระยะด้วยนะเจ้าค่ะ "
" จะว่ารบกวนได้อย่างไร พี่ฉินเป็นคนดูเเลข้าตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่ข้าเสีย พี่ฉินก็เป็นญาติเพียงคนเดียวของข้าอยากจะอยู่ที่นี่นานเท่าไรก็ได้ " อวี้ฮูหยินเอ่ยจบก็กุมมือของฉินโม่แน่น สิบกว่าปีแล้วที่นางไม่ได้เจอญาติผู้พี่ของตน
ทั้งสี่อยู่คุยกันสักพักใหญ่ก็เเยกย้ายกันไปพักผ่อนในเรือนที่อวี้ฮูหยินจัดไว้ให้ ตามที่อวี้ฮูหยินกล่าวมาขุมกำลังอารามเเห่งความมืดตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมะ ที่นั่นอากาศหนาวทั้งปีและแทบไม่มีพืชพันธุ์ขึ้นเลยและยังเป็นเทือกเขาที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านไม่ง่ายเลยกว่าจะเข้าไปที่นั่นได้ ถ้าต้องไปต้องวางแผนให้รัดกุมเสียก่อน
