บทที่ 7 เยือนสำนักมังกรดำ
วันต่อมาซูอี้ซินลอบไปหาเฉินหยวนหยวนที่สวนอุทยานอีกครั้ง โดยอาศัยจังหวะในตอนที่เฉินโหวออกไปทำงาน นางเห็นเจ้าก้อนกลมกำลังวิ่งเล่นอยู่กับพี่เลี้ยงจึงไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปหา
"หยวนเอ๋อร์"
ครานี้ทันทีที่เจ้าตัวเล็กเห็นนาง เขาก็อ้าปากส่งยิ้มกว้าง ทำท่าจะวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ
"ท่านแม่"
แต่ทว่าหลิวม่านกลับคว้าแขนเล็กของเขาเอาไว้ก่อน เฉินหยวนหยวนพยายามแกะมือของนางออก พลางเอ่ยว่า
"หลิวม่านปล่อย อยากไปหาท่านแม่"
"ไปไม่ได้เจ้าค่ะ" หลิวม่านกล่าวเสียงแข็ง นางไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เห็นเด็กน้อยมีท่าทีสนิทสนมกับซูอี้ซิน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เด็กชายหวาดกลัวมารดาเลี้ยงของตนอยู่มาก
"ไม่เอา อยากไปหาท่านแม่" ปากจิ้มลิ้มเบะเข้าหากัน แต่ไม่ว่าอย่างไรหลิวม่านก็ไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังบีบแขนเล็กแรงขึ้นด้วยความไม่พอใจอย่างลืมตัว
"เจ็บ ฮือ" เฉินหยวนหยวนแผดเสียงร้องไห้จ้า เสียงร้องของเขาทำให้ซูอี้ซินตกใจเป็นอย่างมาก นางเดินเข้ามาใกล้พลางใช้มือผลักหลิวม่านออกอย่างแรงจากนั้นจึงอุ้มบุตรชายมาไว้ในอ้อมอก
"หยุดนะ!" นิ้วเรียวชี้ไปยังหลิวม่านที่ผุดลุกขึ้นและปรี่เข้ามาหาหมายจะมาแย่งตัวของเฉินหยวนหยวน จนนางหยุดชะงักกึกไปในทันทีที่เห็นสายตาเอาเรื่องของซูอี้ซิน
"หนนี้ข้าจะไม่เอาเรื่อง แต่ถ้าหากเจ้าทำให้ลูกของข้าเจ็บตัวอีก ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างหนัก" เอ่ยจบหญิงสาวก็พาเจ้าก้อนแป้งเดินจากไป หลิวม่านทำท่าจะเดินตาม แต่โดนกู้หรงปรี่มาขวางเอาไว้เสียก่อน กว่าจะรู้ตัวว่าเสียรู้ให้กับซูอี้ซินก็ในตอนที่ได้ยินเสียงประตูจวนสกุลเฉินเปิดออก
เมื่อนั้นร่างบางจึงวิ่งตรงไปยังหน้าประตูและได้เห็นรถม้าคันใหญ่ได้วิ่งออกไปแล้ว หลิวม่านใจหายวาบ นางรู้ได้ทันทีว่าเฉินหยวนหยวนอยู่บนรถม้าคันนั้น ครั้นจะวิ่งตามออกไปก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะรถม้าโดยสารได้วิ่งออกไปไกลมากแล้ว
เฉินหยวนหยวนรู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก เด็กน้อยใช้สองมือเกาะขอบหน้าต่างมองทิวทัศน์ยามที่รถม้าได้วิ่งผ่านไป จากถนนเส้นหลักที่มีผู้คนสัญจรเดินกันเต็มขวักไขว่อยู่สองข้างทางก็กลับกลายเป็นภาพของทิวเขาที่เรียงรายสลับทับซ้อนกันราวกับภาพวาดจากจิตรกรชื่อดัง
"ท่านแม่ กระรอก" นิ้วเล็กกลมป้อมชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ แลเห็นกระรอกสีขาวเผือกสองตัวกำลังวิ่งไล่จับกัน ซูอี้ซินได้ยินเสียงของบุตรชายนางจึงชะโงกหน้าออกไปมอง ก่อนจะหันกลับมาเห็นเจ้าก้อนกลมที่ปรบมือดังแปะๆเปล่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาด้วยความชอบใจ
"สนุกไหมลูก"
"สนุกขอรับ"
"ไว้วันหลังแม่จะพาลูกออกมาเที่ยวอีกนะ" ซูอี้ซินกดริมฝีปากลงบนพวงแก้มนุ่มนิ่มพลางสูดความหอมเข้าปอดเฮือกใหญ่ แก้มขาวอวบของบุตรชายไม่ได้ทำให้นางรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังเสพติดต้องคอยหอมอยู่บ่อยๆอีกด้วย
"พาคุณชายออกมาข้างนอกเช่นนี้ หากท่านโหวรู้เข้าคงจะโมโหไม่น้อยเลยนะเจ้าคะฮูหยิน" เกาอิ่งพูดพลางทำท่าขนลุกซู่ ยามที่เจ้านายหนุ่มโมโหช่างน่ากลัวยิ่งนัก แม้เขาจะไม่เคยแสดงอารมณ์โมโหให้เห็นบ่อยนักก็ตาม
"อย่าคิดมากเลยเกาอิ่ง หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง" หลังจากที่นางสังเกตการณ์อยู่หลายวัน พบว่าเฉินหยางมักจะกลับมาถึงจวนราวๆยามอิ่ว (17.00 - 18.59 น.) นางมั่นใจว่าจะพาเจ้าก้อนแป้งกลับไปถึงจวนก่อนที่เขาจะกลับมาอย่างแน่นอน
เฉินหยวนหยวนมีความสุขอย่างมากที่ได้ออกมาท่องเที่ยวดูโลกกว้างนอกจวนสกุลเฉิน หากเขาจะขัดความสุขของลูกโดยการขัดขวางหรือสั่งห้ามไม่ให้นางพาลูกออกมาข้างนอกก็ลองดูสิ!
สำนักมังกรดำเป็นสำนักสำหรับฝึกสอนวิทยายุทธ์ ผู้ที่เป็นเจ้าของมีนามว่า 'หูอี้โป' หรือท่านอาจารย์หูของนางนั่นเอง ที่นี่ไม่รับคนภายนอกเข้าไปเรียน มีเพียงท่านอาจารย์หูที่คอยรับเด็กที่กำพร้าพ่อแม่และร่อนเร่ไปตามสถานที่ต่างๆ ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งมาเลี้ยงและฝึกฝน หากจบหลักสูตรและมีอายุที่โตพอจะออกไปทำงานได้ ก็จะปล่อยให้พวกเขาออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพ ส่วนมากเมื่อเด็กๆที่นี่จบไปก็มักจะไปสมัครเป็นทหารภายในกองทัพหรือวังหลวง หรือไม่ก็ไปสมัครตามจวนสกุลต่างๆที่ต้องการคนอารักขา
ท่านอาจารย์หูไม่เคยคาดหวังสิ่งของเงินทองจากลูกศิษย์ทุกคน มีเพียงแค่ความหวังว่าหากพวกเขาจบจากที่นี่ไปแล้ว จะสามารถหาอาชีพเพื่อเลี้ยงชีพได้เท่านั้น
รถม้าของสกุลเฉินวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตู พลันไม่นานก็มีคนวิ่งมาถามไถ่ ซูอี้ซินจึงให้เกาอิ่งลงไปแจ้งความจำนงในการมาเยือนในครั้งนี้ จากนั้นนางก็ถูกเชิญให้ไปที่ศาลาริมสวน รอเพียงไม่นานก็เห็นร่างสูงที่คุ้นเคยกำลังเดินตรงเข้ามา
"เฉินฮูหยิน"
"ศิษย์..." ซูอี้ซินกำลังจะขานเรียกชื่อคนที่เดินเข้ามา ทว่าสายตาเหลือบไปเห็นเกาอิ่งเสียก่อน นางจึงนึกขึ้นมาได้ว่ายามนี้นางหาใช่จางจื่อรุ่ยคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
"เกาอิ่งพาหยวนเอ๋อร์ไปเดินเล่นก่อนเถิด" ซูอี้ซินยื่นเจ้าก้อนแป้งในอ้อมแขนของนางให้กับเกาอิ่ง รอจนกระทั่งเกาอิ่งพาบุตรชายเดินออกไป นางจึงหันมาหาหม่าจวิ้นฮุย
"ศิษย์พี่"
ชายหนุ่มย่นคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจที่ได้ยินนางเรียกเขาราวกับคนสนิทสนมคุ้นเคยกัน ทั้งๆที่เขาและนางไม่เคยเจอกันมาก่อน
"ฮูหยินมีธุระอะไรกับท่านอาจารย์หูหรือขอรับ" น้ำเสียงของเขาเย็นชาห่างเหิน อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความโกรธระคนคับแค้นใจ เขารู้ว่าศิษย์น้องของเขาหรือจางจื่อรุ่ยนั้นต้องมาสิ้นชีพลงอย่างน่าอนาจเพราะนาง
"ศิษย์พี่ข้าคือจางจื่อรุ่ย"
"ฮูหยินหมายความว่าอย่างไร ศิษย์น้องของข้าตายไปแล้ว ท่านอย่าพูดจาโกหกหลอกลวงเช่นนี้เลย" เขาพยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ในใจ มองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดูอย่างไรก็ไม่ใช่จางจื่อรุ่ย แม้แต่เสี้ยวหน้าหนึ่งข้างก็ไม่เหมือน
"ข้าไม่ได้โกหกแต่ข้าพูดจริง ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่านอาจารย์ ศิษย์พี่รีบพาข้าไปหาท่านอาจารย์เถิด" ถึงแม้ว่านางจะรู้เรือนพักของท่านอาจารย์หู หากแต่ว่าเรือนพักนั้นอยู่ในตึกข้างในจนเกือบสุดกำแพงท้ายสำนัก อนุญาตให้เพียงแค่คนในเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้
"ฮูหยินกลับไปเถิด ท่านอาจารย์ไม่มีเวลาว่างมานั่งฟังคำโกหกหรอก"
หม่าจวิ้นฮุยหมุนกายหันหลัง อันที่จริงเขาไม่อยากจะมาพบนางด้วยซ้ำไป แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางเป็นคนที่พรากจางจื่อรุ่ยศิษย์น้องที่เขารักเอ็นดูราวกับน้องสาวร่วมสายเลือดไปจึงคิดที่อยากจะมาดูหน้าของนางให้เห็นเต็มสองตา ทว่าพอมาถึงไม่นึกว่าเขาจะได้ยินวาจาโกหกคำโตที่ออกมาจากปากของเฉินฮูหยิน ทั้งๆที่นางเป็นถึงฮูหยินของเฉินโหว แต่กลับกล้าพูดปดออกมาอย่างหน้าไม่อาย
เขาหมดคำจะพูดกับนางจริงๆ...
ซูอี้ซินยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อเห็นว่าหม่าจวิ้นฮุยไม่ยอมฟังคำพูดของนางเลย นางจึงคิดว่าเขาไม่ยอมเชื่อนางง่ายๆแน่ นอกจากนางจะพิสูจน์ให้เขาเห็นได้ว่านางคือจางจื่อรุ่ยจริงๆ
"หากศิษย์พี่ไม่ยอมพาข้าไปพบท่านอาจารย์หู เช่นนั้นข้าจะประกาศให้ทุกคนในสำนักมังกรดำรู้ว่าท่านแอบนำหนังสือภาพวังวสันต์เข้ามาอ่านที่เรือนนอน และท่านก็เก็บซ่อนมันไว้ใต้ฟูกที่ท่านนอน จากที่ท่านสะสมมาเกือบหกเดือน ตอนนี้หนังสือก็คงมีเกือบสิบเล่มแล้ว"
วาจาของนางทำให้หม่าจวิ้นฮุยชะงักฝีเท้าลงทันที เขารีบหันขวับกลับมามองซูอี้ซินด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก
"ฮะ ฮูหยินรู้ได้อย่างไรว่าข้าแอบสะสมหนังสือภาพวังวสันต์"
"จะไม่รู้ได้อย่างไรล่ะ ก็ข้าเป็นคนที่พาท่านไปซื้อที่ร้านหนังสือนอกเมืองอย่างไรเล่า"
"...!" หม่าจวิ้นฮุยมองคนตัวเล็กอย่างไม่เชื่อสายตา เขารับรู้ได้ว่ายามนี้ตัวของเขาชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อตั้งสติได้ก็รีบยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปาก หาไม่แมลงคงได้บินว่อนเข้าไปอาศัยอยู่ในปากเขาแล้ว
ซูอี้ซินเปล่งเสียงหัวเราะหึๆออกมาเบาๆ จากนั้นนางก็ขยับเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขา
"ในเมื่อท่านรู้ความจริงแล้ว จะพาข้าไปหาท่านอาจารย์ได้หรือยัง"
หม่าจวิ้นฮุยพาซูอี้ซินไปพบท่านอาจารย์หูตามคำขอ นางจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกอย่างให้ท่านอาจารย์กับศิษย์พี่ฟัง พวกเขารู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่แท้จริงแล้วนางยังอยู่ ซูอี้ซินนำยาบำรุงที่มีส่วนผสมของฝิ่นให้ท่านอาจารย์หู เขาบอกว่ายาบำรุงบางชนิดจะใส่ส่วนผสมของฝิ่นไว้เพื่อให้คนดื่มรู้สึกผ่อนคลายและหลับสบาย
แต่อย่างไรก็ตาม หากใส่มากเกินไปนั่นหมายความว่ามันไม่ใช่ยารักษา แต่เป็นยาเสพติด ท่านอาจารย์หูจึงรับปากว่าเขาจะลองตรวจสอบยาบำรุงนี้ดูก่อนว่ามีส่วนผสมของฝิ่นมากน้อยเพียงใด จะได้รู้ว่าจุดประสงค์ของคนที่ให้ยาบำรุงนี้กับนางคืออะไรกันแน่
