บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 ฉู่อ๋องจากไปแล้ว

หลังกลับมาถึงจวนอ๋องนอกเมืองก็เป็นเวลาให้นมฉู่ไจ๋ไจ๋ในตอนเย็นแล้ว จวีลู่ม่านอุ้มบุตรสาวเข้าไปยังห้องเลี้ยงเด็กอ่อน มู่ตานเดินไปที่ประตูทว่ายังไม่ทันที่ประตูจะปิดเข้าหากันก็มีมือของใครบางคนขวางเอาไว้เสียก่อน

“ออกไป” ชายหนุ่มเอ่ยปากไล่มู่ตาน นางจึงเดินลิ่วออกจากห้องไปตามคำสั่ง จวีลู่ม่านรู้สึกแปลกใจไม่น้อย หันมามองผู้มาใหม่พลางขมวดคิ้วเข้ากันด้วยความไม่เข้าใจ

“ท่านอ๋องตามเข้ามาทำไมกันเพคะ หม่อมฉันจะให้นมลูก”

“ก็ให้ไปสิ” ร่างสูงหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้โยก มองไปบนเตียงที่มีจวีลู่ม่านอุ้มร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนอย่างสบายอารมณ์

“จะอายไปทำไม ข้าเป็นสามีของเจ้าเคยเห็นมาหมดแล้ว”

หากอยู่ที่ค่ายทหารที่แคว้นหู นางคงไม่ลังเลที่จะลุกไปคว้าแส้หางม้ามาฟาดปากเขา แต่ที่นี่ฉู่เติ้งหาวมีอำนาจมากที่สุด หากนางทำเช่นนั้นคงไม่เป็นผลดีกับผู้ใด

ฉู่เติ้งหาวแค่นเสียงเหอะออกมาในลำคออย่างไม่ชอบใจนักที่เห็นนางหมุนกายนั่งหันหลังให้เขา มือบางปลดสายรัดเอวออก ดึงอาภรณ์ตัวบนลงเผยให้เห็นหัวไหล่นวลเนียน ผิวของนางขาวดุจหิมะทว่าอมชมพูราวกับกลีบของดอกเหมยกุ้ยทำให้คนมองไม่อาจละสายตาไปไหนได้

ชายหนุ่มนั่งมองอย่างเงียบๆรอจนกระทั่งนางให้นมลูกเสร็จ หลังจากจัดแจงอาภรณ์ให้เข้าที่เข้าทาง หญิงสาวจึงหมุนกายหันหน้ากลับมา

“ท่านอ๋องอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน หม่อมฉันมีเรื่องอยากคุยกับท่านพอดี”

“เรื่องอะไร” ฉู่เติ้งหาวถามเสียงห้วนพลางยกน้ำชาขึ้นจิบ

“เราหย่ากันดีหรือไม่”

พรวด! แค่กๆๆ!

ชายหนุ่มไอโขลกสำลักชาที่กลืนลงคอออกมายกใหญ่จนหน้าดำหน้าแดงไปหมด เขาวางจอกชาลงบนโต๊ะ ส่งสายตามองคนตัวเล็กด้วยความไม่เข้าใจ

“เจ้ากำลังเรียกร้องความสนใจจากข้างั้นหรือ”

คำก็เรียกร้องความสนใจ สองคนก็เรียกร้องความสนใจ ไม่ว่านางจะทำอะไรเขาก็คิดว่านางเรียกร้องความสนใจไปเสียหมด จะทนไม่ไหวแล้วนะ!

“เปล่าเสียหน่อย หม่อมฉันพูดจริง แค่เพียงท่านคืนสินเจ้าสาวมาให้และยอมให้หม่อมฉันเอาลูกไปเลี้ยง หม่อมฉันจะลงชื่อหย่าให้ ท่านจะได้เป็นอิสระ ไม่ดีหรือเพคะ”

“ข้าไม่หย่า” ลูกเพิ่งคลอดออกมาได้เพียงหนึ่งเดือนจะมาหย่าอะไรกัน

“ทำไมล่ะเพคะ ก็ในเมื่อท่านอ๋องเกลียดหม่อมฉัน ไหนจะซิ่วไทเฮาอีก แล้วจะทนอยู่ร่วมกันไปทำไม ที่ผ่านมาท่านเองก็ไม่ได้อยากแต่งกับหม่อมฉันอยู่แล้ว แต่ในตอนที่หม่อมฉันยอมหย่าให้ ท่านกลับดื้อด้าน”

“ข้าจะหย่าให้เจ้าก็ได้ แต่ข้าไม่ยอมให้เจ้าเอาลูกไป ไจ๋ไจ๋ต้องอยู่กับข้า” สายตาคมมองไปบนเปลที่มีร่างเล็กกลมป้อมนอนหลับปุ๋ยอยู่

“ลูกต้องอยู่กับคนเป็นแม่ถึงจะถูก”

“ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ข้าก็ไม่หย่า”

จวีลู่ม่านกำมือเข้าหากันแน่น นึกอยากตะบันหมัดลงบนใบหน้าหล่อเหลาของเขายิ่งนัก

“ก็ได้เพคะ รอให้ลูกโตขึ้นมาอีกหน่อย แล้วตอนนั้นให้ลูกตัดสินใจเองว่าจะอยู่กับใคร“ ร่างบางก้าวเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เกรงว่าอยู่นานกว่านี้โทสะที่มีจะทำให้อดใจไม่ให้ทำร้ายคนตัวโตที่ลอยหน้าลอยตายียวนนางไม่ได้

“เดี๋ยว!”

ร่างบางยังก้าวไม่พ้นประตูห้องก็ได้ยินเสียงขานเรียกไว้ก่อน เมื่อหันหน้ากลับมาก็เห็นคนตัวโตกำลังย่างสามขุมเข้ามาหา

“เจ้ายังคัดเต้าหรือไม่”

“มีบ้างเพคะ” จวีลู่ม่านเอียงคอมองเขาด้วยความสงสัย เขามาสนใจไยดีนางเรื่องนั้นทำไมกัน ทว่าคนตัวโตกลับยกยิ้มขึ้นเล็กๆ ใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำกระซิบข้างหู

“ก็ดีแล้ว น้ำนมของเจ้าหวานหอมยิ่งนัก น่าเสียดาย กว่าข้าจะกลับมาจากทำศึกก็คงไม่ได้ลิ้มรสมันเสียแล้ว”

วาจาของเขาทำให้จวีลู่ม่านถึงกับขนลุกซู่ เผยอปากค้างมองร่างสูงอย่างอึ้งๆ เขาหมายความว่าอย่างไรกัน! เขารู้ได้อย่างไรว่าน้ำนมของนางมีกลิ่นและรสชาติอย่างไร หญิงสาวรู้สึกว่ายามนี้พวงแก้มของนางเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ฉู่เติ้งหาวเปล่งเสียงหัวเราะหึๆออกมาในลำคอ มองตามร่างบางที่วิ่งจากไปด้วยความขบขัน ร่างสูงเดินกลับมาหยุดยืนอยู่ข้างเปล ใช้นิ้วเขี่ยแก้มนุ่มนิ่มของบุตรสาวไปมาอย่างอารมณ์ดี

“จะหย่าได้อย่างไร ข้าไม่ยอมให้ไจ๋ไจ๋ขาดพ่อหรือแม่หรอกนะ” ใช่ว่าเขาอยากอยู่กับนาง แต่ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อเจ้าก้อนแป้งเท่านั้นเอง

เป็นเพราะเมื่อคืนอากาศเย็นสบายทำให้จวีลู่ม่านตื่นสายกว่าทุกวัน ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมาก็มีทหารนายหนึ่งเดินเข้ามารายงานด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาคำนับนางและกล่าวด้วยถ้อยคำสั้นๆแต่กระชับว่า

“ที่ชายแดนเกิดเรื่องวุ่นวาย ท่านอ๋องรับสั่งให้ออกเดินทางก่อนกำหนดพ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบเขาก็เก็บข้าวของๆใช้ส่วนตัวบางส่วนของฉู่อ๋องและจากไป

จวีลู่ม่านได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว แทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ เขาไปแล้ว! ไปแล้วจริงๆ! ดียิ่งนัก นางจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับบุตรสาวตัวน้อยของนางเสียที

หญิงสาวเดินเข้าไปยังห้องเลี้ยงเด็กอ่อน ทันทีที่เจ้าก้อนกลมเห็นคนเป็นแม่ นางก็อ้าปากพยายามเปล่งเสียงร้องออกมาหมายจะเรียกหา พร้อมทำท่าทางราวกับต้องการให้นางอุ้ม

“ท่านหญิงน้อยของแม่ตื่นแล้วหรือ”

“อูว อูว"

“ลูกใครกันนะน่ารักเสียจริง” จวีลู่ม่านใช้นิ้วจิ้มไปยังแก้มป่องของนางอย่างเอ็นดู

“แอ้!”

“เจ้าตอบว่าลูกแม่ใช่หรือไม่” หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ อุ้มร่างกลมป้อมขึ้นมาแนบอกด้วยความรักใคร่ กลิ่นหอมอ่อนๆของทารกลอยมาแตะจมูก หญิงสาวรู้สึกชอบกลิ่นนี้ยิ่งนักจนอดใจไม่ไหวต้องก้มหน้าลงประทับจุมพิตบนแก้มนุ่มจนได้ยินเสียงดังฟอด

“พระชายาเพคะ เกิดเรื่องแล้วเพคะ“ ซานอิ๋งวิ่งเข้ามาในห้อง จวีลู่ม่านหันไปมองเห็นสีหน้าตื่นตระหนกตกใจของนาง

“เกิดอะไรขึ้น”

“ท่านป้ากู้เพคะ! ท่านป้ากู้กำลังไล่สาวใช้ออกไปจากจวนอ๋องเพคะ"

จวีลู่ม่านลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก ซานอิ๋งเคยเล่าให้ฟังว่ากู้อี้เหนียงเป็นนางกำนัลรับใช้ของซิ่วไทเฮา นางคิดว่าที่ไทเฮาส่งกู้อี้เหนียงมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อต้องการสอดแนมความเป็นไปของคนในจวนอ๋อง ทว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาฉู่อ๋องยังอยู่ที่จวน นางไม่ได้แผลงฤทธิ์ออกมา แต่ตอนนี้ฉู่อ๋องจากไปยังไม่ทันถึงหนึ่งวัน นางก็แผลงฤทธิ์เสียแล้ว

“กล้าดีอย่างไรกัน!”

จวีลู่ม่านยื่นส่งเจ้าก้อนแป้งให้มู่ตาน จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้อง โดยมีซานอิ๋งวิ่งตามออกไปอย่างติดๆ

ครั้นเมื่อมาถึงหน้าประตูทางเข้าโรงครัว ได้เห็นบรรดาเหล่าสาวใช้นับสิบคนกำลังยืนกอดกันตัวสั่น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังแว่วมาให้ได้ยิน แต่ละคนต่างมีหยาดน้ำตาไหลเกลื่อนบนใบหน้า

“รับเงินนี่แล้วออกไปเสีย จวนอ๋องไม่ต้องการเลี้ยงพวกเจ้าไว้อีกต่อไปแล้ว” กู้อี้เหนียงเป็นสตรีวัยกลางคนอายุราวสี่สิบเศษกำลังยืนกอดอกมองใบหน้าเกลื่อนน้ำตาของบรรดาสาวใช้ด้วยใบหน้าเฉยเมย ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจพวกนางเลยแม้แต่น้อย

“โธ่ ท่านป้าอี้เหนียง หากไล่พวกข้าออกไปแล้ว พวกข้าจะเอาอะไรกินล่ะเจ้าคะ” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวขึ้น นางยังมีท่านพ่อที่แก่ชราอีกทั้งยังเจ็บป่วยที่ต้องดูแล หากโดนไล่ออกไปจะเอาเงินที่ไหนไปรักษาอาการป่วยของท่านพ่อ

“นั่นมันเรื่องของพวกเจ้า หาใช่เรื่องของข้า ให้เงินนี่ไปก็นับว่าดีมากแล้ว”

“เงินเพียงแค่ไม่กี่ก้วน ไม่พอใช้หรอกเจ้าค่ะ” สาวใช้คนที่สองกล่าว

“มันเรื่องของพวกเจ้า แต่ข้าไล่พวกเจ้าออกไปแล้วก็ไสหัวไปเสีย!” กู้อี้เหนียงตวาดเสียงดังจนไม่มีผู้ใดกล้าเปิดปากขึ้นมาอีกเลย

“เจ้านั่นแหละที่ต้องไสหัวออกไปจากที่นี่” จวีลู่ม่านเดินเข้ามา น้ำเสียงของนางก้องกังวานโดยที่ไม่ได้ตะคอกหรือตะโกนออกมา

กู้อี้เหนียงหันไปมองร่างบางที่เดินเข้ามาพลางกระตุกยิ้มเบาๆ ไม่ได้มีความเกรงกลัวจวีลู่ม่านเลยแม้แต่น้อย

“พระชายาไม่มีสิทธิ์ไล่หม่อมฉันออกไปจากที่นี่” นางอายุมากกว่าทุกคนที่นี่ อีกทั้งยังถือตัวว่าเป็นคนของซิ่วไทเฮา สตรีร้ายกาจอย่างจวีลู่ม่านที่ใครๆต่างเกลียดชัง มีหรือที่นางจะยอมก้มหัวให้

“เช่นนั้นเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาไล่คนของข้าออก”

“เป็นพระกระแสรับสั่งของซิ่วไทเฮา” กู้อี้เหนียงลอยหน้าลอยตาตอบเสียงห้วน

“ที่นี่คือจวนอ๋อง ก่อนจากไปทำศึกฉู่อ๋องได้มอบหมายให้ข้าดูแลจวนแห่งนี้ ที่นี่ข้ามีอำนาจมากที่สุด หากข้าไม่ใช่คนออกคำสั่ง พวกเจ้าก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” ร่างบางหมุนกายหันหลังไปเอ่ยกับทุกคน บรรดาสาวใช้ต่างพากันคุกเข่าโขกศีรษะลงบนพื้นด้วยความซาบซึ้งใจ ไม่คาดคิดว่าพระชายาจะยอมออกหน้าปกป้องพวกนางเช่นนี้

“พวกเจ้าไปทำงานต่อเถอะ” ซานอิ๋งโบกมือไล่สาวใช้ ไม่นานพวกนางก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

“พระชายากล้าขัดพระกระแสรับสั่งของไทเฮาหรือเพคะ” กู้อี้เหนียงกำมือแน่น ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นเท่าใดนัก แต่ไหนแต่ไรมา ต่อให้จวีลู่ม่านจะแผลงฤทธิ์ใส่ทุกคน แต่นางไม่เคยแข็งกร้าวต่อซิ่วไทเฮาเช่นนี้มาก่อน

จวีลู่ม่านเชิดหน้าขึ้น มุมปากบางยกยิ้มเล็กน้อย

“ข้าทำตามรับสั่งของท่านอ๋องอย่างเคร่งครัด หากทำให้ไทเฮาไม่พอพระทัยก็ค่อยลงโทษฉู่อ๋องเถิด” นางไม่ได้โกหกแต่นางพูดจริง ฉู่เติ้งหาวบอกนางเองว่าให้ดูแลจวนอ๋องให้ดี เช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้นเขาก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ

อีกประการหนึ่ง ฉู่เติ้งหาวมีสายเลือดของซิ่วไทเฮา อีกทั้งยังเป็นหลานในไส้แท้ๆของไทเฮา ไม่ใช่หลานสะใภ้นอกคอกอย่างนาง ถึงแม้ซิ่วไทเฮาจะลงโทษฉู่เติ้งหาว แต่ก็คงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเท่าที่คิดจะทำกับนางกระมัง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel