บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 สานสัมพันธ์​เจ้าก้อนแป้ง

เฉินหยางเปล่งเสียงหึออกมาเบาๆ "ข้าไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลอยู่แล้ว แต่ข้าอยากรู้ว่าสตรีที่นอนอยู่ใต้หน้าผานั่นเล่า นางเป็นใครกัน"

แววตาของซูอี้ซินวูบไหว ยามนึกถึงร่างไร้วิญญาณของตน แม้ว่าความจริงจะเจ็บปวดที่นางไม่ได้เป็นเจ้าของร่างนั้นแล้ว แต่ก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้

"นางคือพลเมืองดีที่มาช่วยข้า จิตใจของนางช่างประเสริฐนัก ข้ารู้มาว่านางเป็นศิษย์จากสำนักมังกรดำ ท่านต้องตบรางวัลให้พวกเขานะ"

"ข้าจะส่งคนนำรางวัลไปมอบให้เจ้าสำนักมังกรดำห้าสิบตำลึงทอง"

"ท่านโหว ชีวิตของข้ามีค่าสำหรับท่านแค่เพียงห้าสิบตำลึงทองเองหรือ" หญิงสาวปรายตามองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจนัก จวนสกุลเฉินก็ออกจะใหญ่โต นางรู้มาว่าสกุลเฉินของเขาร่ำรวยเป็นรองแค่เพียงฮ่องเต้เท่านั้น แต่เขากลับตัดสินค่าชีวิตนางด้วยเงินเพียงห้าสิบตำลึงทองเองหรือ แม้ว่าสำหรับสำนักมังกรดำแล้ว เงินห้าสิบตำลึงทองจะทำให้พวกเขาอยู่อย่างสุขสบายไปหลายเดือนเลยก็ตาม

"เจ้าเข้าใจผิดแล้ว" วาจาของเขาทำให้คนฟังยิ้มจนแก้มปริ แต่ประโยคต่อมากลับทำให้นางหุบยิ้มแทบไม่ทัน

"เจ้าไม่มีค่าอันใดต่อข้าเลย ที่ให้ก็เพราะเป็นสินน้ำใจเท่านั้น แต่เอาเถิด นางยอมเสียสละชีวิตของนางถึงเพียงนี้ ข้าจะมอบรางวัลให้ทางสำนักมังกรดำหนึ่งร้อยตำลึงทองก็แล้วกัน"

"ขอบคุณท่านโหวมากเจ้าค่ะ" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน นึกหมั่นไส้คนตรงหน้าไม่น้อย หากไม่ติดว่านางเป็นรองเขามีหวังคงได้สั่งสอนคนปากดี!

"เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไยเจ้าถึงออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีสาวใช้ติดตามไปด้วย" เขาหันมาเค้นถามนางต่อ

"ข้าจำอะไรไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ รู้ตัวอีกทีก็อยู่บนรถม้าแล้ว" ซูอี้ซินบอกปัด คนที่จะรู้ความจริงก็คือเจ้าของร่างที่แท้จริงนี้ต่างหาก หากเขาอยากรู้คำตอบก็คงต้องตามนางไปยังปรโลกแล้วล่ะ

"แล้ว..."

"โอ๊ยยย ข้าปวดหัวเหลือเกิน เกาอิ่ง กู้หรงช่วยข้าด้วย ข้าปวดหัว" ซูอี้ซินแกล้งส่งเสียงร้องโอดโอย เมื่อเห็นเฉินหยางซักถามอย่างไม่เลิกรา เสียงร้องของนางทำให้เกาอิ่งและกู้หรงวิ่งเข้ามาด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่กู้หรงจะวิ่งไปที่โรงครัวเพื่อต้มยาให้นาง

เฉินหยางมองร่างบางที่ถูกเกาอิ่งประคองให้เอนกายลงนอนพลางทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นกวนใจของเขาเป็นอย่างมาก ทว่าซูอี้ซินกลับจำไม่ได้เสียอย่างนั้น เห็นทีว่าเขาจะต้องรีบตามตัวพลขับรถม้าผู้นั้นให้พบแต่โดยเร็ว ถึงจะได้รู้ความจริงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!

วันนี้ซูอี้ซินสามารถถอดผ้าพันแผลออกจากแขนและศีรษะได้แล้ว หลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายวัน ทุกๆวันที่ผ่านมา หญิงสาวตั้งใจตื่นตั้งแต่รุ่งสาง และคอยแวะเวียนไปหาเฉินหยวนหยวนที่เรือนเล็กอยู่บ่อยครั้ง ทว่ากลับไม่เคยได้เข้าไปพบเขา เพราะคำสั่งของเฉินโหวที่ห้ามนางย่างกรายเข้าไปในเรือนเล็กโดยเด็ดขาด

ซูอี้ซินคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปนางคงไม่มีวันได้สานสัมพันธ์กับเฉินหยวนหยวนเป็นแน่ วันนี้หญิงสาวจึงเปลี่ยนแผนใหม่ โดยการแอบไปดักรอเด็กน้อยที่สวนอุทยานแทน ในทุกๆวันหลิวม่านจะต้องพาเฉินหยวนหยวนออกมาวิ่งเล่น หลังจากที่แอบยืนรออยู่หลังต้นไม้ใหญ่สักพัก จนกระทั่งเฉินโหวออกไปจากจวนแล้ว นางจึงเห็นร่างเล็กกำลังวิ่งตรงเข้ามา

ใบหน้าของเด็กชายอวบอิ่มจิ้มลิ้มน่ารักน่าชัง ซูอี้ซินเห็นแล้วรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยอยู่มาก ในยามนี้เขาแย้มยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ในมือถือกระบี่ไม้คู่ใจซึ่งเป็นของเล่นชิ้นโปรดของเขา

"หยวนเอ๋อร์" หญิงสาวก้าวออกมาจากที่ซ่อน ใช้สายตาจ้องมองไปยังเด็กชาย ทว่าทันทีที่เฉินหยวนหยวนเห็นนาง เขาก็ชะงักฝีเท้าลงและรีบวิ่งเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังของหลิวม่าน

"ไม่ต้องกลัวแม่นะลูก" ท่าทางหวาดกลัวของเฉินหยวนหยวนทำให้นางรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่มารดาที่แท้จริง แต่กลับเอ็นดูเด็กชายผู้นี้อยู่มาก อีกทั้งยังรู้สึกสงสารที่เขาต้องกำพร้ามารดาตั้งแต่ยังเล็ก ลางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือเป็นเพราะนางก็กำพร้าบิดามารดาเหมือนกันจึงเห็นใจเฉินหยวนหยวนไม่น้อย

ร่างบางเดินตรงเข้าไปหาหมายจะอุ้มร่างเล็ก ทว่าหลิวม่านกลับหันไปคว้าเด็กชายขึ้นมาอุ้มไว้เอง จากนั้นจึงรีบก้าวเดินจากไป ทว่า...

"หยุดนะ!" ซูอี้ซินกล่าวเสียงกร้าว วาจาของนางทำให้หลิวม่านชะงักฝีเท้าลง ไม่นานซูอี้ซินก็เดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของนาง

"เจ้าจะพาลูกของข้าไปไหน"

"กลับเรือนเล็กเจ้าค่ะ" หลิวม่านตอบด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง ท่าทางของนางไม่ได้เคารพยำเกรงซูอี้ซินเลยแม้แต่น้อย

"ไม่ต้อง ข้าจะเล่นกับลูกของข้า" ซูอี้ซินเอื้อมมือไปหาเด็กน้อย แต่หลิวม่านกลับขยับกายหนี ไม่ยอมให้นางแตะต้องเฉินหยวนหยวน

"ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านโหวสั่งว่าห้ามฮูหยินอยู่กับคุณชายตามลำพัง"

"อยู่ตามลำพังที่ไหนกัน เจ้าก็อยู่ ไหนจะเกาอิ่งกับกู้หรงอีก"

หลิวม่านปรายตามองไปยังสาวใช้อีกสองคนเล็กน้อย แต่กระนั้นท่าทางของนางก็ไม่ยอมง่ายๆ ซูอี้ซินรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก นับวันหลิวม่านก็เหิมเกริมขึ้นทุกวัน

"เจ้าหวงแหนหยวนเอ๋อร์ราวกับเป็นมารดาแท้ๆของเขาเลยนะ แต่เจ้าจงอย่าลืมว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นใคร จริงอยู่ที่ข้าอาจไม่ใช่มารดาที่แท้จริงของหยวนเอ๋อร์เช่นกัน แต่ข้าก็เป็นถึงฮูหยินของสกุลเฉิน มีศักดิ์เป็นมารดาเลี้ยงของเด็กคนนี้ ฉะนั้น ข้าขอสั่งให้เจ้าส่งหยวนเอ๋อร์มาให้ข้าเดี๋ยวนี้!"

ดวงตาของหลิวม่านลุกวาวขึ้น ทั้งสองคนต่างประสานสายตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร

"หลิวม่านเจ้าเป็นเพียงแค่สาวใช้ อย่าคิดท้าทายอำนาจของฮูหยิน" เกาอิ่งกล่าวเตือนสติ หลิวม่านเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น แต่สุดท้ายก็จำใจยื่นส่งเฉินหยวนหยวนไปให้คนตรงหน้าอย่างเสียมิได้

"ไม่เอาท่านแม่ กลัวๆๆ ฮือ" ทันทีที่ร่างเล็กเข้ามาสู่อ้อมแขนของซูอี้ซิน เฉินหยวนหยวนก็เปล่งเสียงร้องไห้จ้า หลิวม่านเห็นเช่นนั้นจึงถลาเข้ามาหา แต่ซูอี้ซินกลับรีบจ้ำอ้าวสาวเท้าเดินหนีไปก่อน หญิงสาวรีบเดินเข้าไปยังห้องหอพลางส่งสัญญาณให้เกาอิ่งและกู้หรงขวางหลิวม่านเอาไว้ไม่ให้ตามเข้ามาได้

"ชู่ววว ไม่ต้องร้องนะลูก แม่ไม่ตีเจ้าหรอก" มือบางลูบแผ่นหลังเล็กอย่างปลอบประโลม เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยทำให้นางน้ำตาคลอด้วยความสงสาร ซูอี้ซินตัวจริงคงเคยทำร้ายเฉินหยวนหยวนไว้มาก เขาจึงได้หวาดกลัวนางถึงเพียงนี้

หลังจากปลอบใจเด็กน้อยอยู่พักใหญ่ อาการหวาดกลัวของเฉินหยวนหยวนก็ค่อยๆสงบลง ซูอี้ซินวางร่างเล็กที่ยังคงมีเสียงสะอื้นดังขึ้นเป็นระยะๆบนตั่งนั่งตัวยาว จากนั้นหญิงสาวจึงคุกเข่าลง ให้ใบหน้าเสมอกับเด็กน้อยพลางใช้นิ้วเกลี่ยเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเจ้าก้อนแป้งอย่างอ่อนโยน

"เงียบซะนะเด็กดี ไม่ร้องแล้วนะลูก" ซูอี้ซินส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะกลมหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาและเดินตรงไปหาเจ้าก้อนแป้ง

"หยวนเอ๋อร์ชอบกินขนมน้ำตาลปั้นใช่หรือไม่"

ดวงตากลมโตที่ยังคงมีหยดน้ำเคลือบอยู่จางๆเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นขนมน้ำตาลปั้นรูปกระต่ายที่ซูอี้ซินยื่นส่งมาให้เขา

"ชอบ"

"เช่นนั้นก็กินเลยลูก"

"แต่ท่านพ่อไม่ชอบ" เฉินหยวนหยวนเงยหน้าขึ้นจ้องนางตาแป๋ว หากท่านพ่อรู้ว่าเขาแอบกินขนมน้ำตาลปั้น เขาจะต้องโดนดุอย่างแน่นอน

"แม่ไม่บอกท่านพ่อหรอก ไม่ต้องกลัวนะลูก ถ้าหากท่านพ่อจะตีหยวนเอ๋อร์ แม่นี่แหละที่จะตีท่านพ่อเอง" ซูอี้ซินกล่าวอย่างหมายมาด วาจาของนางเรียกรอยยิ้มจากเด็กน้อยได้เป็นอย่างดี เฉินหยวนหยวนยื่นมือเล็กกลมป้อมไปหยิบขนมน้ำตาลปั้นจากมือของนาง จากนั้นก็ใช้ลิ้นแตะชิมความหวานของมันอย่างเอร็ดอร่อย

ซูอี้ซินแย้มยิ้มกว้างด้วยความยินดี มือบางวางลงบนศีรษะเล็กพลางลูบไปมาเบาๆ รู้สึกดีใจไม่น้อยที่เฉินหยวนหยวนเริ่มเปิดใจให้นางบ้างแล้ว

หน้าประตูจวนสกุลเฉินมีทหารรักษาประตูยืนอยู่ทั้งสองข้าง โดยที่มีร่างบางของหลิวม่านกำลังเดินไปมาด้วยความว้าวุ่นใจ ครั้นพอได้ยินเสียงเกือกม้าวิ่งกระทบพื้นตรงเข้ามาหา ทันทีที่เงยหน้าขึ้นเห็นอาชาตัวใหญ่ของเฉินหยางและอู๋เหล่ยกำลังวิ่งมาที่ประตูจวน นางก็พลันแย้มยิ้มกว้าง

"ท่านโหวเจ้าคะ" ทันทีที่เฉินหยางกระโดดลงจากหลังม้า นางก็รีบปรี่เข้าไปหา เฉินหยางเห็นคนตรงหน้าน้ำตารื้นคลออยู่ในหน่วยตา อีกทั้งท่าทางร้อนใจของนางก็ทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย

"มีเรื่องอะไรงั้นหรือ" หัวอกของคนเป็นพ่อร้อนรน ปกติหลิวม่านไม่เคยห่างจากเฉินหยวนหยวน แต่บัดนี้เขากลับพบนางคนเดียวโดยไร้เงาของบุตรชาย

"ตอนนี้คุณชายอยู่กับฮูหยินเจ้าค่ะ บ่าวพยายามห้ามแล้วแต่ฮูหยินไม่ฟัง นางบอกว่านางไม่เกรงกลัวคำสั่งของท่านโหว จากนั้นนางก็พาคุณชายหายเข้าไปในหอนอนหลายชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ" หลิวม่านเปิดปากฟ้องพลางส่งเสียงร้องไห้กระซิกๆ

เฉินหยางได้ยินเช่นนั้นเขาก็ขบกรามแน่นจนเห็นสันนูน จากนั้นจึงสาวเท้าก้าวเดินตรงเข้าไปข้างในรวดเร็วราวกับพายุ!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel