ตอนที่ 2 ตรงนั้นใช้การไม่ได้
หลังจากที่ดื่มสุรามงคลเสร็จ ฮั่นหยางก็พาภรรยาไปไหว้มารดาที่นอนป่วยติดเตียง เดิมที คิดว่าหากนางรังเกียจ จะหย่าให้ทันที เพราะนางไม่ใช่ฉวีเซียวลี่ แต่ภาพที่เห็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
“สะใภ้คารวะท่านแม่สามีเจ้าค่ะ” โบ๊ะยอบกายเหมือนนางเอกในทีวีทุกประการ ทั้งยังได้ความอ่อนหวานจากรูปร่างหน้าตาของมี่อิงเป็นตัวช่วย จึงทำให้สตรีที่นั่งพิงอยู่บนหัวเตียง ต้องยื่นสองแขนออกมาเรียกนางเข้าไปกอด
มี่อิงรีบเดินไปนั่งข้างเตียงกอดตอบอีกฝ่ายอย่างประจบประแจง
“งดงามมาก แต่เจ้าดูไม่เหมือนตอนเด็กๆ เลย”
หลัวฮูหยินยิ้มหน้าบานมองลูกสะใภ้ที มองหน้าบุตรชายที ฮั่นหยางเห็นเช่นนั้น กำลังจะเอ่ยปากบอกมารดา แต่ยังช้ากว่าอีกคน
“ตอนเด็ก? ท่านแม่เคยเจออิงเอ๋อด้วยหรือเจ้าคะ”
“หือ? อิงเอ๋อ ไม่ใช่ลี่เอ๋อหรือ?” ดวงตาซีดเซียวเหลือบไปมองบุตรชาย ส่วนโบ๊ะที่พึ่งจะถูกผู้อื่นขายมา ซ้ำยังช่วยนับเงิน ยังนั่งงงไม่รู้เรื่องรู้ราว
“เอาไว้เดี๋ยวลูกค่อยเล่าให้ท่านแม่ฟังที่หลังก็แล้วกันขอรับ”
“อื้อ ไม่เอา น้องก็อยากรู้ ท่านพี่เล่าตอนนี้เลยสิเจ้าคะ”
ดวงตากลมโตมองไปยังสามีอย่างใสซื่อ จนฮั่นหยางเห็นแล้วใจอ่อนยวบ คิดว่านางเองคงถูกหลอกมาเหมือนกัน ก็เลยตัดสินใจเล่าความจริงให้มารดาและภรรยาฟังไปพร้อมกัน
พอรู้ความจริงว่าตัวเองถูกหลอก แทนที่มี่อิงจะมีท่าทางโกรธเคือง กับหรี่ตามองสามี “ท่านพี่ เรื่องเจ้าสาวผิดตัว ท่านรู้สึกผิดหวังหรือไม่”
สองแม่ลูกตระกูลหลัวรู้สึกแปลกใจไม่น้อย กับท่าทางของมี่อิง แต่ฮั่นหยางก็เลือกที่จะอธิบายอย่างใจเย็น “ข้าไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็คือภรรยาของข้า”
พอโบ๊ะได้ยินเช่นนั้น ก็รีบลุกจากเตียงมากุมมือชายหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “ห้ามเปลี่ยนกลับ แต่งแล้วแต่งเลย เป็นสามีภรรยากันตลอดชาติ จนกว่าเส้นผมจะขาวโพลนเลยนะเจ้าคะ”
“เอ่อ” ผู้ที่ถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวถึงกับทำตัวไม่ถูก ได้แต่มองไปทางมารดา หวังให้นางช่วย เพราะผิวที่หน้าและใบหูเริ่มจะเปลี่ยนสี
“เจ้าก็รับปากอิงเอ๋อไปสิ ในเมื่อแต่งกันแล้ว ก็สมควรจะอยู่จนแก่เฒ่าอย่างนางว่า ส่วนเรื่องเปลี่ยนกลับอะไรนั่น ต่อให้อาหยางยอม แม่ก็ไม่มีทางยอม”
“ท่านพี่ ว่าไงเล่าเจ้าคะ ท่านแม่พูดถึงขนาดนี้แล้วนะ ท่านพี่จะไม่ตอบน้องหน่อยหรือ?” เด็กสาวทำเสียงออดอ้อน ทั้งยังเขย่ามือที่กุมไว้ไปมา จนอีกฝ่ายพยักหน้ารับ ถึงได้ยอมปล่อย
โบ๊ะแทบจะอดใจไม่ไหว อยากจะลวนลามคนตรงหน้าใจจะขาด แต่คิดว่ายังไง เดี๋ยวก็ต้องได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันอยู่ดี เลยอดทนเอาไว้ก่อน
ร่างบอบบางเดินกลับไปกอดสตรีบนเตียงด้วยใบหน้ามีความสุขอย่างไม่คิดปิดบัง สร้างความพอใจให้สองแม่ลูกตระกูลหลัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งเด็กสาวยังพูดจาประจบประแจงเอาอกเอาใจ จนทำให้แม่สามีหลงไหลตั้งแต่วันแรกของการเป็นสะใภ้
หลังที่จัดการช่วยดูแลแม่สามีจนหลับ มี่อิงก็หันไปมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
เสร็จสักที อีโบ๊ะจะได้เข้าหอแล้วโว๊ยยย งุ้ยย ตื่นเต้นจัง
ยืนเพ้อฝันอยู่นานสองนาน ก็ยังไม่เห็นอีกคนจะขยับ มี่อิงเลยตัดสินใจเดินเข้าไปคว้าข้อมือใหญ่ “ท่านพี่ ท่านแม่หลับแล้ว พวกเรากลับห้องกันเถิดนะ ก็ไหนท่านพี่บอกว่ามีอะไรจะคุยกับน้องไงล่ะเจ้าคะ”
ฮั่นหยางที่ยังไม่หายตกตะลึงจากภาพที่เด็กสาวช่วยปรนนิบัติมารดา ต้องรีบดึงความคิดของตัวเองกลับมา ก่อนจะพยักหน้า ยอมให้นางจูงมือกลับห้อง
พอกลับเข้ามาได้ โบ๊ะก็รีบเดินไปนั่งรอบนเตียง ทั้งยังมองสำรวจรูปร่างของสามีอย่างตั้งอกใจตั้งใจ จนเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปาก และเป็นจังหวะเดียวกับที่ฮั่นหยางมองมาพอดี “แค่กๆ” ชายหนุ่มถึงกับสำลักน้ำลาย รู้สึกเก้อเขินจนทำอะไรไม่ถูก จนมี่อิงต้องรีบลุกขึ้นมาลูบหลังให้ “เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“อะแฮ่ม เอ่อ ไม่เป็นอะไร เจ้านั่งก่อนสิ”
เด็กสาวรีบลงนั่งเก้าอี้ ยกสองมือเท้าคางด้วยรอยยิ้มกว้าง รออย่างใจจดใจจ่อ
ความหล่อเหลาของหลัวฮั่นหยาง ทำให้โบ๊ะลืมพระเอกในหนังไปจนหมด ไม่นึกว่าผู้ชายในยุคจีนโบราณจริงๆ จะหล่อกว่าในหนังมากมายขนาดนี้ เพราะผู้ชายที่นี่ ไม่จำเป็นต้องใส่วิกผม ทั้งยังไม่ได้แต่งหน้าเขียนคิ้วทาปาก เลยดูเป็นธรรมชาติ ยิ่งมอง โบ๊ะก็ยิ่งหลงใหล กระทั่งเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น
“เจ้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวข้าหรือไม่”
มี่อิงส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ แต่ดวงตากลมโตกลับไม่ละไปจากริมฝีปากหยัก อยากรู้ว่าถ้าลองจูบดูมันจะรู้สึกอย่างไร “ข่าวลืออะไรหรือเจ้าคะ ท่านพี่มีอะไรก็พูดมาเถิดเจ้าค่ะ น้องรออยู่” คำว่ารอของโบ๊ะ คือรอขึ้นเตียง แต่เหมือนว่าคำว่ารอในความคิดของฮั่นหยางจะหมายถึงนางพร้อมที่จะฟัง
“ข่าวลือที่ว่า....” ฮั่นหยางกำมือเป็นหมัด กลั้นใจเอ่ยประโยคที่เหลืออกมาอย่างยากลำบาก “ตรงนั้นของข้าใช้การไม่ได้” หลังจากที่พูดไปแล้ว หลัวฮั่นหยางก็ได้แต่รู้สึกอับอายจนต้องนั่งก้มหน้า แต่ไม่นึกว่าเด็กสาวจะฟังไม่เข้าใจ ถึงได้ยังถามย้ำกลับมา “ตรงนั้นมันคือตรงไหนหรือเจ้าคะ”
ความจริงโบ๊ะก็ไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ เพราะในหัวมัวแต่คิดเรื่องลามก ก็เลยไม่ทันได้ฟังความหมายให้ดีๆ
จากที่อับอายชายหนุ่มเลยกลายเป็นโกรธ “ฉวีมี่อิง! ข้าไม่ได้พูดเล่น ข้าไม่อาจร่วมหอกับเจ้าเฉกเช่นบุรุษทั่วไปได้ เพราะข้าเป็นคนพิการ!”
เอ่ยจบหลัวฮั่นหยางก็ลุกผลุนผลันออกจากห้อง โดยที่มี่อิงไม่ทันตั้งตัว กว่าที่เด็กสาวจะวิ่งตามมาถึงประตู อีกฝ่ายก็เดินตัวปลิวไปเสียแล้ว
“โกรธอะไรของเขา อ้าวเฮ้ย! แล้วเข้าหอล่ะ โธ่! ผัวขา สามี อย่ามาทำอย่างนี้กับหนูนะ” พอคิดไปถึงคำพูดของคนที่พึ่งเดินหนีไป ดวงตาคู่งามก็เริ่มกระพริบถี่ๆ จากนั้นก็ค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น “มะ..ไม่จริงมั้ง” คำว่าส่วนนั้นใช้งานไม่ได้ และข้าเป็นคนพิการ วนเวียนซ้ำๆ อยู่ในหัว
จากนั้นคำด่าทอสาปแช่งอันหยาบคายที่คนที่นี่ฟังไม่เข้าใจก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน สัตว์ทุกชนิดวิ่งออกมาจากปากเด็กสาวจนเต็มห้อง
พอทั้งด่าทั้งแช่งจนเหนื่อย โบ๊ะก็มานั่งเบะปากร้องไห้เหมือนเด็ก “ฮือๆ” ผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้คิดได้
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เห็นทีต้องลองดูสักตั้ง”
พอคิดได้ดังนั้น สาวโบ๊ะก็รีบเช็ดหน้าเช็ดตา ค้นของในหีบหาชุดมาเปลี่ยน ยังดีพวกบ้านรองยังตัดชุดใหม่ให้สามสี่ชุด ไม่อย่างนั้นคงได้นุ่งผ้าขี้ริ้วหลวมโพรกเป็นแน่
ในตอนที่มี่อิงออกมาตามหาสามี ก็ไม่เห็นเงาแล้ว เลยได้แต่เดินสำรวจจวนตระกูลหลัว ความจริงจวนหลังนี้นับว่าใหญ่ไม่ใช่เล่น แต่กลับไม่มีคนรับใช้ ทั้งยังไม่มีเครื่องเรือนหรูหรา เรือนใหญ่สองหลังแฝด ปล่อยทิ้งร้าง หญ้าขึ้นรกจนดูแทบไม่ได้ ต้นไม้แห้งเหี่ยวจนแทบจะตายเกือบหมด
อีกสี่เรือนด้านข้าง หนึ่งเป็นเรือนที่ฉวีมี่อิงพึ่งจะเดินออกมาเมื่อครู่ ส่วนเรือนติดกันเป็นเรือนของแม่สามี อีกสองเรือนที่เหลือก็ปล่อยทิ้งร้างเหมือนกัน สาวโบ๊ะเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
“สงสัยว่าก่อนจะปฏิบัติการปั่นจรวดให้ผัว เห็นทีหนูโบรชัวร์ต้องสร้างรังรักเสียใหม่แล้ว เดี๋ยวไม่โรแมนติกเหมือนในหนัง หึหึ”
ร่างบอบบางรีบเดินกลับเข้าไปในห้อง พันกระโปรงขึ้นจนคล้ายโจงกระเบน มองเห็นขาอ่อนเนียนเรียบ แก้ผมที่ถูกมวยสำหรับเจ้าสาวออกมาขมวดเป็นมวยสูงไว้บนหัว คาดผ้าซับเหงื่อลงบนหน้าผาก ถลกแขนเสื้อที่ห้อยระย้ามาผกไว้บนลาดไหล่ พอมองสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองเสร็จ มี่อิงก็ออกไปหาอุปกรณ์ จากนั้นก็ลงมือทำความสะอาดเรือนเป็นอย่างแรก
ผ่านไปจนใกล้จะเย็นทั้งจวนก็มีสภาพสะอาดเอี่ยมอ่อง เหลือเพียงแค่สวนรอบบ้าน เด็กสาวจึงวางมือเข้าครัวไปทำกับข้าวกับปลา
ในตอนทำความสะอาด โบ๊ะสำรวจเอาไว้แล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหน ฐานะในตอนนี้ นับว่าตระกูลหลัวยิ่งกว่ายากจนข้นแค้น แต่สำหรับสาวโบ๊ะที่เคยอยู่ห้องเช่ารังหนู ถือว่าที่นี่ดีกว่าตั้งไม่รู้กี่เท่า
สองมือก่อเตาอย่างชำนาญ ด้วยความที่ดูหนังจีนมาก ทั้งยังชอบผู้ชายจีน สาวโบ๊ะเลยศึกษาเรื่องความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของชาวจีนในสมัยโบราณมาเยอะจนรู้ไปหมดทุกเรื่อง เลยสามารถหยิบจับอะไรได้คล่อง ทั้งยังรู้ว่าต้องทำอย่างไร เสียก็แต่ในครัวมีเพียงโหลผักดอง กับข้าวสารอีกไม่กี่หยิบมือ สาวโบ๊ะเลยได้แต่ต้มข้าวต้มกับซอยผักดองให้พอดีคำก็แค่นั้น
ฝ่ายฮั่นหยางที่ผลุนผลันออกมาจากจวน หลังจากไปสืบเรื่องราวของฉวีมี่อิงจนรู้ว่าเด็กสาวผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมา ก็รู้สึกสงสารไม่น้อย
ด้วยความรู้สึกผิด จึงรีบกลับบ้าน ในตอนที่ผ่านร้านขายไก่ย่าง ฮั่นหยางยังอยากซื้อกลับไปฝากภรรยาสักตัว แต่ติดตรงที่เวลานี้ถุงเงินว่างเปล่า เพราะเงินเดือนเดือนนี้ ใช้จ่ายค่าจ้างแม่สื่อกับคนแบกเกี้ยวไปหมดแล้ว
ร่างสูงเลยต้องตัดใจรีบเดินผ่านหน้าร้านนั้นไปอย่างรวดเร็ว แต่พอกลับมาถึงบ้าน หลัวฮั่นหยางก็ต้องประหลาดใจไม่น้อย ต้องยืนมองไปรอบๆ อยู่หลายที ใบไม้ใบหญ้าถูกกวาดรวมไว้เป็นกอง พื้นหินทางเดินถูกล้างจนสะอาดเอี่ยม นั่นยังไม่รวมเรือนทุกหลัง
พอแน่ใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รีบสาวเท้าตรงไปที่เรือน แต่กลับไม่เจอเด็กสาว จนต้องเดินไปยังเรือนมารดา
เสียงหัวเราะที่ดังเล็ดลอดออกมา ทำให้คิ้วบนใบหน้าหล่อเหลาขมวดเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปด้านใน
ภาพที่เห็นคือมี่อิงกำลังนั่งป้อนข้าวมารดา พร้อมทั้งเล่าเรื่องบางอย่างให้นางฟัง ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ฟังแต่ฮั่นหยางก็คิดว่าคงเป็นเรื่องตลก เพราะมารดายิ้มไม่หุบ
“อ้าว อาหยางกลับมาแล้วหรือ เจ้าลูกคนนี้นี่! มีอย่างที่ไหน ทิ้งภรรยาไว้ในวันแต่งงาน อิงเอ๋อบอกแม่หมดแล้วนะ”
“ขออภัยขอรับ พอดีลูกนึกได้ว่าเถ้าแก่ตู้ให้ไปตรวจบัญชี” ฮั่นหยางเดินมายืนข้างเตียง โดยไม่กล้ามองหน้าภรรยา ยิ่งเห็นนางเป็นเช่นนี้ เจ้าตัวก็ยิ่งรู้สึกผิด
“ขอโทษแม่ทำไม ขอโทษน้องสิ!” หลัวฮูหยินมองค้อนบุตรชาย พร้อมกับบุ้ยปากไปทางมี่อิงที่กำลังนั่งก้มหน้าด้วยท่าทางเศร้าสร้อย
“อิงเอ๋อ พี่ขอโทษ”
ความจริง นางก็แค่ทำไปอย่างนั้นแหละ ที่แท้ในใจก็ดีใจจะตายอยู่แล้ว พอได้ยินชายหนุ่มเอ่ยแค่ประโยคเดียว มี่อิงก็รีบเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้าง “น้องไม่ได้โกรธท่านพี่หรอกเจ้าค่ะ แค่น้อยใจนิดหน่อยเท่านั้น”
ทั้งสองต่างส่งยิ้มให้กันไปมา จนหลัวฮูหยินเห็นแล้วต้องเอ่ยปากไล่ “แม่อิ่มแล้ว อิงเอ๋อก็รีบพาพี่เขาไปทานข้าวเถิด แม่อยากพักผ่อน”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” มี่อิงยกถ้วยข้าวไปวางที่ถาดบนโต๊ะ รินน้ำส่งให้แม่สามี ทำทุกอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องซ้ำยังดูคล่องแคล่วจนฮั่นหยางถึงกับแปลกใจ เพราะจากประวัติของนางที่สืบมา คือคุณสูงศักดิ์ ไม่น่าจะทำเรื่องเช่นนี้เป็น
“พวกเราไปทานข้าวกันเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะหันไปบอกกับมารดา “ลูกขอตัวนะขอรับ”
หลัวฮูหยินพยักหน้ารับรู้ ทั้งยังใช้สายตาขับไล่ใสส่ง คล้ายต้องการให้บุตรชายรีบไปเอาอกเอาใจภรรยา ฮั่นหยางจึงหันกลับมายิ้มให้มี่อิงเล็กน้อย จากนั้นก็พากันเดินออกจากห้อง
