บทที่ 9 หยวนเอ๋อร์คิดถึงท่านแม่
คืนนี้เฉินหยางตั้งใจที่จะนอนเฝ้าไข้ของบุตรชาย เมื่อตอนหัวค่ำเจ้าก้อนแป้งมีอาการดีขึ้นเพราะได้ยาดีจากถังอี้เซียวจึงทำให้เขาตื่นมากินข้าวได้เล็กน้อยก่อนจะผล็อยหลับไปอีกหน
เฉินหยวนหยวนเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนดราวๆหนึ่งเดือน ร่างกายจึงไม่ค่อยแข็งแรงเท่ากับเด็กคนอื่น และยิ่งมาเจ็บป่วยเช่นนี้ทำให้เฉินหยางรู้สึกกังวลใจไม่น้อย
"ให้บ่าวนอนเฝ้าคุณชายด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ" หลิวม่านสบตาเจ้านายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มหวาน ลึกๆแล้วนางอยากใกล้ชิดเขา ที่ผ่านมานางทำตัวเป็นพี่เลี้ยงที่แสนดีมาโดยตลอดเพื่อหวังเอาชนะใจเฉินหยวนหยวนและเฉินโหว หลังจากที่เว่ยเสวียนฮูหยินจากไป นางเป็นคนเดียวกระมังที่ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการจากไปของเว่ยเสวียนเลย และยิ่งเสิ่นฮูหยินเรียกนางไปคุยเพื่อที่จะให้นางมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเฉินหยวนหยวน ในตอนนั้นนางจำได้ว่านางตอบรับวาจาของเสิ่นฮูหยินด้วยความยินดียิ่งนัก
และยิ่งได้มาเห็นว่าความสัมพันธ์ของเฉินโหวและเฉินฮูหยินเป็นไปอย่างที่ไม่ค่อยจะดีนัก ยิ่งทำให้ความหวังของนางส่องแสงประกายขึ้นมามากกว่าเดิม
เฉินหยางมองลึกไปยังแววตาของนาง ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กของบุตรชายเล็กน้อย หลิวม่านคิดว่าเขาต้องตอบตกลงเป็นแน่ นางจึงขยับเข้ามาใกล้จนตอนนี้นางและเขาอยู่ใกล้กันยิ่งนัก
"บ่าวเป็นห่วงคุณชายหยวนเอ๋อร์จริงๆนะเจ้าคะ" หญิงสาวส่งสายตาให้เขาอย่างเชื้อเชิญ เปิดเปลือยถึงความในใจให้เขาได้รับรู้ ทว่าเฉินหยางกลับขยับก้าวถอยหลัง เว้ยระยะห่างจากนางไปหลายชุ่น
"ไม่ต้อง เจ้าออกไปเถิด ข้าจะนอนเฝ้าหยวนเอ๋อร์เอง"
"แต่ว่า..." หลิวม่านกำลังจะเอ่ยปากหาข้ออ้าง แต่กลับโดนคนตัวโตขัดขึ้นมาเสียก่อน
"ออกไป" ชายหนุ่มหันไปที่ประตูสลับกับหันมามองนาง หลิวม่านจึงรีบเงียบเสียงลงทันที นางรู้ว่าเฉินโหวไม่ชอบพูดอะไรซ้ำสอง หากทำให้เขาโกรธขึ้นมาไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่
หญิงสาวข่มความเสียใจเอาไว้ภายในใจ นางตอบรับคำสั่งของเขาเสียงแผ่ว ก่อนจะเดินคอตกออกไปอย่างน่าสงสาร ทว่าคล้อยหลังจากที่ประตูปิดลง ดวงตาคู่งามก็แข็งกระด้างขึ้นมาทันที นางอยากจะกรีดร้องออกมาเสียงดังด้วยความคับแค้นใจ ทำดีเท่าไหร่เฉินโหวก็ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ลางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าหากไม่มีซูอี้ซิน เขาจะยอมรับนางหรือไม่!
ยามนี้เป็นเวลายามจื่อ (23.00 - 00.59 น.) เฉินหยางเดินเข้าไปใกล้บุตรชายเห็นเขายังคงนอนหลับสนิทเช่นเดิมจึงวางใจลง ชายหนุ่มเดินมานั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงเพื่อพักสายตา
กุกกัก!
ท่ามกลางความเงียบสงบในยามค่ำคืน ชายหนุ่มกลับได้ยินเสียงผิดปกติบางอย่างที่ดังขึ้นจากทางหน้าต่าง เขาเอื้อมไปคว้ากริชเงินที่ซ่อนอยู่ข้างเอวเอาไว้ โดยที่ยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิมด้วยความคิดที่ว่าหากมีผู้ใดโผล่มา เขาจะโยนกริชเงินตัดขั้วหัวใจของคนผู้นั้นทันที
ตุ้บ!
เสียงฝีเท้าคนกระโดดข้ามหน้าต่างลงมาอยู่ที่พื้น อันที่จริงเสียงนั้นไม่ได้ดังมาก ออกจะกลมกลืนไปกับเสียงแมลงกลางคืนที่ส่งเสียงร้องระงมแข่งกันด้วยซ้ำ ทว่าสำหรับคนที่ได้รับการฝึกฝนวรยุทธมาอย่างชำนาญอย่างเขาทำให้สามารถจับความผิดปกติและจับเสียงคนเคลื่อนไหวได้ไม่ยาก
เปลือกตาหนาข้างหนึ่งค่อยๆเปิดขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกคือใคร เขากลับต้องขมวดคิ้วมุ่น พร้อมปล่อยมือออกจากด้ามกริช แต่เมื่อเห็นนางหันกลับมามอง เขาก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติและแสร้งทำเป็นนอนหลับไปเช่นเดิม
"มาเฝ้าลูกแต่กลับนอนหลับงั้นหรือ เป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ" ซูอี้ซินบ่นพึมพำออกมาเบาๆพลางส่ายศีรษะไปมาด้วยความเอือมระอาเมื่อเห็นคนตัวโตนอนหลับอยู่บนเก้าอี้โยกตัวใหญ่ หารู้ไม่ว่าคนที่นอนหลับตาอยู่ได้ยินคำพูดของนางทุกคำ
'ทำเป็นพูดดีไปเถอะ หากเปลี่ยนจากข้าเป็นเจ้าคงจะไม่ได้สนใจดูดำดูดีลูกด้วยซ้ำ' ชายหนุ่มเถียงอยู่ในใจ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นข้างหนึ่ง เขาจึงเห็นว่ายามนี้ซูอี้ซินเดินไปหย่อนกายลงนั่งข้างเตียง ใช้มือบางลูบศีรษะเล็กไปมาเบาๆ พลันไม่นานนางก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
"หยวนเอ๋อร์ตัวร้อนนี่"
คนตัวเล็กผุดลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องอาบน้ำ ก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าในมือกับขันไม้ใส่น้ำใบเล็ก จากนั้นนางก็เดินเข้าไปใช้ผ้าเช็ดไปตามร่างกายให้เฉินหยวนหยวน ซูอี้ซินกระทำการทุกอย่างด้วยความเงียบ ขณะที่เช็ดตัวให้ลูกก็แอบเหลือบตามองคนตัวโตที่นอนหลับอยู่ไปพลาง เพราะเกรงว่าหากเขาตื่นขึ้นมาเห็นนางคงจะอาละวาดอย่างหนักเป็นแน่
หญิงสาวรั้งอยู่ต่ออีกราวสองเค่อ จนกระทั่งอุณหภูมิในร่างกายของเจ้าก้อนแป้งกลับมาเป็นปกติ นางจึงจากไป โดยไม่ลืมที่จะกดริมฝีปากแนบแก้มอวบอิ่มของบุตรชายเบาๆเป็นการทิ้งท้าย
คล้อยหลังจากที่ซูอี้ซินจากไป คนที่แสร้งนอนหลับก็เปิดเปลือกตาขึ้น เขาเดินตรงไปหาบุตรชายที่ห่มผ้าอย่างเรียบร้อย พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
"ที่เจ้าทำอยู่เป็นแค่เพียงการเสแสร้ง หรือเจ้าเป็นห่วงลูกจริงๆกันแน่" เฉินหยางยอมรับว่าการกระทำของนางทำให้เขาสับสนเป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากนางทำไปเพราะความประสงค์ร้าย เขาก็จะไม่ให้อภัยนางเช่นกัน!
เช้าวันใหม่เวียนมาถึง เฉินหยวนหยวนอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก วันนี้เขาตื่นมาด้วยความสดใสสามารถกินข้าวได้เยอะจนเกือบเป็นปกติ
"หยวนเอ๋อร์กินอีกนะลูก" เฉินหยางตักโจ๊กอั้นเซียงยื่นส่งให้บุตรชาย ทว่าเขากลับเบือนหน้าหนี
"ท่านพ่อ หยวนเอ๋อร์คิดถึงท่านแม่" เฉินหยวนหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เมื่อวานที่ได้ออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนกับท่านแม่ เขามีความสุขเป็นอย่างมาก วันนี้เขายังไม่เห็นท่านแม่เลย คิดถึงนางยิ่งนัก...
เฉินหยางได้ยินวาจาของบุตรชายก็ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ นับวันเจ้าก้อนแป้งก็ยิ่งเอาแต่ร่ำร้องหาซูอี้ซิน เขารู้สึกหนักใจยิ่งนัก
"หากเจ้ากินโจ๊กอั้นเซียงหมดถ้วย พ่อจะพาเจ้าไปหาท่านแม่"
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นด้วยความดีใจ เด็กน้อยอ้าปากกว้างให้คนเป็นพ่อตักโจ๊กอั้นเซียงใส่ปากให้พลางเคี้ยวตุ้ยๆจนแก้มป่อง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากอาหารเท่าใดนัก แต่ถ้าหากมันทำให้เขาได้เจอท่านแม่ เขาก็ยอม
"ท่านโหวเจ้าคะ คุณหนูเว่ยฟางอินมาเยี่ยมคุณชายหยวนเอ๋อร์เจ้าค่ะ"
มือหนาที่กำลังป้อนข้าวบุตรชายชะงักไปเล็กน้อย แววตาคมดุวูบไหวชั่วขณะหนึ่ง เมื่อได้ยินชื่อของอดีตคนที่เขาเคยรักจนสุดหัวใจ
"นั่นใครกันน่ะ" ซูอี้ซินยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง ที่ตรงนี้สามารถมองเห็นทางเข้าออกเรือนเล็กได้ นางเห็นสตรีร่างบางผู้หนึ่งกำลังเดินเข้าไปข้างใน แม้จะมองจากที่ไกลๆแต่ก็รับรู้ได้ว่าสตรีผู้นั้นงดงามมิใช่น้อย
เกาอิ่งหันไปมองตามสายตาของเจ้านาย ก่อนจะเอ่ยปากตอบ
"คุณหนูเว่ยฟางอิน น้องสาวของเว่ยเสวียนฮูหยินมารดาของคุณชายหยวนเอ๋อร์เจ้าค่ะ"
หลังจากที่ตอบเกาอิ่งก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเว่ยฟางอินมาเยือนถึงจวน นางไม่ได้แวะเวียนมาที่นี่หลายเดือนแล้ว อาจมีใครส่งข่าวบอกนางว่าคุณชายหยวนเอ๋อร์ไม่สบายกระมัง
"คุณหนูฟางอิน" ร่างสูงของเฉินหยางเดินออกมาต้อนรับแขกที่มาเยือน
"ท่านโหว" เว่ยฟางอินค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพผู้สูงศักดิ์กว่า เมื่อช้อนสายตาขึ้นเห็นคนตัวโตกำลังส่งสายตามองมาที่ตน นางก็ก้มหน้าลง สองแก้มขาวแดงระเรื่อด้วยความเขินอายจึงทำให้ไม่เห็นว่าสายตาของเฉินหยางมองเลยไปทางด้านหลังของนาง เขาเห็นใครบางคนยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง และเมื่อสายตาสองคู่ประสานกัน นางก็รีบก้มหลบเขาอย่างรวดเร็ว
'เห็นไหมนะ เฉินโหวจะเห็นนางหรือเปล่า'
มือบางยกขึ้นมาทาบอกด้วยความตื่นเต้น ได้แต่ภาวนาขอให้เขาไม่เห็นนาง ซูอี้ซินรอจนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก นางจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นว่ายามนี้คนทั้งสองหายไปแล้ว
เฉินหยางพาเว่ยฟางอินเข้าไปในเรือนเล็ก ทันทีที่นางเห็นเจ้าก้อนกลมที่นั่งหน้าบูดอยู่บนเตียงก็รีบเดินเข้าไปหา ร่างบางหย่อนกายลงนั่งข้างเตียง วางมือลงบนศีรษะเล็กของหลานชายพลางกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"หยวนเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง"
ทว่า มือเล็กกลับปัดมือของนางออกพร้อมหันไปหาผู้เป็นพ่อ ไม่ได้สนใจคนข้างกายเลยแม้แต่น้อย
"ท่านพ่อ อยากหาท่านแม่"
"หยวนเอ๋อร์ ไม่ทำแบบนี้นะลูก" เฉินหยางกล่าวปรามบุตรชายเมื่อเห็นเขาทำตัวไม่น่ารัก สีหน้าจืดเจื่อนของเว่ยฟางอินทำให้เขานึกสงสารนางไม่น้อยเลยทีเดียว
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินหยวนหยวนถึงมีทีท่าไม่ชอบเว่ยฟางอินถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่นางมีสายเลือดเดียวกันกับเจ้าก้อนแป้ง อีกทั้งยังคอยเอาอกเอาใจเด็กน้อยอยู่เสมอ หากแต่เฉินหยางคิดว่าคงเป็นเพราะเฉินหยวนหยวนไม่ค่อยได้พบเจอเว่ยฟางอินเท่าใด จึงทำให้เขาไม่สนิทสนมกับนางมากเท่าที่ควร
"หยวนเอ๋อร์คิดถึงท่านแม่" เฉินหยวนหยวนได้ยินผู้เป็นพ่อเอ่ยเสียงดุ เขาก็เบะปากเข้าหากัน นึกคิดถึงคนเป็นแม่อยู่มากทีเดียว
เว่ยฟางอินเห็นหลานชายทำท่าจะงอแง นางจึงหันไปหาสาวใช้คนสนิท เลี่ยวลี่เห็นเช่นนั้นจึงรีบยื่นส่งห่อผ้าให้กับนาง
"น้าเห็นว่าเจ้าไม่สบายคงจะเบื่ออาหารก็เลยทำซุปร้อนๆมาให้ หยวนเอ๋อร์กินเสียหน่อยเถิดนะ"
แต่ทว่า...
