ตอนที่ 2 แผนร้ายของคนห่วงใย
ตอนที่ 2
แผนร้ายของคนห่วงใย
“ช่วยแนะนำตัวใหม่อีกที พอดีเมื่อเช้าที่เราเจอกันคุณคงจะกำลังโมโหอยู่เราถึงไม่มีโอกาสได้คุยกันมากกว่านั้น”
ความจริงแล้วท่านประธานรู้รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติของพนักงานใหม่แต่เขาแกล้งทำเป็นให้เธอเป็นคนเล่าเพราะอยากจะรู้จักหญิงสาวตรงหน้าให้มากกว่าที่ใบสมัครบอก
“ฉันชื่อเนตรทรายเดินทางมาจากต่างจังหวัดเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯแคยทำงานในตำแหน่งเลขามาแล้วสองปีแต่เป็นเพียงแค่บริษัทเล็ก ๆ เห็นบริษัทของคุณเปิดรับตำแหน่งผู้ช่วยเลขาเห็นว่าให้เงินเดือนมากกว่าและบริษัทดูจะมั่นคงจึงเลือกที่จะมาสมัคร”
เนตรทรายยังคงเล่ารายละเอียดต่อโดยที่เธอเน้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำงานซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ธันวารู้อยู่แล้วสิ่งที่เขาต้องการอยากรู้คือนิสัยใจคอเรื่องอะไรที่เป็นเฉพาะเจาะจงส่วนตัวแต่หญิงสาวตรงหน้าก็ไม่พูดถึง
“คุณพักอยู่ที่ไหนที่ผมต้องถามเพราะเวลาที่คุณมาทำงานช้าผมจะได้รู้ว่าที่พักของคุณอยู่ไกลหรือเกิดจากคุณตื่นสายหรือละเลยการทำหน้าที่”
ธันวาสีหน้าเอาจริงเอาจังแววตาของเขาดูเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังต้องการคำตอบจากเด็กเขามองสบตาผู้ช่วยเลขาคนใหม่ไม่วางตาจนเนตรทรายเองต้องเป็นคนยอมหลบตาหันไปมองทางอื่นเพราะรู้สึกกลัว
“ฉันเช่าห้องอยู่ห่างจากบริษัทก็เกือบ 3กิโลเมตร”
“แล้วทำไมไปอยู่ไกลแบบนั้นที่นี่กรุงเทพฯนะไม่ใช่ต่างจังหวัด 3 กิโลกว่าเธอจะฝ่ารถติดมาได้ก็เป็นชั่วโมง”
ธันวาลุกออกจากเก้าอี้เดินมาหาพนักงานคนใหม่แบบใกล้ชิดจนขาของเขากระทบกับแขนของหญิงสาวทำให้เนตรทรายถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ
“ที่พักใกล้บริษัทมีแต่ราคาแพงฉันไม่มีปัญญาอยู่หรอกค่ะ”
เนตรทรายตอบตามความเป็นจริงแต่เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองสบตาคนถามเพราะปกติแล้วเธอก็รู้สึกเกรงในสายตาที่เขามองแต่นี่ท่านประธานพาตัวเองมาอยู่ใกล้เธอแบบนี้ยิ่งทำให้เนตรทรายที่เคยปากเก่งกลายเป็นคนเงียบไม่กล้าแม้แต่จะสบตา
“เงินเดือนที่เก่าของเธอคงน้อยแต่ถ้ามาอยู่ที่นี่แล้วผมคิดว่าเงินเดือนที่ผมให้น่าจะพอจ่ายค่าที่พักแถวนี้ได้”
เนตรทรายหันไปมองสบตาคนพูดแค่เพียงครู่เดียวเธอก็ต้องรีบลดสายตาลงเมื่อรู้สึกว่าคำตอบที่เธออยากจะพูดออกไปมันจะทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงดราม่าเจ้าน้ำตาเธออยากจะบอกกับท่านประธานบริษัทเหลือเกินว่าเงินเดือนที่เขาให้เธอเพียงพอกับแค่ค่ารักษาของพ่อในแต่ละเดือนเพียงเท่านั้นเธอไม่มีเงินเก็บไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อเสื้อผ้าเหมือนอย่างเช่นพนักงานคนอื่นทำกัน
“ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมถึงทำหน้าเศร้าแบบนี้”
ธันวาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แปลกไปของเนตรทรายเขาพยายามคาดคั้นเอาคำตอบจากเธอแต่อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะเงียบตอบเฉไฉไปทางอื่นท่านประธานจึงเป็นอันต้องยอมและปล่อยให้เธอได้ไปทำงานในหน้าที่
1 เดือนต่อมา
หนึ่งเดือนกับการทำงานที่บริษัทแห่งใหม่เนตรทรายดูมีความสุขขึ้นเพราะจากเงินเดือนที่ได้ มันทำให้เธอสามารถส่งไปให้ทางบ้านได้อย่างเต็มที่ก่อนหน้านี้เงินเดือนที่บริษัทเก่าเธอทำได้แค่เพียงให้พ่อได้รักษาตัวไปวันต่อวันถึงแม้หมอต้องการที่จะพาตัดแบบเร่งด่วนแต่เธอก็ทำได้แค่เพียงเฝ้ารอที่จะหาเงินสักก้อนมาซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะหามาจากไหน
“ท่านประธานมีธุระในช่วงเช้าจะกลับเข้ามาทำงานในช่วงบ่ายรบกวนเธอช่วยดูแลด้วยนะพี่คงต้องรีบกลับบ้านก่อนเพราะไม่มีคนรับลูก”
เพ็ญจิรารีบเคลียร์งานบนโต๊ะให้เสร็จก่อนเวลาเพราะวันนี้คนที่รับจ้างเธอเลี้ยงลูกต้องไปธุระในช่วงบ่ายเธอจึงขออนุญาตเจ้านายเลิกงานก่อนเวลา
“ได้ค่ะพี่”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นรุ่นพี่เลขาจึงขอตัวออกไปทำงานต่อเพื่อให้เนตรทรายรับโทรศัพท์
“หนูเพิ่งมาทำงานได้เดือนแรกยังไม่รู้จะหาเงินจากไหนเลยค่ะแม่”
เนตรทรายพูดเสียงเศร้าใส่โทรศัพท์เธอคิดว่าเวลานี้เหลือเธอเพียงคนเดียวในห้องทำงานแต่ความจริงแล้วธันวากำลังผลักประตูเข้ามาและเขาก็เลือกที่จะค่อยๆแง้มประตูแอบฟังเมื่อเห็นผู้ช่วยของเขากำลังคุยโทรศัพท์
“แม่บอกให้พ่อเข้มแข็งนะคะหนูจะหาเงินให้เร็วที่สุดตอนนี้เพื่อนๆก็ช่วยกันให้หนูยืมแต่มันก็ยังได้ไม่มากพอหนูขอโทษที่เป็นลูกที่ไม่ดีเลย”
ธันวายอมเป็นคนเสียมารยาทเขาแอบฟังเนตรทรายคุยโทรศัพท์ตั้งแต่ต้นจนจบถึงแม้จะไม่สามารถจับใจความได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของผู้ช่วยเลขาแต่เขาก็พอรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังมีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับพ่อและมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง
“ขอบคุณนะที่ยังไม่กลับสั่งอาหารเย็นมากินด้วยกันหน่อยแล้วกัน”
ท่านประธานยื่นนามบัตรร้านอาหารพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งวางไว้ให้เนตรทรายจัดการสั่งอาหารมื้อเย็นมานั่งกินด้วยกันเพราะวันนี้ชายหนุ่มตั้งใจจะจัดการงานให้เสร็จหลังจากที่ช่วงเช้าเขาต้องพามารดาไปหาหมอกว่าจะได้กลับบริษัทก็เย็นแล้ว
“แล้วไหนล่ะของเธอ” ธันวาถามเมื่อเขาเห็นว่ามีจานข้าวเพียงแค่ใบเดียว
“ฉันไปกินข้างนอกดีกว่าค่ะ”
“มากินด้วยกันนั่นแหละตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่เรายังไม่มีโอกาสได้กินข้าวด้วยกันจะได้พูดคุยอะไรกันบ้างที่ผ่านเราก็คุยกันแต่เรื่องงาน”
เนตรทรายไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้านาย เธอจึงจำใจต้องยกอาหารเข้ามานั่งกินด้วย ชายหนุ่มพยายามหาเรื่องมาคุยแต่เนตรทรายกับเอาแต่เงียบยิ้มเจื่อนมุมปากด้วยใบหน้าที่ไร้ความสุขจนธันวาเองเริ่มหาเรื่องคุยไม่ได้บรรยากาศจึงเข้าสู่ความเงียบ
“ผมขอเลขบัญชีคุณด้วยนะ เวลาที่คุณต้องทำงานล่วงเวลาแบบนี้ ผมไม่ต้องการจะจ่ายเงินผ่านระบบของบริษัทคุณเองก็จะได้ไม่โดนหักภาษีและผมก็ไม่อยากให้คนที่นี่รู้สึกว่าคุณได้เงินมากกว่าใครทั้งที่ความจริงมันก็คือสิทธิ์ของคุณเพราะคุณทำงานมากกว่าเขา”
ธันวาไม่ได้คิดอย่างที่พูดเขาต้องการขอบัญชีเนตรทรายเพื่อหวังว่าในอนาคตถ้าหญิงสาวมีเรื่องเดือดร้อนใจอะไรเขาจะได้ช่วยเหลือได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องผ่านเพ็ญจิราหรือฝ่ายบุคคลเพราะเขาไม่ต้องการให้เรื่องนี้แพร่งพรายไป การที่เขาจะช่วยเหลือใครสักคนเขาต้องการให้เป็นความลับ
เนตรทรายออกไปแล้วท่านประธานบริษัทจึงมีเวลานั่งคิดทบทวนอะไรบางอย่างคนเดียว วันนี้ชายหนุ่มพามารดาไปหาหมอแต่สิ่งที่ทำให้เขาเป็นกังวลไม่ใช่อาการป่วยของคนเป็นแม่แต่มันคือสิ่งที่มารดาดาของเขาร้องขอให้เทำนั่นคือการแต่งงานกับผู้หญิงที่เธอหาให้
นิดาแม่ของธันวาเป็นผู้หญิงที่เอาแต่ใจมากเพราะเธอถูกสามีตามใจมาโดยตลอดแต่หลังจากที่พ่อของธันวาจากไปนิดาก็ยิ่งกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์มากยิ่งขึ้นเมื่อเเธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอไม่เหลือใครหลายครั้งที่คนเป็นแม่มักทวงถามถึงการแต่งงานแต่ทุกครั้งธันวาก็จะปฏิเสธและเปลี่ยนเรื่องคุยแต่วันนี้นิดากลับเป็นฝ่ายจัดหาผู้หญิงให้โดยที่ไม่ได้ถามความคิดเห็นของลูกชายสักคำ
“ถ้าเรามีเมียแล้วเราก็จะมีเมียอีกไม่ได้”
ธันวาคิดแผนขึ้นมาได้ว่าถ้าเขาจ้างใครสักคนมาเป็นภรรยาในนามคงจะสามารถทำให้มารดาของเขาหยุดเรื่องที่จะหาผู้หญิงมาให้เป็นเมีย
ชายหนุ่มจำเป็นต้องหยุดความคิดเรื่องนี้ลงเพราะงานที่กองอยู่ตรงหน้าและนาฬิกาที่บอกเวลาว่าใกล้ค่ำแล้วทำให้เขาต้องรีบทำงานเพราะถ้าขืนเขายังทำงานช้าเนตรทรายก็คงต้องอยู่เป็นเพื่อนเขาจนดึกและเธอก็คงไม่ปลอดภัยเพราะระยะทางจากบริษัทไปจนถึงห้องเช่ากว่าจะฝ่ารถติดไปก็คงจะดึกมากแล้ว
“ดึกแล้วเดี๋ยวผมไปส่งที่ห้อง”
ตลอดทางกลับบ้านทั้งสองคนแทบไม่ได้คุยอะไรกันเพราะเนตรทรายเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างใบหน้าของเธอมีแต่ ความเศร้าธันวาเองก็ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปากชวนคุยเพราะสัมผัสได้ว่าหญิงสาวที่นั่งมาข้างๆเขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่อยากพูดคุยกับใคร
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
หญิงสาวเปิดประตูรถเธอลงก่อนที่จะถึงหอพักโดยให้เหตุผลว่าทางเข้าบริเวณหอคับแคบกลัวว่าท่านประธานจะกลับรถลำบาก
ธันวาด้วยความสงสัยและอยากรู้ว่าพนักงานใหม่ของเขาอาศัยอยู่ที่ไหนจึงแอบขับรถตามเว้นระยะห่างเมื่อธันวาได้เห็นหอพักที่หญิงสาวอยู่เขาถึงกับรู้สึกหดหู่ใจเพราะมันเป็นหอที่มีขนาดเล็กและดูเก่าทรุดโทรมมาก
ระหว่างทางกลับบ้านอยู่ดีๆชายหนุ่มก็รู้สึกได้คำตอบขึ้นมาในหัวใจว่าผู้หญิงที่เขาจะเลือกให้มาเป็นภรรยาในนามคงไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับเนตรทรายเพราะจากการที่เขาได้พูดคุยและพบเจอเธอตั้งแต่ครั้งแรกเธอมีทุกอย่างที่เขาประทับใจไม่ว่าจะเป็นความถูกต้องในเรื่องของการแซงคิวและการพูดจาตรงๆไม่ประจบประแจงมันแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ไม่ได้ต้องการผลประโยชน์นอกจากความถูกต้องแต่ธันวาก็ยังคิดไม่ออกว่าเขาจะยื่นข้อเสนอนี้ให้กับเธอยังไงเพื่อไม่ให้เธอปฏิเสธได้
“ผมขอโทษนะที่มารบกวนกลางดึก พอดีมีเรื่องอยากรู้”
ธันวาตัดสินใจขับรถไปที่บ้านของเลขาซึ่งเขาก็เคยมารบกวนเธอในยามค่ำคืนแบบนี้บ่อยๆด้วยความรู้สึกคับข้องใจอยากรู้เรื่องราวชีวิตครอบครัวของเนตรทรายผู้หญิงที่เขาตั้งใจว่าจะให้เธอมาเป็นเมียจำเป็นเพื่อยุติเรื่องที่แม่ของเขาต้องการให้แต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อไลลา
“วันนี้ผมได้ยินเนตรทรายคุยโทรศัพท์เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับพ่อและแม่คุณเพ็ญพอจะทราบไหมครับว่าเธอกำลังเจอปัญหาอะไร”
เพ็ญจิรารู้สึกไม่แปลกใจที่เจ้านายของเธอมาถามไถ่เรื่องนี้ถึงที่บ้านเพราะปกติแล้วท่านว่ามักจะเป็นห่วงเป็นใยพนักงานทุกคนในบริษัทเหมือนกับว่าทุกคนคือญาติพี่น้อง
“พ่อของทรายป่วยเป็นโรคทางระบบประสาทคุณหมอบอกว่าการผ่าตัดจะช่วยให้พ่อเธอดีขึ้นแต่นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ยังไม่มีเงินที่จะใช้ในการผ่าตัดคิดว่าคงเป็นเรื่องนี้แหละค่ะที่ทำให้เนตรทรายเศร้าและดูไม่มีความสุข”
เพ็ญจิราเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับความทุกข์ของผู้ช่วยเธอเพราะเธอได้รับรู้เรื่องนี้จากการที่เนตรทรายเข้ามาปรึกษาในเรื่องของสวัสดิการของบริษัทว่าจะมีอะไรพอช่วยเหลือพ่อเธอได้บ้าง
“ตอนที่พ่อเธอป่วยตอนแรกก็เอาบ้านเข้าจำนองจนตอนนี้ก็จะโดนเจ้าหนี้ยึด เพ็ญก็ได้แต่ฟังแต่ก็ไม่รู้จะให้ความช่วยเหลือน้องยังไง”
เลขายังคงเล่าต่อด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจหลายครั้งที่ เพ็ญจิราถอนหายใจในขณะที่เล่าเพราะเธอรู้สึกสงสารและรู้สึกว่าชีวิตของเนตรทรายทำไมถึงมีแต่ความทุกข์ปัญหาต่างๆกำลังรุมเร้าเด็กสาวที่อายุยังไม่ถึง 30 จนเหมือนว่าเธอกำลังแบกโลกทั้งใบไว้ คนเดียว
ธันวานั่งคุยกับเลขาต่ออีกสักพักเขาเริ่มก็มองเห็นทางแล้วว่าทางเดียวที่เขาจะมีโอกาสได้ช่วยพนักงานคนนี้ที่เขารู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูเธอเป็นพิเศษมันคือทางเดียวกับที่จะทำให้เขารอดจากการถูกบังคับแต่งงานในครั้งนี้ด้วยพรุ่งนี้เช้าชายหนุ่มตั้งใจว่าเขาจะหาโอกาสคุยกับเนตรทรายให้รู้เรื่องและทำทุกอย่างให้เธอไม่กล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่เขาต้องการในครั้งนี้
