บทที่ 7 บุตรสาวของสตรีร้ายกาจ
ข้ามีนามว่าฉู่ไจ๋ไจ๋ มีตำแหน่งเป็นท่านหญิงน้อยแห่งสกุลฉู่ ยามนี้อายุได้สี่หนาวแล้ว บิดาของข้ามีนามว่าฉู่เติ้งหาวเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งยศชินอ๋อง ส่วนมารดาของข้ามีนามว่าจวีลูม่าน เป็นบุตรสาวของเสนาบดีกรมโยธา ทว่ายามนี้ท่านตาของข้าได้เกษียณอายุไปอยู่ที่แดนเหนือแล้ว
ท่านแม่จวีลู่ม่านและมู่ตานต่างกล่าวว่าข้าเป็นเด็กฉลาด ข้าเริ่มออกเสียงได้เมื่อตอนอายุหกเดือน พูดเป็นประโยคได้ตั้งแต่ยังอายุไม่ถึงหนึ่งหนาว อ่านหนังสือออกได้ตอนอายุสองหนาว เริ่มคัดตัวอักษรได้เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา
ท่านแม่ มู่ตานและซานอิ๋งต่างพากันภาคภูมิใจในตัวของข้าเป็นอย่างมากที่เก่งกาจเกินวัยกว่าเด็กที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน หารู้ไม่ว่าอันที่จริงแล้วข้าซ่อนความลับบางอย่าง ที่ข้าเก่งกาจถึงเพียงนี้นั่นเป็นเพราะว่าข้าเคยเกิดมาหนหนึ่งแล้ว
ใช่… ข้าเคยเกิดมาหนหนึ่งแล้ว ทำให้ได้รู้ว่าข้ามีบทบาทเป็นนางร้ายในนิยายเรื่องหนึ่ง ทว่าในภพชาติเดิมนั้น ท่านแม่ของข้าจากไปตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ทันได้คลอดข้าออกมา เมื่อโตขึ้นท่านพ่อของข้าได้แต่งงานใหม่กับหญิงสาวที่มาจากสกุลถัง หลังจากนั้นท่านพ่อก็ทอดทิ้งข้า เพราะมีคนปล่อยข่าวลือน่าเกลียดออกมาว่าท่านแม่จวีลู่ม่านคบชู้ ทำให้ท่านพ่อเกิดความคลางแคลงใจว่าข้าใช่ลูกของท่านพ่อจริงๆหรือไม่ ซึ่งข้ามารู้ในภายหลังว่าคนที่ใส่ร้ายท่านแม่ของข้าคือท่านหญิงโจวถิง นางคือหลานสาวบุญธรรมของซิ่วไทเฮา เสด็จทวดของข้าเอง ทว่านางไม่เคยเห็นข้าเป็นหลานของนางหรอก
ข้าเติบโตมาเป็นคนร้ายกาจ ข้าเกลียดทุกคนที่แย่งความรักของท่านพ่อไปจากข้า ชั่วช้าจนกระทั่งวางแผนสังหารถังซงอี้ผู้เป็นมารดาเลี้ยง ท่านพ่อโกรธมากจึงขับไล่ข้าไปอยู่ที่แดนใต้เป็นเวลาสองปี ข้าแสร้งทำตัวเป็นคนดีจนท่านพ่อยอมให้กลับมาอยู่เมืองหลวง ทว่านางร้ายก็ยังเป็นนางร้ายอยู่วันยังค่ำ ข้าดันไปถูกตาต้องใจกับคุณชายสกุลหนึ่งที่ข้ามารู้ในภายหลังว่าเขามีบทบาทเป็นพระเอกในนิยาย ข้าทำทุกอย่างจนได้แต่งงานกับเขาสมใจ ทว่าหากใครจะไปรู้ว่าการแต่งงานกับพระเอกจะนำข้าไปสู่จุดจบที่แสนน่าอนาจใจ
ในตอนที่วิญญาณของข้ากำลังเดินผ่านสะพานสายรุ้งเพื่อให้ความทรงจำในภพชาติเดิมหายไป ข้ารู้สึกเศร้าเสียใจอย่างมาก เลยตั้งใจกระโดดลงจากสะพานสายรุ้งหวังจะตายซ้ำสอง ทว่าใครจะไปรู้ว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้ข้าได้ย้อนเวลากลับมาในตอนแรกคลอด และได้รู้ว่าแท้จริงแล้วทุกคนรอบตัวข้าต่างมีบทบาทอยู่ในนิยายเรื่องหนึ่ง ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวข้าเอง
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ข้ารู้สึกขอบคุณที่ทำให้ข้าได้โอกาสมีชีวิตใหม่เป็นหนที่สอง ครั้งนี้ข้าจะไม่ทำผิดพลาดเหมือนภพชาติเดิม จะขอเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองและท่านแม่ให้กลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก!
“เสร็จแล้ว”
เสียงใสของใครบางคนทำให้ฉู่ไจ๋ไจ๋ที่กำลังนั่งคิดบางอย่างเพลินๆได้สติ เด็กน้อยวางพู่กันขนนกที่ใช้คัดอักษรลง ถึงแม้ว่าลายมือของนางจะไม่ได้งดงามเหมือนของผู้ใหญ่ อีกทั้งมันยังเหมือนไก่เขี่ยก็ตาม แม้ว่าจะเคยเกิดมาแล้วหนหนึ่ง รับรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ทว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางก็ยังคงเป็นเด็กสี่ขวบอยู่ดี
“ไจ๋ไจ๋ เจ้าจำได้หรือไม่ บอกแม่มาทีว่าคนผู้นี้คือผู้ใดกัน” จวีลู่ม่านอุ้มร่างเล็กกลมป้อมมาไว้บนตัก เจ้าก้อนกลมเอียงคอมองภาพวาดตาแป๋ว
“คนนี้คือท่านลุง” คำตอบของนางเรียกเสียงหัวเราะของคนเป็นแม่ มู่ตานและซานอิ๋ง คงเป็นเพราะฉู่เติ้งหาวห่างหายไปจากเจ้าก้อนกลมนานหลายปี นางจึงลืมเขาไปหมดสิ้นแล้ว
“ไม่ใช่ คนนี้คือท่านพ่อของลูก”
“ท่านพ่อ…” เด็กน้อยผงกศีรษะรับหงึกๆ พร้อมเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อครู่นี้นางแค่พูดเล่นเท่านั้น ใครจะจำท่านพ่อผู้หล่อเหลาไม่ได้เล่า
“ท่านพ่อกำลังจะกลับมาแล้ว” เด็กน้อยเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว จวีลู่ม่านหันไปสบตากับซานอิ๋งด้วยความแปลกใจ
“ไจ๋ไจ๋รู้ได้อย่างไรว่าท่านพ่อกำลังจะกลับมา” จวีลู่ม่านรู้สึกสงสัยไม่น้อย ยามนี้ก็เป็นเวลาสี่ปีแล้วที่เขาจากไป ทว่าเขาไม่เคยส่งข่าวคราวกลับมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับมาเมื่อไหร่
ฉู่เติ้งหาวเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ เป็นโอรสที่ดีของฮองเฮา ทว่าเป็นพ่อและสามีที่ไม่ได้เรื่องเสียจริง!
อย่างน้อยเขาก็ควรที่จะถามข่าวคราวของฉู่ไจ๋ไจ๋ ลูกในไส้ของเขาบ้างสิ หากไม่นึกกลัวว่าลูกจะกำพร้าพ่อ นางคงได้สวดมนต์ภาวนาขอให้เขาไปแล้วไปลับตั้งแต่วันที่เขาจากไปแล้ว
ความหวังของจวีลู่ม่านดับสิ้นลง ในตอนที่มีทหารนายหนึ่งวิ่งลิ่วเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวจำได้ว่าทหารผู้นี้ชื่อหลิวก้วน เป็นหนึ่งในองครักษ์คนสนิทของฉู่อ๋อง เขาให้หลิวก้วนอยู่ที่จวนอ๋องเพื่อคอยอารักขาฉู่ไจ๋ไจ๋
“พระชายา ท่านอ๋องให้คนส่งข่าวมาพ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงโค้งคำนับจวีลู่ม่าน น้ำเสียงและใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนนางสัมผัสได้
“ว่าอย่างไร”
“ยามนี้ศึกที่ชายแดนได้สิ้นสุดลงแล้ว พวกชาวเผ่ายอมแพ้ล่าถอยกลับไป ท่านอ๋องกำลังยกทัพกลับเมืองหลวง ยามนี้ถึงเมืองเซี่ยแล้ว คาดว่าอีกไม่ถึงเดือนจะกลับมาถึงเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
วาจาของหลิวก้วนทำให้จวีลู่ม่านรู้สึกตกใจมากกว่าเดิม นางหันไปมองเจ้าก้อนกลมที่นั่งอยู่บนตักอย่างอึ้งๆ เด็กน้อยไม่ได้ยี่หระต่อสายตาของคนเป็นแม่ หันไปหยิบตุ๊กตาไม้มาเล่นพลางหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่คนเดียว
เวลาผ่านไปได้ครึ่งเดือนแล้ว นับตั้งแต่วันที่หลิวก้วนเข้ามารายงานว่าฉู่อ๋องกำลังยกทัพเดินทางกลับเมืองหลวงก็ไม่ได้ข่าวคราวของเขาอีกเลย จวีลู่ม่านและฉู่ไจ๋ไจ๋ต่างพากันใช้ชีวิตตามปกติ กระทั่งฤดูคิมหันต์ได้ผ่านไปแล้ว
คืนหนึ่งในฤดูสารท ฝนข้างนอกตกลงมาอย่างหนัก เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังลั่นจนเจ้าก้อนกลมที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของมารดาพลันสะดุ้งโหยงขึ้นมาด้วยความตกใจ
“แงงงงงง!”
เสียงร้องไห้ของฉู่ไจ๋ไจ๋ปลุกให้คนที่กำลังนอนหลับใหลรู้สึกตัวตื่น เห็นเจ้าก้อนแป้งนั่งอยู่บนเตียง กำลังเปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาดังลั่น
“ท่านแม่… กลัว” เด็กน้อยผวาเข้าหาอ้อมอกของคนเป็นแม่ เสียงฟ้าร้องยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฟ้าแลบแปลบปลาบจนเห็นสีขาวโพลนไปทั่วห้อง
“ไจ๋ไจ๋ไม่ต้องร้องนะลูก แม่อยู่นี่แล้ว” มือบางลูบลงบนศีรษะเล็กของบุตรสาว น้ำเสียงอบอุ่นปลอบประโลมจิตใจ เสียงสะอื้นด้วยความหวาดกลัวของฉู่ไจ๋ไจ๋จึงค่อยๆแผ่วลง
สายฝนยังคงกระหน่ำโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง จวีลู่ม่านคิดว่าคงเป็นเพราะพายุเข้ากระมัง
“ไจ๋ไจ๋ความน่ากลัวของพายุนั้นซ่อนความสวยงามเอาไว้อยู่นะลูก”
“ท่านแม่เคยบอกว่าหากฝนตกวันต่อมาจะเห็นสายรุ้ง” เจ้าก้อนกลมเงยหน้าขึ้น ใช้ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำเม็ดกลมจ้องมองมารดาตาแป๋ว
จวีลู่ม่านพยักหน้ารับเบาๆ เมื่อนั้นดวงตาใสแจ๋วของฉู่ไจ๋ไจ๋จึงเปล่งประกาย
ก๊อกๆๆๆ!
“พระชายาเพคะ! เกิดเรื่องแล้วเพคะ!” เสียงของซานอิ๋งดังขึ้นอยู่หน้าประตู ร่างบางจึงผุดลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องเผยให้เห็นสีหน้าตื่นตกใจของสาวใช้
“มีคนบาดเจ็บนอนอยู่หน้าประตูจวน ทหารรักษาประตูเข้าไปตรวจสอบพบว่าคนผู้นั้นคือฉู่อ๋องเพคะ”
จวีลู่ม่านชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเรียกให้มู่ตานเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนบุตรสาว
“ไจ๋ไจ๋รอแม่อยู่ที่นี่กับมู่ตานก่อนนะลูก”
“ท่านแม่จะไปไหน”
“แม่มีเรื่องสำคัญต้องไปทำ ไม่นานหรอกเดี๋ยวแม่กลับมา” หญิงสาวส่งยิ้มอ่อนโยนให้เจ้าก้อนกลม จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าเดินออกไปจากห้องพร้อมกับซานอิ๋ง ทว่าไม่นานก็มีเสียงกุกกักดังขึ้นที่หน้าต่าง มู่ตานรีบผวาเข้ามาอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ แต่ก่อนที่จะได้ร้องเรียกขอความช่วยเหลือ บานหน้าต่างก็ถูกดึงให้เปิดออกพร้อมร่างสูงของใครบางคนก้าวเข้ามาในห้อง
“ท่านพ่อ!" ทันทีที่มือหนาดึงผ้าปิดหน้าออก ฉู่ไจ๋ไจ๋ขานเรียกชื่อเขาด้วยความดีใจ นางจำภาพวาดของท่านพ่อฉู่เติ้งหาวที่ท่านแม่จวีลู่ม่านเคยวาดให้ และตอนนี้ภาพนั้นยังติดอยู่ที่หัวนอนของนางอยู่เลย
“ไจ๋ไจ๋” น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อคลออยู่ในหน่วยตา ร่างสูงนั่งคุกเข่าอ้าแขนออกรับร่างเล็กของบุตรสาวที่วิ่งเข้ามาสู่อ้อมแขน มองใบหน้าของเด็กน้อยด้วยความรู้สึกหลากหลาย หน้าตาของฉู่ไจ๋ไจ๋เหมือนเขาและจวีลู่ม่านคนละครึ่ง ชายหนุ่มอดรู้สึกใจหายไม่ได้ ในครั้งที่เขาจากไป เจ้าก้อนกลมยังคงนอนอยู่อยู่ในเปล ทว่ายามนี้กลับวิ่งได้เสียแล้ว
จวีลู่ม่านและซานอิ๋งเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้าจวน แลเห็นร่างสูงของใครบางคนนั่งเอนแผ่นหลังผิงผนังไม้อยู่ ทันทีที่หลิวก้วนเห็นสตรีหงส์เดินเข้ามา เขาจึงลุกขึ้นโค้งคำนับ
“พระชายา ท่านอ๋องทรงบาดเจ็บหนัก กระหม่อมจะให้คนพาเข้าห้องบรรทมรอหมอหลวง”
“ช้าก่อน!” เสียงของจวีลู่ม่านทำให้หลิวก้วนหยุดชะงักฝีเท้าลงไปทันที หญิงสาวเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆของชายหนุ่มที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับฉู่เติ้งหาวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“พระชายาหากล่าช้ากว่านี้ พระอาการของท่านอ๋องอาจทรุดลงไปก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของหลิวก้วนเต็มไปด้วยความกังวล ห่วงเจ้านายอย่างมาก บาดแผลที่สีข้างมีหยาดโลหิตหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย หากปล่อยไว้นานกว่านี้คงไม่ดีแน่
