บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 เป็นเพียงคนที่พระสวามีชิงชัง

“กรี๊ดดดดด!” เสียงกรีดร้องที่ดังลั่นไปทั่วตำหนักซูหนี่ว์ทำให้นกตัวเล็กที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้แตกกระพือบินหนีไปจากต้นไม้ใหญ่

“ว้าย!” ทางด้านหลิวเจียเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ไม่นึกว่าเจ้านายสาวที่นอนหลับใหลสิ้นสติมานานหลายเดือน จู่ๆจะรู้สึกตัวได้สติขึ้นมาเช่นนี้

“เจ้าเป็นใครกัน แล้วที่นี่ที่ไหน ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” หนิวเหยียนร้องถามเสียงดังด้วยความตกใจพลางค่อยๆยื่นหน้าออกมาจากหลังเสาไม้ถามคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความแปลกใจระคนหวาดหวั่น เมื่อนางลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นสตรีแปลกหน้าผู้นี้กำลังนั่งมองนางอยู่

“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันคือหลิวเจียนางกำนัลรับใช้ของฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ” แม้จะตกใจแต่ยังเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมเคารพต่อเฝิงฮองเฮาไม่แปรเปลี่ยน

“ฮองเฮาบ้าบออะไรกัน!” ตวาดเสียงดังพร้อมกับยกมือขึ้นเท้าสะเอวก่อนจะนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาคู่งามหรี่ลงมองคนที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาเจ้าเล่ห์พลางสาวเท้าเดินออกมาจากหลังเสาเตียง

ฮองเฮางั้นหรือ! ดีสิ… นางจะได้สั่งสอนสตรีขี้โกหกหลอกลวงคนนี้ให้รู้สำนึก

“ใครอยู่ข้างนอกตามทหารมาจับตัวนางกำนัลผู้นี้ไปโบยห้าสิบไม้!” หญิงสาวตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ไม่นานประตูก็ถูกผลักให้เปิดออก ทหารสามนายวิ่งกรูกันเข้ามาข้างในพร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งที่แต่งกายเยี่ยงขันที ทันทีที่เห็นหน้าของนางสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจจนเห็นได้ชัด

“ฮะ ฮองเฮา” เยี่ยนกงกงประสานมือไว้ข้างหน้า ก้มศีรษะลงทำความเคารพสตรีหงส์ ในขณะที่หนิวเหยียนได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ อย่าบอกนะว่าที่นางกำนัลผู้นี้เอ่ยมาเมื่อครู่นั้นจะเป็นเรื่องจริง

“ฮองเฮาเพคะ หลิวเจียไม่ได้ทำอะไรผิด อย่าสั่งโบยหม่อมฉันเลยนะเพคะ ฮืออ” หลิวเจียเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาดังลั่น ขณะที่ทหารปรี่เข้ามาดึงแขนของนางไปยังประตู เสียงร้องของนางทำให้หนิวเหยียนได้สติรีบวิ่งเข้าไปคว้าข้อมือบางของนางกำนัลเอาไว้

“ดะ เดี๋ยวก่อน ข้าพูดเล่น ทหาร เอ๊ย พวกเจ้าปล่อยนางได้แล้ว”

สิ้นวาจานั้นทหารทั้งสองนายต่างก็ปล่อยมือออกจากแขนของหลิวเจียทันใด นางกำนัลวัยกำดัดถึงกับแข้งขาอ่อนแรงทรุดกายลงไปนั่งอยู่บนพื้น ก้อนเนื้อในอกซ้ายยังคงเต้นถี่ระรัวนึกว่าจะโดนโบยเสียแล้ว

“พวกเจ้าออกไปได้” หนิวเหยียนโบกมือไล่ทหารและเยี่ยนกงกง ก่อนจะรีบดึงประตูให้ปิดลงด้วยตนเองท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน

เยี่ยนกงกงยืนนิ่งไปพักใหญ่ ไม่นานเมื่อตั้งสติได้จึงรีบหมุนกายเดินออกไปจากตำหนักซูหนี่ว์ เดิมทียังคงเดินด้วยท่าทางสุขุม แต่ดูเหมือนว่าภายในใจจะร้อนรุ่มเกินจะทานทนไหว สุดท้ายจึงสาวเท้าเร็วๆจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง ใครจะว่าเขาไม่สำรวมยามนี้เขาไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่ทำให้เขาตกใจจนสติแทบกระเจิง เฝิงฮองเฮาทรงบรรทมหลับใหลไม่ได้สติมาเป็นเวลานานหลายเดือน ทว่าจู่ๆวันนี้นางกลับลุกขึ้นมาเดินเหินได้ราวกับคนปกติ เหมือนกับคนไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

เยี่ยนกงกงครุ่นคิดอย่างเหลือเชื่อพลางรีบสาวเท้าตรงไปยังตำหนักไหลถังอันเป็นที่ประทับของเถียนจิ่งเทียนฮ่องเต้

ในขณะที่ภายในห้องบรรทม หนิวเหยียนยังคงนั่งอึ้งด้วยความตื่นตะลึง ดวงตาสองข้างทอดมองไปยังกระจกทองเหลืองที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเหม่อลอย หน้าตาของคนในกระจกไม่ใช่นางเลยแม้แต่น้อย ทั้งร่างสะอาดสะองค์งดงามหาใดเปรียบ ยกเว้นแค่รอยแผลเป็นที่อยู่บนไหล่บางข้างซ้ายของนางเท่านั้น ช่างน่าแปลกใจยิ่งนักที่ในร่างของหนิวเหยียนก็มีรอยแผลเป็นที่หัวไหล่ซ้ายแบบนี้เช่นกัน

ในที่สุดนางก็เชื่อแล้วว่าวิญญาณของนางได้เข้ามาอยู่ในร่างของคนอื่น อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นถึงฮองเฮาแห่งแคว้นเฟิ่ง ทว่าจากสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ ไม่นานปากที่เผยอค้างในตอนแรกก็ค่อยๆหุบลงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขึ้นมาแทนที่

นางเคยได้ยินมาว่าเถียนฮ่องเต้นั้นเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความเก่งกาจและเฉลียวฉลาด เป็นสุดยอดบุรุษแห่งแคว้นเฟิ่งแห่งนี้ แม้นางจะไม่เคยเห็นพระพักตร์ของเถียนฮ่องเต้มาก่อน เพราะทำงานอยู่ที่หอหมื่นบุปผาจนไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน บุรุษสูงศักดิ์เช่นนั้นไม่มีวันมาเยือนที่หอนางโลมต่ำต้อยของนางหรอก

หากแต่คำเล่าลือของผู้คนก็ทำให้นางชักอยากจะชื่นชมความสง่างามของเถียนฮ่องเต้ไม่น้อยเลยทีเดียว หนิวเหยียนที่อยู่ในร่างเฝิงลี่เหยียนฮองเฮายืดหลังตรง มือสองข้างวางประสานกันบนหน้าตักพร้อมเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ท่าทางเช่นนี้สมกับเป็นฮองเฮาหรือยังนะ...

“เอาล่ะในเมื่อข้าคือฮองเฮาแล้วฮ่องเต้อยู่ที่ไหนกันเล่า ไยถึงไม่มาหาข้า”

หลิวเจียถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ดูเอาเถิดว่าฮองเฮาทรงรักใคร่เถียนฮ่องเต้มากแค่ไหน แม้กระทั่งในยามที่นางฟื้นคืนสติยังถามหาเถียนฮ่องเต้เป็นคนแรก หากฮ่องเต้ทรงรักใคร่ฮองเฮาได้เหมือนกับที่นางรักเขาก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว

“ฮ่องเต้ทรง…” หลิวเจียอ้าปากขึ้นหมายจะตอบคำถามของสตรีหงส์ หากแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยต่อ เสียงขันทีก็ดังขึ้นอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับที่ประตูไม้บานใหญ่ถูกผลักให้เปิดออก

“ฮ่องเต้เสด็จ!”

ทั้งเฝิงลี่เหยียนและหลิวเจียหันไปมองบุรุษร่างสูงที่เดินเข้ามาใหม่ หลิวเจียรีบทำความเคารพโอรสสวรรค์และก้าวถอยไปยืนอยู่ที่มุมห้องอย่างรู้งาน

‘ไหนดูซิว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นเฟิ่งจะหล่อเหลารูปงามมากเพียงใด’ เฝิงลี่เหยียนเนื้อกายสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นระคนอยากรู้ ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นไล่สายตาจากรองเท้าคู่ใหญ่มาจนถึงหน้าอกล่ำสันแม้จะอยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีแดงปักลายดิ้นทองบ่งบอกถึงสถานะของคนตรงหน้า แต่นางสัมผัสได้ว่าภายใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่นี้คงจะเต็มไปด้วยมัดกล้าม เพราะท่อนแขนกำยำของเขาเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีสำหรับคำถามที่อยู่ในใจของนาง

ครั้นเมื่อสายตาจรดไปที่ริมฝีปากพบว่ามันได้รูปรับกับปลายจมูกโด่งเป็นสันของเขาอย่างพอดิบพอดี ไหนจะดวงตาคู่คมของเขานั่นอีกเล่า เมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเต็มสองตา หัวใจของเฝิงลี่เหยียนพลันกระตุกวาบ! จากที่ดีใจที่ได้เห็นพระพักตร์ของเถียนฮ่องเต้กลับกลายเป็นความตกใจขึ้นมาแทนที่

ร่างบางตัวแข็งค้างด้วยความตื่นตะลึง เสมือนวันนี้มีเรื่องให้นางต้องตกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปากบางอ้ากว้างออกจากกันจ้องร่างสูงองอาจตาไม่กะพริบ

“หลิวเจีย ฮองเฮาของเจ้ากลายเป็นคนสติไม่สมประกอบไปแล้วหรือ”

เถียนจิ่งเทียนถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง แม้จะเอ่ยชื่อหลิวเจีย หากแต่สายตาของเขาไม่ได้ละไปจากเฝิงลี่เหยียนแต่อย่างใด อันที่จริงนึกประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นคนตรงหน้าหายจากอาการเจ็บป่วยราวกับปาฏิหาริย์ ทว่าเขาเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน เขาไม่ได้มีทั้งอารมณ์ดีใจหรือเสียใจที่เห็นนางกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะความรู้สึกที่เขามีให้นางนั้นเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายและชิงชังมากเหลือเกิน

เฝิงลี่เหยียนได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากหยักได้รูปของคนที่นางเผลอไผลชื่นชมเมื่อครู่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเถียนฮ่องเต้นั่นเป็นบุรุษปากร้ายดีๆนี่เอง

“พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน ข้าอยากพูด เอ่อ… สนทนากับฮ่องเต้ตามลำพัง”

ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างลอบมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่เมื่อเห็นมือใหญ่ของเถียนจิ่งเทียนยกขึ้นทำนองส่งสัญญาณให้ออกไปจากห้อง พวกเขาจึงรีบเดินออกไปจากประตูด้วยความรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดอยากอยู่ท่ามกลางศึกขนาดย่อมที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้นักหรอก

เฝิงลี่เหยียนรอจนประตูปิดลง จากนั้นจึงลุกขึ้นก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของเถียนจิ่งเทียน

“ท่านจำข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” หญิงสาวคว้าหมั่บไปบนมือหนา เป็นเหตุให้คนตัวโตสะบัดมือของนางออกจนร่างบางเซถลาไปทางด้านหลัง ยังดีที่คว้าขอบเก้าอี้ไม้เอาไว้ได้ทัน หาไม่คงล้มก้มจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นเป็นแน่

“ทำอะไรของเจ้า!” น้ำเสียงแหบห้าวเต็มไปด้วยความเดือดดาล ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววแห่งความเครียดขึงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

“ท่านจำข้าไม่ได้หรือ ข้ากับท่านเคยเจอกันที่หอ…” เฝิงลี่เหยียนกล่าวยังไม่ทันจบ เถียนจิ่งเทียนก็ขัดขึ้นมาทันใด

“หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าลืมข้อตกลงของเราไปแล้วหรือ”

หญิงสาวชะงักฝีเท้าอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงกระด้างของคนตรงหน้า ความสัมพันธ์ของเถียนฮ่องเต้กับเฝิงฮองเฮาเป็นอย่างไรกันแน่ เหตุใดเขาถึงได้มีท่าทางราวกับเกลียดชังและรังเกียจนางเช่นนี้กันนะ

“ข้อตกลงอะไรกัน” เฝิงลี่เหยียนพึมพำเสียงเบาด้วยความไม่เข้าใจ ดวงหน้าของนางฉายแววแห่งความสงสัยอยู่หลายส่วน

รอยยิ้มหยันปรากฏอยู่ข้างมุมปากของเถียนจิ่งเทียน หากแต่เขาไม่แม้แต่จะขยับเข้ามาใกล้ แต่กลับยกมือขึ้นกอดอก เดินผ่านร่างบางตรงไปนั่งบนขอบเตียงแทน

“ห้ามอยู่ใกล้ข้าเกินหนึ่งผิง (3.3 เมตร) ห้ามทำตัวสนิทสนมกับข้ายกเว้นตอนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของไทเฮา ห้ามแตะเนื้อต้องตัวข้าหากไม่ได้รับอนุญาต ห้ามสนทนากับข้าหากข้าไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน”

คำตอบของเขาทำให้เฝิงลี่เหยียนอ้าปากกว้างมากกว่าเดิม ชัดแล้ว! เฝิงฮองเฮากับเถียนฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีฉันท์สามีภรรยากันจริงๆ!

“เจ้ากับข้าตกลงกันว่าจะเป็นสามีภรรยากันแค่ในนาม อย่าบอกนะว่าการที่เจ้านอนไร้สติไปหลายเดือนทำให้ความทรงจำของเจ้าขาดหายไป”

“ข้าไม่สนหรอกนะว่าท่านกับฮองเฮาผู้นี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ฝ่าบาทต้องฟังข้าเพราะข้ากำลังจะบอกท่านว่า…”

“หยุด! เจ้าก้าวเข้ามาเกินหนึ่งผิง”

นิ้วใหญ่ยกขึ้นชี้หน้าของคนตัวเล็ก แววตาคู่คมมองอย่างเอาเรื่องราวกับว่าหากนางก้าวเข้าไปใกล้เขาอีกแม้แต่นิดเดียว เขาพร้อมที่จะปลิดชีพสังหารนางทันที จากที่คิดว่าจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอหมื่นบุปผากลับต้องเงียบเสียงลงทันใด นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆไม่อาจหาญสู้กับพญาราชสีห์จอมก้าวร้าวอย่างเขาได้หรอก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel