CHAPTER 1 เอาใจลงไปเล่น
เสียงเปียโนแผ่วเบาที่ลอยคลออยู่ในเลานจ์ของโรงแรมหรู ทำให้ปิ่นมุกต้องหลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว ท่วงทำนองนั้นพาเธอย้อนกลับไปยังวันแรกที่ได้พบเขา
ค่ำคืนของงานเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ เธอลูกสาวของนักธุรกิจชื่อดัง ที่จำใจต้องมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงแสนจอมปลอม สายตาเธอมองลงมาจากชั้นสอง ริมบันไดหินอ่อนสูง ผู้คนด้านล่างแต่งแต้มรอยยิ้มแสร้งท่าที แต่สำหรับเธอ มันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยปิ่นมุก” ปิ่นปักเอ็ดลูกสาวไม่ว่าจะชวนมางานเลี้ยงทีไร มักเป็นแบบนี้ทุกครั้งจนเธอเองเหนื่อยที่จะว่าลูกสาว
“คุณแม่มุกไม่ชอบงานแบบนี้นี่คะ”
“ไม่ชอบก็เก็บอาการอย่าแสดงออกให้มาก เดี๋ยวแขกคนอื่นจะว่าแม่เอาได้”
ปิ่นปักแม่หม้ายไฮโซสาวถึงแม้ธุรกิจกำลังไปได้สวย แต่เธอไม่ยอมเปิดใจให้กับใครเข้ามาในชีวิต เพราะรักลูกสาวคนเดียวมากกลัวว่าจะเข้ามาทำร้ายลูกสาว ตามข่าวที่ออกตามทีวีบ่อยๆ
ปิ่นมุก หรือมีชื่อจริงว่าปรางลิษา เมธากาญจน์ อายุ 24 ปี เป็นหญิงสาวเรียบร้อย อ่อนหวานแต่เป็นคนที่เข้มแข็งมาก นิสัยอ่อนนอกแข็งใน
ใบหน้าสวยหวานราวกับตุ๊กตา ผิวขาวเนียนละเอียดราวหิมะ ดวงตากลมโตเป็นประกายแฝงความเศร้าละเมียดละไม จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากเล็กแดงระเรื่ออย่างธรรมชาติ ผมยาวสลวยเป็นลอนคลื่นสีช็อกโกแลตเข้ม ทิ้งตัวนุ่มลื่นคลอเคลียไหล่อย่างอ่อนช้อย
“ไม่แน่ลูกสาวแม่อาจจะได้เจอคนที่ถูกใจ”
“มุกไม่ชอบใครทั้งนั้นค่ะ” ตั้งแต่เรียนจนเข้ามหาลัยแม่ก็ห้ามมีคนรัก เพราะกลัวว่าจะเรียนไม่จบ จนตอนนี้เรียนจบมาสองปีแล้วก็ยังไม่เจอคนที่ถูกใจเสียที
“หรืออยากทำความรู้จักกับใครบอกแม่ได้นะ” ปิ่นปักบังคับลูกสาวมากเกินไป จนตอนนี้ควรปล่อยให้ลูกได้มีชีวิตของตัวเอง
“ไม่เอาค่ะผู้ชายหล่อๆ มักเจ้าชู้ทั้งนั้นมุกชอบผู้ชายที่เหมือนคุณพ่อค่ะ” แววตาสดใสยามที่คิดถึงผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับไปนานหลายสิบปี
“คนรักเดียวใจเดียวก็มีเอาไว้แม่จะแนะนำให้ลูกรู้จักแล้วกัน”
“คุณปิ่นปักถึงเวลาแล้วค่ะ” ทรายแก้วเลขาคนสนิทเข้ามาตามเจ้านาย
“ลูกอยู่คนเดียวไปก่อนนะ”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ” เธอมองเบื่อหน่ายไม่น้อย
มองดูผู้คนแสแสร้งไปทั่วจนสะดุดตากับชายในชุดสูทตัดพอดีตัวเดินเข้ามาในแสงไฟเหมือนพระเอกละคร ปิ่นมุกจำได้แม่นว่าธรรศชวินในตอนนั้นมองสบตาเธอขึ้นมาครู่หนึ่ง เขาไม่ได้มองเธอด้วยแววตาพิเศษอะไร แต่เธอกลับจำเขาได้ขึ้นใจตั้งแต่วินาทีแรก
ปิ่นมุกที่แม้จะเป็นสาวเพียบพร้อมแต่กลับไม่เคยมั่นใจในตัวเอง แต่ไหนแต่ไรก็ขี้เขินขี้อายเข้าสังคมไม่เป็น ไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ในแวดวงธุรกิจ เธอเหมือนคนหลงทางในเมืองใหญ่ เดินเรื่อยไปตามแรงลมของความหวัง ชีวิตเธอไม่เคยมีจุดหมายอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการจะได้มีตัวตนในสายตาใครสักคน
ธรรมศชวินลดแก้วไวน์ลงทันทีที่สบตากับสาวสวยคนนั้น เขาไม่เคยเจอหน้าหญิงสาวมาก่อน ดูแล้วอายุน่าจะยังน้อยอยู่
“คุณวินซ์จะกลับเลยไหมครับ” วศินถามเจ้านายแต่เหมือนว่าสิ่งที่เขาถามจะไม่เข้าหูเลย
“คุณวินซ์ครับ!”
“มีอะไร” เขาตอบอย่างหัวเสียเพราะกำลังจับจ้องสาวสวยคนนั้นอยู่ แต่พอหันไปอีกทีเธอไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ทำให้เขาหงุดหงิด
“คุณวินซ์มองใครครับ”
“รู้ดี กลับก่อนเลยฉันจะไปต่อ”
“ให้ผมไปด้วยดีกว่าครับ”
“ไม่ต้อง!” เขาเห็นหญิงสาวเดินผ่านสายตาออกไปนอกโรงแรมเขาจึงรีบเดินตามออกไป
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นข้างหลัง ก่อนที่เธอจะได้หันกลับ ชายหนุ่มที่แอบมองก็ยืนอยู่ตรงหน้า ร่างสูงในสูทสีเข้มเปล่งออร่าน่าเกรงขาม ดวงตาคมกริบของเขาสบตากับเธอแน่นิ่ง ราวกับมองทะลุเข้าไปในความคิดที่เธอซ่อนเอาไว้
“เอ่อ มีอะไรคะ”
“ผมธรรศชวิน เรียกวินซ์ก็ได้ผมอยากรู้จักคนสวยได้ไหมครับ” แววตาของเขาแพรวพราวระยิบระยับตามฉบับหนุ่มเจ้าชู้ ที่เห็นผู้หญิงเป็นเพียงแค่ที่ระบาย
“คือ”
ปิ่นมุกทำตัวไม่ถูกเพราะเขินอาย เธอประหม่าทุกครั้งยามที่มีชายหนุ่มเข้ามาจีบ เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไร
“ผมขอรู้จักชื่อคนสวยได้ไหมครับ” เขารอคอยคำตอบอย่างใจเย็น และเลื่อนสายตามองต่ำลงไปจนเห็นเนินอกที่โผล่พ้นชุดเดรสเกาะอก ทำให้ลมหายใจของเขาติดขัด
“ปิ่นมุกค่ะ”
“คนก็สวยชื่อก็เพราะอีกว่าแต่คุณมากับใครครับ” ดูท่าทางน่าจะเป็นลูกคุณหนูบ้านไหนสักที่ งานนี้มีแต่ไฮโซเข้ามาร่วมงาน
“ขอบคุณค่ะคุณธรรศชวิน”
“เรียกห่างเหินจังเรียกว่าผมว่าวินซ์ก็ได้ หรือจะเรียกพี่วินซ์ผมไม่ขัด” เขาทำตัวสบายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด
ปิ่นมุกทำตัวไม่ถูกก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเท้า ข้างนอกอากาศเริ่มหนาวชุดที่เธอใส่วันนี้ทำให้รู้สึกหนาวขนลุก ยามที่สายลมพัดผ่านมา
เขามองหญิงสาวตัวเล็กดูท่าแล้วน่าจะหนาวจึงถอดเสื้อสูทคลุมไหล่ให้อย่างเป็นสุภาพบุรุษ ทั้งที่เขาต้องการมากกว่านั้น
“ไม่ต้องค่ะ”
“คลุมไว้ครับผมไม่หวงเสื้อ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมไม่ค่อยชอบงานแบบนี้เท่าไหร่ แต่ทำยังไงได้หน้าที่มันค้ำคออยู่” จู่ๆ เขาพูดออกมาสบตากับสาวน้อย ที่ทำให้เขาอยากลิ้มรส เขาไม่คิดจะจีบเธอแบบบจริงจังอยู่แล้ว
“ปิ่นมุกครับ”
“คะ”
“คุณเชื่อเรื่องรักแรกพบหรือเปล่า”
“มุกไม่เคยเจอความรักเลยไม่รู้ค่ะ” เธอยิ้มแบบเขินอายเอาผมทัดใบหู แต่ไม่รู้เลยว่าทุกอย่างเป็นแค่คารมของผู้ชายเจ้าชู้เท่านั้น
เขามองเธอด้วยแววตาจริงจังที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบไปทั้งร่าง ทั้งที่อากาศในห้องเย็นเฉียบ
“ผมอยากทำความรู้จักคุณให้มากกว่านี้” เสียงของเขานุ่มนวล ชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีการหยอกล้อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
ปิ่นมุกนิ่งงัน ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนคำพูดเพียงไม่กี่คำจากเขา กลับสั่นคลอนหัวใจเธอได้ถึงเพียงนี้ เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะพูดแบบนี้
“คุณแน่ใจเหรอ?” เสียงของเธอเบาหวิว ไม่มั่นใจเหมือนทุกครั้ง
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ ที่แฝงความอ่อนโยนแบบที่เธอไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน
“ผมไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลย” เขาตอบ แล้วก็มองเธอนิ่งนานราวกับกำลังจดจำทุกส่วนของเธอไว้ในใจ
ในห้วงวินาทีนั้นปิ่นมุกรู้ตัวว่าบางสิ่งในหัวใจเธอเพิ่งเริ่มต้น และโลกที่เคยเงียบเหงาของเธอมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ปิ่นมุกหน้าแดงระเรื่อจนร้อนวูบไปถึงใบหู หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะหลังจากได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาจากเขา เธอเม้มริมฝีปากแน่น พยายามรักษาท่าที
“ขะ ขอโทษนะคะ มุกควรจะกลับเข้าไปข้างใน”
เธอพูดเร็วๆ พร้อมกับเบี่ยงตัวหมายจะเดินกลับไปยังห้องจัดเลี้ยง แต่เพราะส้นรองเท้าสูงกับพรมหรูใต้เท้าทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด
ปลายเท้าสะดุดเข้ากับความต่างของพื้นระดับ ร่างของเธอเสียหลัก ทิ้งตัวไปข้างหน้าอย่างไม่มีเวลาตั้งตัว
“อ๊ะ!”
ในจังหวะนั้นเอง ธรรศชวินรีบคว้าแขนเธอไว้โดยสัญชาตญาณ แต่แรงเหวี่ยงทำให้ทั้งสองเซเข้าหากัน ร่างบางของปิ่นมุกล้มพุ่งไปข้างหน้า
ริมฝีปากของเธอก็ไปจุ๊บเข้ากับริมฝีปากของเขาอย่างจังปิ่นมุกเบิกตากว้างดวงตาของเธอสบเข้ากับแววตาตกใจของเขาในระยะประชิดสุดขีด และในวินาทีนั้นเองเขาก็ยิ้มนิดๆ อย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะกระซิบแผ่วเบา
“ถ้าจะเริ่มต้นทำความรู้จักกันแบบนี้ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะ”
“ยะ อย่ามาพูดเล่นนะคะ”
ปิ่นมุกดีดตัวออกมา ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นทันตาแทบอยากมุดพรมหนีให้รู้แล้วรู้รอด
“นามบัตรของผมครับติดต่อมานะผมจะรอ”
หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับจะทะลุออก เธอกำนามบัตรของเขาไว้แน่น ก่อนจะยกขึ้นมาอ่านดวงตาเบิกกว้าง เพราะเธอเคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน
ธรรศชวิน ศิวะนันทเวศน์
