บทที่13 จวิ้นอ๋องซื่อจื่อ
บทที่13 จวิ้นอ๋องซื่อจื่อ
หลังจากที่หานจินอี้ออกจากห้องอักษรของบิดาแล้วก็ตรงกลับไปยังเรือนหลันฮวาของตนทันที ทว่าเส้นทางกลับไปยังเรือนพักของนางนั้นต้องเดินผ่านเรือนโม่ลี่ของผู้เป็นมารดา ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านในเรือนนางกับรั่วหลินจึงหยุดฝีเท้าของพวกตนอยู่ตรงประตูทางเข้าหน้าเรือน
" คุณหนูเข้าไปดูหรือไม่เจ้าคะ " รั่วหลินเอ่ยถามขึ้น
หานจินอี้จึงส่ายศีรษะแทนคำตอบนางมิชอบความวุ่นวาย ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นเรื่องที่หานอิงฮวารังแกหานเยี่ยเซียงเป็นแน่ ด้วยนิสัยของอนุสี่คงมิยอมให้ผู้ใดรังแกง่ายๆคาดว่าคงไม่แคล้วมาทวงถามความยุติธรรมแทนบุตรของตน เรื่องราวในเรือนหลังช่างวุ่นวายเสียจริง
ค่านิยมสมัยนี้การที่บุรุษมีภรรยาหลายคนล้วนมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด นับแต่ที่โบราณบุรุษมีสามภรรยาสี่อนุล้วนเป็นเรื่องที่ถูกต้องบางคนก็มีมากกว่านี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไปเพราะสมัยนี้เขาให้ความสำคัญกับทายาท ยิ่งมีทายาทมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้ตระกูลมั่นคงขึ้นเท่านั้น ทว่าสำหรับนางที่เป็นคนสมัยใหม่แล้วกลับมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ มันเป็นเหตุผลเขาบุรุษมักมากเสียมากกว่า ถ้าให้นางแต่งกับบุรุษประเภทนี้นางขออยู่คนเดียวจนแก่ตายไปเลยก็ยังดีกว่าจะเเต่งให้กับบุรุษมักมากพวกนั้น
ระหว่างทางกลับไปยังเรือนหลันฮวาคนที่นางคิดว่ากลับไปแล้วทว่าตอนนี้เขากลับปรากฏตัวอยู่ตรงหน้านางเสียได้
" คุณหนูห้ามิเจอกันนาน แกนอสูรที่ข้าให้ไปขายได้เงินดีหรือไม่ " เว่ยตงหนานเอ่ยถามอย่างยิ้มแย้ม ทว่าดวงตาของเขานั้นราวกับอสรพิษคอยจ้องมองเยื่อ สัญชาตญาณของหานจินอี้ร้องเตือนว่าคนผู้อันตรายควรอยู่ให้ห่างไว้
" คุณชาย ท่านคงจำผิดคนเเล้วเจ้าคะ คุณหนูของข้าไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนเเม้แต่ครั้งเดียว นางจะรู้จักแล้วคุณชายได้เช่นไร " รั่วหลินที่เห็นท่าไม่ดีจึงก้าวเข้าไปข้างระหว่างทั้งสองคนไว้
เว่ยตงหนานหรี่ตามองรั่วหลินอยู่พักหนึ่งก็จะเเสยะยิ้มออกมาแล้วเอ่ยขึ้น " อ๋อ...เช่นนั้นข้าคงทักผิดไปจริงๆ ข้าคิดว่าแม่นางผู้นี้เป็นคนที่ข้าเจอเมื่อมินานมานี้ที่ป่าวิญญาณ " แล้วเขาก็เดินผ่านรั่วหลินที่ยื่นอยู่ไปและล้มหน้ากระซิบข้างหูของหานจินอี้ " คุณหนูห้าช่างมีความสามารถเสียจริง " ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับผู้ติดตาม
หานจินอี้มองแผ่นหลังของคนผู้นั้นเดินหายไปจนลับตาด้วยสายตายากที่จะคาดเดา เหอะ! เหตุใดนางจะไม่รู้ความหมายของประโยคที่เขากล่าว คนผู้นั้นกำลังว่านางว่า....นางเสเเสร้งเก่ง!
ส่วนรั่วหลินนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วทั้งสองก็เดินกลับไปยังเรือนหลันฮวาไปพร้อมกัน
" คุณหนู รู้จักคุณชายผู้นั้นด้วยหรือเจ้าคะ " เมื่อมาถึงเรือนแล้วรั่วหลินก็เอ่ยถามขึ้น
" อืม...ข้าเคยเจอเขาที่ป่าวิญญาณครั้งหนึ่ง ไม่คิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่ " หานจินอี้เอ่ยตอบเสียงเรียบ
" คุณหนู! เช่นนั้นแล้วความลับที่เราปกปิดมาตลอดจะไม่ถูกเขาเปิดเผยเอาหรือเจ้าคะ " รั่วหลินเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
" คงไม่หรอก " เอ่ยจบหานจินอี้ก็ยกถ้วยชาที่รั่วหลินพึ่งรินให้ยกขึ้นดื่มเพื่อดับกระหายก่อนเอ่ยขึ้นต่อ " ถ้าเขาจะเปิดโปงข้าจริงๆเขาคงจะเปิดโปงตั้งที่อยู่ที่อยู่ในห้องอักษรของท่านพ่อไปแล้ว จริงสิรู้สึกว่าคนผู้นั้นคือซื่อจื่อแห่งจวนจวิ้นอ๋องเจ้าพอรู้จักหรือไม่ "
เมื่อรั่วหลินทราบว่าคุณชายคนเมื่อครู่นี้คือผู้ใดก็ดวงตากลมโตของนางก็เบิกกว้างขึ้น " จวิ้นอ๋องซือจื่อ เว่ยตงหนาน! "
" เจ้ารู้จักด้วยหรือ " หานจินอี้เลิกคิ้วมองรั่วหลินอย่างสงสัย
" ในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักซื่อจื่อแห่งจวนจวิ้นอ๋องหรอกเจ้าค่ะ เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของจวนจวิ้นอ๋องและเป็นผู้มีพลังสองสายเช่นเดียวคุณหนูด้วย อายุยังไม่ถึงยี่สิบก็บรรลุระดับมายาสามดาราแล้ว ทั่วทั้งเมื่อหลวงไม่มีผู้ใดมิรู้จักเขาเจ้าค่ะ เพราะตอนนี้เขายังไม่มีคู่หมั้นหมายจึงเป็นที่หมายตาของสตรีที่ยังไม่ออกเรือนทั่วทั้งเมืองหลวง "
หานจินอี้นั่งฟังรั่วหลินอธิบายเกี่ยวกับซื่อจื่อแห่งจวนจวิ้นอ๋องอย่างเงียบๆแล้วพลางครุ่นคิดตามที่รั่วหลินกล่าว ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือแม้แต่ฐานะ ไม่แปลกที่เหล่าเเม่นางทั้งหลายต่างพากันหมายตาเขา ขนาดนางเห็นเขาครั้งแรกก็อดรู้สึกใจเต้นเสียมิได้ทว่าคนผู้นั้นช่าง....ปากคอเราะรายยิ่ง!
ส่วนผู้ที่รั่วหลินกำลังเอ่ยถึงอยู่นั้นกำลังนั่งอยู่บนรถม้าอย่างสบายอารมณ์ดีริมฝีปากหยักได้รูปก็พลางคลี่ยิ้มออกมา การไปที่ตระกูลหานครั้งนี้นับว่าไม่เสียเปล่า...ไม่คิดว่าตระกูลหานจะมีเสือหลบมังกรซ่อนอยู่ในตระกูลด้วย ผู้ที่ทุกคนต่างคิดว่าเป็นคนไร้ค่ากลับซ่อนความสามารถเอาไว้ถึงเพียงนั้น
" จับตาดูนางเอาไว้ " เว่ยตงหนานเอ่ยขึ้นกับความว่างเปล่า ทันใดนั้นก็มีลมหอบหนึ่งพัดขึ้น
พลบค่ำทุกตรอกซอกซอยถนนในเมืองหลวงต่างก็ครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะคืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งเทศกาลซีซี ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างประดับประดาด้วยโคมไฟรูปร่างต่างๆเต็มท้องถนน บรรดาหนุ่มสาวต่างก็ออกมาร่วมฉลองเทศกาลในครั้งนี้
หานจินอี้ตอนนี้นั่งอยู่ที่หลังคาเรือนหลังหนึ่งในจวน นางนั่งมองเหล่าผู้คนที่กำลังเฉลิมฉลองเทศกาลอย่างคึกคักด้วยสายตาที่เรียบเฉย ในชีวิตก่อนนางก็ไม่เคยร่วมฉลองเทศกาลเช่นนี้ ในทุกๆวันถ้าไม่มีภารกิจก็ฝึกอยู่แต่ในค่าย เวลาจะไปไหนมาไหนก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ร่วมฉลองเทศกาลเช่นคนทั่วไป
นางจึงนึกสงสัยว่าบรรยากาศการเฉลิมฉลองเป็นเช่นไร จึงได้ขึ้นมาอยู่บนหลังคาเช่นนี้เพื่อบรรยากาศของงานเทศกาลโดยไม่สนใจสายตาของเหล่าองครักษ์ลับที่อยู่รักษาการเลยเเม้แต่น้อย
เรื่องที่นางใช้พลังวิญญาณได้ไม่ช้าก็เร็วก็จะถูกเปิดเผยอยู่ดี นางจึงไม่ได้ใส่สายตาที่องครักษ์ลับมองนางเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังนั่งโคจรพลังวิญญาณอยู่บนหลังคาโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
บูม! บูม! บูม!
ระหว่างที่หานจินอี้กำลังโคจรพลังอยู่นั้นจู่ๆนางก็ได้ยินเสียงจุดดอกไม้ไฟดังขึ้นจึงได้ลืมตาขึ้นมอง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือดอกไม้ไฟหลากหลายสีสันอยู่เต็มท้องนภาในยามค่ำคืน จุดที่นางอยู่นั้นสามารถเห็นดอกไม้ไฟที่อยู่เต็มท้องนภาอย่างชัดเจนเป็นภาพที่งดงามยากจะบรรยาย
นางพึ่งเคยเห็นดอกไม้ไฟใกล้ๆเช่นนี้เป็นครั้งเเรกแล้วริมฝีปากของนางก็ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หานจินอี้จึงรอดูจนดอกไม้ไฟหมดก่อนแล้วค่อยกลับที่เรือนของตน โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนผู้หนึ่งที่จับตามองนางมาตั้งแต่ต้นและคนผู้นั้นก็คือคนที่เว่ยตงหนานนั้นเอง
วันต่อมาหานจินอี้ก็ฝึกหลอมโอสถและศึกษาตำราหมื่นสมุนไพรที่บิดามอบให้ นางถึงได้รับรู้ถึงความสามารถของธาตุไม้มากยิ่งขึ้น นอกจากให้หลอมโอสถแล้วยังสามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชสมุนไพรได้ด้วย
และนางก็ยังตระหนักขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง นางศึกษาสิ่งเหล่านี้โดยไม่มีผู้ใดคอยชี้แนะมันเป็นเรื่องที่อยากลำบาก นางต้องมีอาจารย์สักคนเสียแล้ว ทันใดนั้นก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา....มิใช่ว่ามีคนที่จะรับนางเป็นศิษย์อยู่แล้วหรอกหรือ จากนั้นนางจึงรีบตรงไปยังเรือนของมารดาทันที
" ท่านเเม่อยู่หรือไม่ " หานจินอี้เอ่ยถามสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าเรือนของมารดา
เมื่อสาวใช้เห็นหานจินอี้ก็มองนางด้วยสายตาดูแคลนทว่าหานจินอี้กลับมิได้ใส่ใจ ทันใดนั้นเเม่นมอาวุโสท่านหนึ่งก็เดินเข้ามาพอดี " คุณหนูห้ามาพบฮูหยินหรือเจ้าคะ "
หานจินอี้จึงพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเเม่นมอาวุโสท่านนั้นก็เดินนำหานจินอี้เข้าไปด้านในเรือนพลางส่งสายตาดุดันให้กับสาวใช้ที่ยืนอยู่จนสาวใช้ผู้นั้นถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
" ท่านแม่ " พอไปถึงหานจินอี้ก็เอ่ยทักผู้เป็นมารดา
ซ่างเหยาโหลวที่เห็นบุตรีของตนมาหาตัวเองแทนที่จะให้รั่วหลินมาก็รู้สึกแปลกใจจึงเอ่ยขึ้นถาม " เจ้ามีธุระสำคัญงั้นหรือ "
" เจ้าค่ะ " หานจินอี้เอ่ยขึ้นพลางปรายตามองสาวใช้ที่อยู่ในนี้
ซ่างเหยาโหลวรับรู้ถึงสายตาที่บุตรของตนส่งมาให้จึงได้เอ่ยบอกแก่บุตรของตน " เจ้าพูดมาเถอะ คนที่อยู่ในนี้เป็นคนที่มาจากบ้านเดิมของแม่ทั้งนั้น "
เมื่อได้รับคำยืนยันจากมารดาแล้วหานจินอี้จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม " ข้าต้องการออกไปจากจวนเจ้าค่ะ "
" หมายความว่าเช่นไร " ซ่างเหยาโหลวเอ่ยถามอย่างตกใจนางมิคาดคิดว่าบุตรีที่พึ่งมีอายุสิบสามปีมีความคิดเช่นนี้ได้
" ในตอนที่ข้าอยู่ในป่าวิญญาณได้พบกับผู้อาวุโสคนนี้เข้า ผู้อาวุโสผู้นั้นต้องการรับเข้าเป็นศิษย์เจ้าค่ะ ตอนแรกข้าก็ไม่คิดจะตอบตกลงแต่พอข้าลองคิดทบทวนอีกทีมันก็ไม่เลวเช่นกัน "
" ผู้อาวุโสผู้นั้นมาจากสำนักใดงั้นหรือ " ซ่างเหยาโหลวเอ่ยถามผู้เป็นบุตร บุตรของนางมีอาจารย์ไว้คอยพึ่งพิงก็ดีเช่นกัน
" ผู้อาวุโสจากขุมกำลังอารามแห่งความมืดเจ้าค่ะ! "
