บทที่ 8 เจ้าก้อนแป้งไม่สบาย
หลังเสร็จธุระจากสำนักมังกรดำ ซูอี้ซินก็พาเฉินหยวนหยวนและเกาอิ่งกลับ ระหว่างทางได้ผ่านตลาด นางจึงพาเฉินหยวนหยวนแวะตลาดเพื่อเลือกซื้อขนมกินเล่น
"ท่านแม่ อยากกินขนมน้ำตาลปั้น" เด็กน้อยชี้ไปยังขนมที่ปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ วางเสียบไม้สีสันสดใสน่ารับประทาน ซูอี้ซินไม่ขัดใจบุตรชาย นางจับจูงมือเล็กเดินตรงไปยังร้านขายขนมทันที
จากนั้นนางก็พาเด็กน้อยเดินผ่านร้านขายว่าวกระดาษที่ทำเป็นรูปทรงต่างๆ เฉินหยวนหยวนเบิกตากว้างมองว่าวกระดาษด้วยดวงตาเป็นประกาย
"ท่านแม่ อยากได้"
ซูอี้ซินยังไม่ทันตอบอะไร จู่ๆ เม็ดฝนห่าใหญ่ก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นางจึงรีบอุ้มเจ้าก้อนแป้งวิ่งกลับไปยังรถม้าอย่างรวดเร็ว
ทว่าต่อให้วิ่งเร็วแค่ไหน ก็ไม่อาจหลบเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงได้ ซูอี้ซินจำต้องพาบุตรชายกลับจวนด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอน เมื่อกลับไปถึงนางได้พาเฉินหยวนหยวนไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เสียใหม่ ก่อนจะให้กู้หรงพาเจ้าก้อนแป้งกลับไปส่งที่เรือนเล็ก
เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงเวลาที่เฉินหยางกลับมา ซูอี้ซินคาดการณ์ว่าอีกไม่นานเขาต้องตามมาเอาเรื่องนางเป็นแน่ เพราะอย่างไรเสียหลิวม่านก็จะต้องเปิดปากฟ้องเรื่องที่นางพาเฉินหยวนหยวนออกไปข้างนอกอย่างแน่นอน
พลันไม่นานนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งตึงตังตรงเข้ามา พร้อมๆกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ
ก๊อกๆๆ
"เข้ามาได้" ซูอี้ซินคิดว่าต้องเป็นเฉินโหวไม่ผิดแน่ แต่เมื่อประตูเปิดออกนางก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นคือเกาอิ่ง
"ฮูหยินเจ้าขา เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ"
"มีเรื่องอะไรหรือ"
"ตอนนี้คุณชายหยวนเอ๋อร์ไข้ขึ้นสูงมาก ท่านโหวส่งคนไปตามท่านหมอแล้ว ท่านหมอกำลังตรวจอาการคุณชายอยู่ที่เรือนเล็กเจ้าค่ะ"
หัวใจของซูอี้ซินหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มหลังจากได้ฟังคำรายงานของเกาอิ่ง หญิงสาวผวาลุกขึ้นก่อนจะรีบสาวเท้าวิ่งตรงไปยังเรือนเล็กด้วยความรวดเร็ว เป็นห่วงเจ้าก้อนกลมจนสุดหัวใจ
ภายในเรือนเล็กที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย บนเตียงมีร่างเล็กของเฉินหยวนหยวนนอนหลับตาพริ้มอยู่ ใบหน้าของเจ้าก้อนแป้งแดงก่ำราวกับผลมะเขือเทศสุกเพราะพิษไข้
เสียงฝีเท้าหนักๆที่กำลังเดินเข้ามาทำให้บุรุษร่างสูงทั้งสองคนที่กำลังยืนสนทนากันหันไปมอง ทันทีที่เห็นว่าเป็นผู้ใด เฉินหยางก็กัดฟันดังกรอด เส้นเลือดตรงขมับปูดโปนบ่งบอกถึงความโกรธเป็นอย่างมาก
"ท่านโหว หยวนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" ซูอี้ซินปรี่เข้ามาถาม แต่เมื่อเห็นว่าประตูห้องเปิดกว้างอยู่ นางจึงชะโงกหน้าเข้าไปมอง เมื่อเห็นบุตรชายนอนนิ่ง หัวอกของคนเป็นแม่ก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างแรง รู้สึกสงสารเฉินหยวนหยวนเป็นอย่างมาก ซูอี้ซินเบี่ยงกายจากคนตัวโตหมายจะเดินเข้าไปหาบุตรชาย ทว่าเฉินหยางกลับปรี่เข้ามาขวางนางเสียก่อน
"กลับไป!" ชายหนุ่มตะโกนใส่หน้าของนางเสียงดัง
"ท่านโหว ข้าขอเข้าไปดูลูกก่อนได้หรือไม่ ข้ารั้งอยู่ไม่นานหรอกแล้วจะรีบกลับไป"
คำว่า 'ท่านโหว' ที่ออกมาจากปากบางทำให้ถังอี้เซียวหันมามองสตรีร่างบางที่ยืนอยู่ข้างกาย คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความแปลกใจที่ได้ยินนางเรียกเฉินโหวด้วยวาจาห่างเหินทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"ไม่ได้! ข้าไม่อนุญาต! เป็นเพราะเจ้าที่ทำให้ลูกต้องเป็นอย่างนี้ ข้าสั่งห้ามแล้วใช่หรือไม่ว่าห้ามเจ้าอยู่กับลูกตามลำพัง ก่อนหน้านี้เจ้าก็ขัดคำสั่งข้าหนหนึ่งแล้ว ข้าอุตส่าห์ไม่เอาความ แต่ครั้งนี้เจ้าก็ทำอีกแถมทำให้ลูกต้องล้มป่วย"
"ข้าไม่ได้ตั้งใจ" นางไม่รู้จริงๆว่าจู่ๆฝนจะตกลงมาเช่นนี้ หากนางรู้คงไม่พาลูกออกไปหรอก ซูอี้ซินได้แต่เถียงคนตัวโตอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดออกมาเพราะรู้ว่านางเองก็ผิดที่ขัดคำสั่งเขา
"กลับไป! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า! ต่อไปนี้อย่าให้ข้าเห็นว่าเจ้าอยู่ใกล้ลูกอีก!" ชายหนุ่มตวาดเสียงดัง พร้อมยกนิ้วขึ้นชี้ไล่นางด้วยความโกรธ
"ท่านไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย"
วาจาของนางทำให้ดวงตาของคนฟังวาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว เขาแค่นเสียงหึออกมาเบาๆ น้ำเสียงของเขาชวนให้ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
"ไม่มีเหตุผลงั้นหรือ ได้... เช่นนั้นข้าจะเป็นคนมีเหตุผลให้เจ้าดู ทหารพาตัวฮูหยินกลับไปขังไว้ที่ห้องหอ หากไม่ได้รับคำสั่งจากข้า ห้ามให้นางย่างกรายออกมาแม้แต่ก้าวเดียว!" เฉินหยางออกคำสั่งเสียงกร้าว จากนั้นทหารสองนายก็โผเข้ามาจับแขนของซูอี้ซินคนละข้าง หากแต่นางกลับสะบัดออก
"ไม่ต้อง ข้าเดินเองได้" ซูอี้ซินประสานสายตากับคนตัวโตด้วยแววตาเดือดดาลก่อนจะสะบัดหน้าก้าวเดินจากไปในทันที
"ท่านโหว หนนี้ท่านไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ" ถังอี้เซียวหันมากล่าวกับสหาย นึกเห็นใจซูอี้ซินอยู่มาก ทั้งๆที่นางมีใจให้กับเฉินโหว แต่เขากลับไม่เคยสนใจไยดีนาง แต่นางเองก็ผิดที่เคยทำร้ายเฉินหยวนหยวนจนเลือดตกยางออก และเพราะเหตุนี้ จากที่เฉินโหวกำลังพยายามทำใจยอมรับนางก็กลับกลายเป็นความเกลียดชังเข้ามาแทนที่
แม้ในอดีตเขาจะดูแลให้เกียรตินางในฐานะภรรยา แต่ไม่เคยแตะต้องนางเลยสักหน การทำเช่นนี้สร้างความอึดอัดใจให้ซูอี้ซินยิ่งนัก
"ข้าเกลียดนาง นับวันข้าก็ยิ่งเกลียดนางมากขึ้นทุกวันๆ" มือหนากำแน่นเข้าหากัน แม้จะเกลียดแต่ก็ไม่อาจตัดขาดจากกันได้ เพราะเป็นสมรสพระราชทานจึงต้องทนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในชายคาเดียวกันด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน
"แล้วเหตุใดท่านไม่แต่งคุณหนูเว่ยฟางอินเข้ามาเป็นฮูหยินรองเล่า ในเมื่อตอนนี้เว่ยเสวียนฮูหยินก็จากไปแล้ว อีกทั้งคุณหนูฟางอินก็มีศักดิ์เป็นท่านน้าของหยวนเอ๋อร์ มีสายเลือดเดียวกัน"
"..." เฉินหยางไม่ตอบอะไร เขาหมุนกายหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องของบุตรชาย ปล่อยให้ถังอี้เซียวส่ายศีรษะไปมาให้กับความเข้าใจยากของสหายรัก
ร่างบางก้าวเดินกลับไปยังจวนใหญ่ โดยมีทหารสองนายเดินตามไม่ห่าง ยามนี้ซูอี้ซินอารมณ์ไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ล้วนแต่ขวางหูขวางตาไปเสียหมด
"พวกเจ้าไม่ต้องมาเดินตามข้า กลับไปเถิด ข้าไปเองได้" นางหันมาเอ่ยกับทหาร แต่พวกเขายังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับทำให้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม
"ไปสิ! ข้าไม่ใช่นักโทษนะที่ต้องมีคนคอยตามตลอดทุกฝีก้าวเช่นนี้" หญิงสาวยกมือเท้าสะเอว กล่าวอย่างหัวเสีย ท่าทางของนางทำให้คนที่เดินตามมาห่างๆยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความขบขันระคนเอ็นดู
"พวกเจ้าสองคนไปเถิด ข้าจะคอยดูฮูหยินเอง" ถังอี้เซียวเดินเข้ามากล่าวกับทหารทั้งสองนาย พวกเขาหันมาสบตากันเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ก่อนจะก้มศีรษะให้ถังอี้เซียวหนึ่งหนและเดินจากไป
"ท่านหมอ"
ชายหนุ่มนึกแปลกใจขึ้นมาอีกหนที่เห็นนางเรียกเขาราวกับคนที่ไม่รู้จักกัน ทั้งๆที่เคยพบเจอกันมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเขาเคยได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้นางได้รับบาดเจ็บเพราะถูกลอบทำร้ายจนทำให้ความทรงจำของนางขาดหายไปบางส่วน
"ข้าชื่อถังอี้เซียว ฮูหยินเรียกข้าว่าคุณชายถังเหมือนเดิมเถิด" เขาส่งยิ้มให้นางบางๆ ซูอี้ซินจึงหันไปสบตากับเกาอิ่งเห็นนางผงกศีรษะให้เบาๆ นางจึงหันมาส่งยิ้มคืนให้กับคนตัวโต
"ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินได้รับบาดเจ็บ ยามนี้เป็นอย่างไรบ้าง" เขาถามพลางกวาดตามองไปยังคนร่างบางตรงหน้าอย่างสำรวจ เพราะในตอนที่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น ยามนั้นเขาไม่ได้อยู่ที่เมืองไป๋ เนื่องจากเดินทางไปทำธุระที่เมืองหลวง ในตอนนั้นเป็นบิดาของเขาที่เป็นคนทำการรักษานาง
"ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณคุณชายไป๋ที่ถามไถ่" หญิงสาวเอ่ย ก่อนจะหยุดไปเล็กน้อย ด้วยรู้ว่าถังอี้เซียวกับเฉินโหวเป็นสหายรักกัน ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าข้างสหายของเขาหรือไม่ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มเป็นมิตรที่เขาส่งมาให้ นางจึงตัดสินใจถามถึงอาการของเฉินหยวนหยวน
"คุณชายถัง หยวนเอ๋อร์อาการเป็นอย่างไรบ้างหรือ"
"ฮูหยินไม่ต้องกังวลไป หยวนเอ๋อร์ไข้ขึ้นเพราะตากฝน ข้าให้ยาดื่มไปแล้วอีกไม่นานคงจะอาการดีขึ้น หากแต่ว่าหยวนเอ๋อร์ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงต้องคอยระวังอย่าให้ไข้กลับมาขึ้นสูงอีก ข้าได้บอกท่านโหวเอาไว้แล้วว่าถ้าหากคุณชายอาการไม่ดีขึ้นให้ส่งคนไปตามข้าได้ทุกเวลา"
วาจาของเขาทำให้ซูอี้ซินรู้สึกโล่งใจไม่น้อย นางหันไปยิ้มกับเกาอิ่ง หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มสดใสพร้อมด้วยดวงตาที่เป็นประกายของนางทำให้ใครบางคนถึงกับใจสั่น ในยามที่คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาสบตา เขากลับต้องรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
"ขอบคุณคุณชายถังมากนะเจ้าคะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน" กล่าวจบนางก็เดินจากไปพร้อมกับเกาอิ่ง โดยมีสายตาของถังอี้เซียวมองตามไปจนลับสายตาพร้อมกับรอยยิ้มหวานที่เผยขึ้นมาที่มุมปาก
