บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 เปิดกิจการ

“ซานอิ๋ง สั่งให้คนเก็บข้าวของๆ กู้อี้เหนียงออกไปจากจวนอ๋อง” งูพิษเลี้ยงไม่เชื่องเช่นนี้ นางไม่คิดเลี้ยงไว้ใกล้ตัวหรอก

“พระชายาเพคะ!” กู้อี้เหนียงแผดเสียงกร้าว มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความกรุ่นโกรธ

จวีลู่ม่านจึงขยับกายเข้ามาใกล้ กู้อี้เหนียงเห็นสายตาเอาเรื่องของนางจึงผงะถอยไปข้างหลัง เมื่อจวีลู่ม่านขยับเข้ามาหนึ่งก้าว นางก็ล่าถอยออกไปหนึ่งก้าวเรื่อยๆ

“กู้อี้เหนียงอย่าได้เข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้ไล่เจ้าออก แต่ข้าเห็นว่าเจ้าเองก็แก่แล้ว อยากให้ออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขมากกว่า เข้าใจหรือไม่!" ประโยคสุดท้าย นางตะโกนขึ้นมาเสียงดังพลางยกมือขึ้น กู้อี้เหนียงตกใจจนสะดุดขาตัวเองล้มก้นจ้ำเบ้า

จวีลู่ม่านส่งรอยยิ้มเยาะให้นางหนึ่งหนจากนั้นจึงเดินจากไป กู้อี้เหนียงกำมือแน่น เมื่อหันไปมองรอบกายไม่มีผู้ใดช่วยเหลือนางสักคน มีเพียงแค่ยืนหัวเราะกันราวกับขบขันเสียเต็มประดา

"คอยดูเถิด ข้าจะไปฟ้องไทเฮาให้เอาเรื่องพวกเจ้าทุกคน!" นางตะคอกเสียงดัง ก่อนจะผุดลุกขึ้นวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว

หนึ่งเดือนต่อมา

กู้อี้เหนียงเคยลั่นวาจาเอาไว้ก่อนจากไปด้วยความแค้นเคืองว่านางจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องไทเฮา เดิมทีจวีลู่ม่านคิดว่าซิ่วไทเฮาทรงไม่เอาเรื่อง นางจึงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม จนกระทั่งตอนนี้ถึงได้รู้ว่านางคิดผิดไป

“ไทเฮาสั่งตัดเบี้ยหวัดรายเดือนที่ส่งมายังจวนอ๋อง เราจะทำอย่างไรกันดีเพคะพระชายา” ซานอิ๋งกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจ หากไม่มีเบี้ยหวัดรายเดือนจะเอาเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่าย ทั้งค่าอาหารและค่าใช้จ่ายรายเดือนของสาวใช้ที่จวนอ๋องอีกหลายสิบคน

จวีลู่ม่านยกมือขึ้นกอดอก เดินไปยังหน้าต่างบานใหญ่ นางเองก็รู้สึกกลุ้มใจไม่น้อยเช่นกัน

“หรือเราควรนำเรื่องนี้ไปทูลเปาฮองเฮาดีเพคะ ฮองเฮาทรงเอ็นดูท่านหญิงไจ๋ไจ๋ต้องยอมช่วยเหลือพวกเราแน่นอนเพคะ” ซานอิ๋งกล่าวอย่างมีความหวัง หากแต่จวีลู่ม่านกลับส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่เห็นด้วย

“ยามนี้ฮองเฮายังคงมีอาการประชวร อย่านำเรื่องร้อนใจไปทูลฮองเฮาเลย”

ซานอิ๋งหน้าม่อยลงทันที หากไม่ยอมให้เปาฮองเฮาทรงช่วยเหลือก็ดูจะไม่มีหนทางใดแล้ว

“ซานอิ๋ง ท่านอ๋องทรงเก็บทรัพย์สมบัติไว้ที่ใดหรือ”

“ตำหนักประจิมเพคะ”

จวีลู่ม่านได้ยินเช่นนั้นจึงส่งเสียงชิขึ้นมาเบาๆ วังหลวงไม่ใช่สถานที่ๆผู้ใดจะย่างกรายเข้าไปอย่างง่ายดาย และถึงแม้ว่านางจะมีสิทธิ์เข้าไปที่ตำหนักประจิมของฉู่เติ้งหาว แต่ก็คงไม่อาจรอดพ้นสายตาของซิ่วไทเฮาไปได้

“เช่นนั้นสินเดิมที่ข้าติดตัวมามีเท่าไหร่กัน”

“ทองคำสิบชั่งกับเงินอีกหนึ่งหมื่นตำลึงทองเพคะ”

“ไปนำมันมาให้ข้า”

ซานอิ๋งรับคำจากนั้นจึงเดินไปหยิบหีบไม้ในตู้เสื้อผ้าออกมา เมื่อเปิดออกก็เผยให้เห็นทองคำและเงินที่วางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างใน

“พระชายาจะทำอะไรหรือเพคะ”

“ในเมื่อยามนี้เราไม่ได้รับเบี้ยหวัดรายเดือนแล้ว ก็ต้องหาเงินอย่างไรเล่า” จวีลู่ม่านยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่ต้องการที่จะหวังพึ่งผู้ใด จะต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้จงได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คตินี้นางท่องจนขึ้นใจแล้ว!

หลังจากที่คิดว่าต้องการจะเปิดกิจการค้าขายบางอย่าง บ่ายวันนั้นจวีลู่ม่านจึงชักชวนซานอิ๋งออกไปเดินตลาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวง โดยให้มู่ตานอยู่ดูแลเจ้าก้อนกลมที่จวนอ๋อง เพราะเป็นชายาของอ๋องที่มียศเป็นถึงชินอ๋อง ในตอนที่นางกำลังจะก้าวขาขึ้นรถม้าก็มีองครักษ์กระโดดขึ้นหลังม้าหมายจะติดตามนางไปด้วยถึงสองคน ทว่าจวีลู่ม่านไม่ต้องการผู้ติดตาม นางอยากไปเยี่ยงคนธรรมดาสามัญจึงบอกพวกเขาไม่ต้องติดตามไป

รถม้าคันใหญ่จากจวนอ๋องวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าตลาด เพราะเป็นเวลาบ่ายคล้อยจึงทำให้มีผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อขายสินค้ากันอย่างคึกคัก ตลาดที่แคว้นฉินใหญ่โตโอ่อ่ายิ่งกว่าที่แคว้นหู ที่นั่นเป็นเพียงตลาดที่ทำการค้าภายในเมือง แตกต่างจากแคว้นฉินที่มีเรือขนส่งสินค้าเดินทางมาจากหลายแห่ง

พวกชาวต่างชาติพากันเดินไปมากันขวักไขว่ ทั้งนำสินค้ามาขาย และหาซื้อสินค้าไปขายต่อยังแหล่งอื่น ด้วยพื้นที่ตั้งของแคว้นฉินนั้นอยู่ติดทะเล ทำให้การค้าขายเป็นไปอย่างสะดวกสบาย

“เราขายของกินดีหรือไม่เพคะ แม่ครัวที่จวนอ๋องมีฝีมือการทำขนมหวาน ต้องขายดีมากแน่ๆเลยเพคะ" ซานอิ๋งเสนอความคิดเห็น ทว่าผู้เป็นนายกลับส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่เห็นด้วย

“ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในตลาด แผงขายสินค้าเต็มไปด้วยอาหารและของกิน ขนมที่เจ้าเอ่ยถึงนั้นมีตั้งแต่เดินเข้ามาจนถึงตรงนี้ข้านับได้มากกว่าเจ็ดแผง” ขนมพวกนั้นดาษดื่นเกินไป หากขายสิ่งที่ทำง่ายก็จะมีคู่แข่งมากขึ้น

ซานอิ๋งคิดตามวาจาของเจ้านาย ทว่าไม่นานนางก็ทำตาโตเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก

“บ่าวสามารถปักผ้าได้นะเพคะพระชายา สาวใช้ที่จวนอ๋องก็มีฝีมือในการปักผ้าหลายคน”

“จริงสิ ผ้าอ้อมของไจ๋ไจ๋เจ้าก็เป็นคนปักนี่" จวีลู่ม่านหวนนึกไปถึงผ้าอ้อมของบุตรสาว ที่ล้วนเป็นฝีมือของซานอิ๋งทั้งสิ้น ทว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ผ้าอ้อมธรรมดา แต่เป็นผ้าอ้อมที่ปักด้วยลวดลายทั้งวิวทิวทัศน์และรูปสัตว์นานาชนิดอย่างประณีต

“ซานอิ๋งเจ้าฉลาดเฉลียวยิ่งนัก” จวีลู่ม่านจับมือของนางขึ้นมากอบกุมด้วยความดีใจ นางตั้งใจจะปักผ้าอ้อมสำหรับเด็กขาย ทว่าความสวยงามเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจซื้อของผู้คน นางจะต้องทำให้ผ้าอ้อมของนางมีจุดขายที่พิเศษกว่าปกติที่เรียกความสนใจทำให้ผู้คนอยากซื้อให้ได้

การทำกิจการนั้นไม่ง่ายดายเลยแม้แต่น้อย จวีลู่ม่านคิดว่าให้นางไปจับกระบี่ออกรบแทนฉู่เติ้งหาวยังง่ายดายกว่า จวีลู่ม่านเริ่มขายผ้าอ้อมปักลายในอีกสองเดือนต่อมา โดยใช้สินเดิมที่ติดตัวมาเป็นเงินลงทุน สามวันแรกในการขาย ผู้คนยังไม่ได้สนใจมากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดไม่ซื้อเลย ทว่าจากนั้นไม่นาน เวลาผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ก็มีลูกค้าเข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น จนกระทั่งยามนี้จวีลู่ม่านทำกิจการเปิดร้านขายผ้าอ้อมได้เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือน นางจึงตั้งใจจะแวะไปแอบดูที่ร้านขายของเสียหน่อย จวีลู่ม่านไม่ต้องการให้เรื่องที่นางเปิดกิจการขายผ้าอ้อมล่วงรู้ไปถึงพระกรรณของซิ่วไทเฮา เพราะคิดว่าหากนางรู้ต้องคอยหากลั่นแกล้งอีกแน่นอน นางจึงให้สาวใช้ในจวนอ๋องที่มีนามว่า ‘เสี่ยวอิง' เป็นคนออกหน้า นำสินค้าไปขายอยู่ที่ตลาดแทน

ร้านของจวีลู่ม่านเป็นเพียงห้องเช่าไม้ขนาดชั้นเดียวเล็กๆหนึ่งห้อง ทว่าในตอนนี้กลับมีผู้คนยืนกันเต็มจนแน่นขนัดข้างในร้าน ส่วนมากจะเป็นสตรี บ้างก็อุ้มลูกมาด้วย และกำลังยืนเลือกซื้อของด้วยความสนใจ

“ซานอิ๋งข้าตาฝาดไปใช่หรือไม่“ จวีลู่ม่านไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเท่าใดนัก ที่เห็นลูกค้ายืนแน่นขนัดเต็มร้าน ทั้งๆที่ช่วงแรกที่เปิดกิจการ เสี่ยวอิงร้องเรียกลูกค้าจนเจ็บคอก็ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้าร้านเลยสักคน

“พระชายาไม่ได้ตาฝาดไปเพคะ เสี่ยวอิงเคยเล่าให้บ่าวฟังว่าลูกค้าเคยชมว่าผ้าอ้อมของร้านเรานอกจากจะลวดลายงดงามแล้ว ยังราคาถูกอีกด้วยเพคะ"

จวีลู่ม่านแย้มยิ้มอย่างมีความสุข แรกเริ่มครุ่นคิดอยู่นานว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าเป็นที่นิยม ก่อนจะเหลือบไปเห็นสวนไผ่ที่หลังจวนอ๋อง นางจึงเกิดความคิดให้ลองนำไยไผ่มาทอเป็นผ้า พบว่าผ้าที่ทอจากไยไผ่ให้สัมผัสเบาบาง นิ่ม ลื่น ระบายอากาศได้ดีเหมาะอย่างยิ่งแก่การนำมาทำผ้าอ้อม อีกทั้งยังราคาถูกเพราะหาได้ทั่วไป ทว่าที่ร้านของนางนอกจากจุดขายที่ใช้ไยไผ่ทอเป็นผ้าแล้ว ยังมีลวดลายที่สวยงามน่าใช้สอย ราคาไม่แพง

หลังจากที่เห็นว่ากิจการกำลังไปได้ดี จวีลู่ม่านรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นไม่น้อย เย็นวันนั้นหลังจากส่งเจ้าก้อนกลมเข้านอนและรับประทานอาหารเย็นเสร็จ นางจึงมานั่งตรวจสอบบัญชี โดยมีซานอิ๋ง มู่ตาน และเสี่ยวอิงมานั่งมองตาแป๋วด้วยความตื่นเต้น พวกนางทั้งสามคนคือหัวเรือใหญ่ในการปักผ้า โดยมีจวีลู่ม่านเป็นคนออกแบบลวดลาย ในยามที่ยังคงเป็นแม่ทัพหญิงลู่หนิงของแคว้นหู ในตอนที่ว่างนอกจากจะศึกษาตำราพิชัยสงครามและซ้อมรบแล้ว นางยังชอบวาดภาพอีกด้วย

“เดือนนี้เราได้กำไรห้าสิบตำลึงทอง” สิ้นเสียงของจวีลู่ม่าน สาวใช้ทั้งสามคนต่างพากันเปล่งเสียงร้องกรี๊ดออกมาเบาๆด้วยความดีใจอย่างลืมตัว เมื่อรู้สึกตัวจึงเปลี่ยนไปนั่งอย่างสงบเรียบร้อยเช่นเดิม ทว่าใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

จวีลู่ม่านแบ่งเงินออกเป็นสี่กอง กองแรกคือค่าใช้จ่ายภายในจวน กองที่สองเป็นต้นทุนในการผลิตสินค้า กองที่สามเป็นค่าแรงของสาวใช้ทั้งสามคน และกองสุดท้ายเป็นเงินที่นางตั้งใจเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน

ตั้งแต่วันที่จวนอ๋องโดนซิ่วไทเฮาสั่งตัดเบี้ยหวัด จวีลู่ม่านได้ขอให้ทุกคนประหยัดกินประหยัดใช้ ต่อให้ในยามนี้มีรายได้เสริมก็ยังต้องประหยัดอยู่เช่นเดิม จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด ซานอิ๋ง มู่ตาน และเสี่ยวอิงปฏิเสธไม่รับเงินค่าแรงของพวกนาง แต่จวีลู่ม่านก็ไม่ยอมเช่นกัน โดยบอกว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่พวกนางควรจะได้รับ สุดท้ายเถียงเจ้านายไม่ได้ พวกนางจึงต้องยอมรับเงินที่พระชายาประทานให้

ก๊อกๆๆ!

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ซานอิ๋งจึงเดินไปเปิด แลเห็นสาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่ ก่อนที่นางจะเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของจวีลู่ม่านกล่าวอย่างนอบน้อม

“พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้คนมาส่งข่าวว่าตอนนี้เดินทางถึงชายแดนใต้แล้วเพคะ“

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel