๓.๓ เธอไม่มีสิทธิ์ใกล้ใคร
“คุณไนท์!”
“เธอเรียกชื่อฉันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว”
“ก็คุณชอบทำให้ไผ่ตกใจนี่คะ”
“ตกใจเรื่องอะไร เรื่องที่ถูกฉันไซ้คอน่ะเหรอ ฉันแค่อยากให้เธอชิน เพราะหลังจากอาบน้ำเสร็จเธอจะถูกฉันจูบทั้งตัว”
“ปล่อยไผ่ได้แล้วค่ะ ไผ่จะรีบไปอาบน้ำ”
“เธอก็อยากเหมือนกันสินะ”
“ไผ่ไม่ได้อยาก” กลิ่นจันทร์ปฏิเสธแล้วก็นึกอยากค้อนเขานัก เรื่องอะไรมายัดเยียดความอยากของตัวเองให้คนอื่น
“ก็เธอบอกจะรีบไปอาบน้ำ”
“คุณไนท์ลืมไปแล้วเหรอคะว่าเป็นคนสั่ง แล้วที่มากอดไผ่แบบนี้ ไม่นึกรังเกียจกลิ่นของผู้ชายคนอื่นที่ติดตัวไผ่แล้วเหรอคะ” กลิ่นจันทร์ย้อนอย่างอดไม่ได้ ไม่ใช่คิดจะดื้อหรือลองดีกับเขา แต่เพราะการกระทำของเขามันขัดแย้งกับคำพูดต่างหาก
“เธอพูดผิดนะกลิ่นจันทร์ ฉันไม่ได้แค่กอด แต่จะจูบเธอด้วย จูบที่คอแบบนี้ไง” นภัทรกระซิบด้วยเสียงชวนวาบหวาม ก่อนจะทาบปากลงบนต้นคอของสาวน้อยอีกครั้ง คราวนี้จูบแรงกว่าเดิม แถมไม่ได้จูบครั้งเดียว แต่ยังเลาะเล็มซุกไซ้ขึ้นไปหาใบหูเล็กๆ ด้วยสัมผัสที่ร้อนแรง ทำเอาสาวน้อยผู้ไร้ประสบการณ์ถึงกับซ่านสยิวไปหมด
“อย่าค่ะ ปล่อยไผ่ก่อน ไผ่จะไปอาบน้ำ” เสียงหวานเอ่ยห้าม พยายามจะเอนคอหนี แต่ก็ไม่สามารถจะหลบปากและจมูกแสนร้ายกาจที่ตามติดไม่เลิกได้
“ไม่ต้องแล้ว ความจริงเธอก็พูดถูกว่าบนตัวเธอไม่มีกลิ่นของผู้ชายอื่นติดเลย แล้วฉันจะเสียเวลารอทำไม”
“ไผ่ยังไม่พร้อม”
“แต่ฉันว่าเธอพร้อมแล้ว พร้อมตั้งแต่จูบกับฉันในห้องน้ำ แต่ถ้าเธอยังปากแข็ง ฉันจะหาหลักฐานให้เธอดู”
พูดจบมือใหญ่ก็จัดการดึงรั้งขอบกางเกงผ้ายืด แล้วจัดการรูดผ่านสะโพกผายลงไปกองไว้ที่ข้อเท้า จากนั้นก็สอดมือผ่านกางเกงชั้นในเข้าไปประกบเนื้อแท้ของเนินนารี กดแซะ กรีดไล้ สลับกับบดวนนิ้วหัวแม่มือใส่ความสาวที่ไม่เคยต้องมือชายมาก่อน ไม่นานความฉ่ำชุ่มหยาดเยิ้มก็หลั่งล้นเอ่อซึมออกมา
“ยะ...อย่าค่ะ...” กลิ่นจันทร์ร้องห้ามเสียงเบาหวิว ทั้งใบหน้าและร่างกายนั้นร้อนผ่าวปนวาบหวามไปหมด
“หึหึ เธอเปียกแล้ว ฉันชอบความไวไฟของเธอเป็นบ้า”
คำพูดของเขาทำให้กลิ่นจันทร์ทั้งโกรธทั้งอาย เขาหลอกล่อเธอแล้วพูดให้เจ็บช้ำ คนร้ายกาจ...เขาร้ายเหลือเกิน แต่ที่น่าโกรธกว่าคือร่างกายของเธอที่มันช่างเริงร้อนไปกับสัมผัสนิดๆ หน่อยๆ อย่างง่ายดาย
“หยุดเถอะนะคะ...พอแล้ว...”
“ทำไม อายเหรอที่ฉันรู้ว่าเธอเองก็มีอารมณ์ จะอายทำไมกลิ่นจันทร์ หรือเธอไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้ เธอไม่เคยช่วยตัวเองหรือไง” เขาไม่ได้แค่ถามแต่ยังกระดิกนิ้วระรัวใส่ความอ่อนไหวของเธออย่างชวนให้บ้าคลั่ง ทำเอาสาวน้อยได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“เลิกถามคำถามบ้าๆ แบบนี้กับไผ่เสียที”
“บ้าตรงไหน เธอแค่อายที่จะพูดความจริงกับฉันต่างหาก ถ้าฉันแค่ทำและถามเท่านี้เธอยังอาย แล้วถ้าฉันทำแบบนี้ล่ะ”
ว่าแล้วเขาก็ขยับตัวมาตรงหน้าเธอ คุกเข่าลงพร้อมกับดึงกางเกงชั้นในเนื้อบางตามลงมา จากนั้นก็ยกขาเรียวข้างหนึ่งขึ้นพาดบนบ่า ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปจูบเน้นย้ำส่วนนั้น ส่วนที่กำลังร้อนเร่าแต่ฉ่ำชุ่ม ส่วนที่ทำให้กลิ่นจันทร์รู้สึกอับอายมากกว่าส่วนไหนๆ
“อ๊า...ไม่นะคะ...”
สะโพกผายหยัดเกร็งเพราะพรึงเพริดไปกับสัมผัสสุดรุ่มร้อนจากลิ้นหนาที่กำลังตวัดใส่แบบไม่ยั้ง แต่ที่ทำให้กลิ่นจันทร์แทบจะต้านทานอารมณ์ของตัวเองไม่ไหว ก็คือตอนที่เขาละปากออก แต่แทรกนิ้วยาวแกร่งเข้าไปแทน แล้วเริ่มเคลื่อนขยับเขยื้อนเข้าออกเป็นจังหวะ บุกทะลวงให้ความหยาดเยิ้มหลั่งล้นและอาบเคลือบรอบนิ้วของเขา
“พะ...พอแล้วค่ะ...อูยยส์...” สาวน้อยเอ่ยอย่างกระท่อนกระแท่น ขณะเม้มปากเข้าหากันแน่นเพื่อระงับเสียงหวีดครางอย่างสุขสมปนซ่านเสียวของตัวเอง
เหมือนเขาจะอนาทรต่อคำขอร้องของเธอ มือและปากละออกจากความอ่อนไหวที่ถูกปลุกเร้าล่อลวงจนร้อนรุ่ม ก่อนที่ร่างสูงจะหยัดกายลุกขึ้น จ้องมองใบหน้าที่แดงก่ำกับดวงตาที่ปรือเยิ้มไปด้วยพิษของไฟปรารถนา ก่อนจะออกคำสั่งบางอย่าง
“อ้าปากขึ้นสิกลิ่นจันทร์ ฉันจะให้เธอลิ้มลองรสชาติของตัวเอง”
เมื่อครู่ว่าน่าอายแล้ว นี่เขาจะทำในสิ่งที่น่าอายกว่าเดิมอีกหรือ เธอมันโง่ที่คิดว่าเขาจะปรานี แท้จริงแล้วเขาแค่จะทำให้เธออับอายมากกว่าเดิมต่างหาก
“มะ...ไม่ค่ะ” กลิ่นจันทร์ขยับปากปฏิเสธ แต่นั่นไม่ต่างอะไรกับเปิดทางให้คนร้ายกาจ เพราะทันทีที่ปากของเธอขยับ มือใหญ่ก็ช้อนเข้าใต้คางมนพร้อมกับบีบกรามไว้ ก่อนจะสอดนิ้วเรียวยาวที่มีกลิ่นรสของเธอเคลือบอยู่เข้าใส่ปากเล็ก แล้วส่งสายตาบังคับให้เธอต้องลิ้มลองมัน
“อื้อ...อื้อ...”
สาวน้อยได้แต่ส่งสายตาอ้อนวอน แต่ก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ จึงได้แต่กลืนกินสิ่งที่เขาปรนป้อนเข้ามา กระทั่งนภัทรถอดถอนนิ้วออก แล้วโน้มใบหน้าลงมาประกบปากหยักเข้ากับกลีบปากนุ่ม เธอจึงได้พบเจอกับสิ่งที่ร้อนแรงกว่า ปากเขาจูบ ลิ้นเขาตวัดโลมไล้ มือเขาลูบคลำไปทั่ว จัดการกับอาภรณ์ท่อนบนของเธอออกจนหมด ตอนนี้ร่างอรชรเหลือเพียงความเปลือยเปล่า จากนั้นไม่นาน เขาอุ้มเธอไปวางที่เตียง แล้วขยับขึ้นมาเกยก่ายคร่อมทับ ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาสบตา สองมือหนากดข้อมือเล็กๆ ของเธอไว้แนบกับที่นอน ทำให้กลิ่นจันทร์ต้องเบี่ยงหน้าหนี เพราะไม่อาจจะสู้ประกายตาคมกล้าอันร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงของเขาได้
“เธอกินยาคุมเรียบร้อยดีมั้ย...” เสียงหล่อทุ้มสมตัวกระซิบถาม เป็นการตอกย้ำว่าเขาไม่ลืมในสิ่งที่เขาเคยออกคำสั่งเอาไว้
“ค่ะ” กลิ่นจันทร์ได้แต่ขานรับเบาๆ หัวใจเต้นแรงโลดดุจจะทะลุออกมานอกอก รู้ดีว่าเวลาแห่งการสูญเสียบางอย่างกำลังจะมาถึงแล้ว
“จำไว้นะว่า ถ้าเธอโกหก เธอจะต้องรับผลของมันเอง ท้องขึ้นมาเมื่อไหร่เธอต้องรับผิดชอบตัวเอง”
“ค่ะ”
“กอดฉัน”
“!!!”
คราวนี้กลิ่นจันทร์ต้องหันไปมองเขา ใบหน้าเธอยังคงแดงก่ำด้วยความอับอาย ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เพราะเพิ่งเห็นว่าเขาก็เปลือยเปล่าเช่นกัน
“เร็วๆ สิกลิ่นจันทร์ อย่าให้ฉันต้องสั่งซ้ำนะ”
“จะให้ไผ่กอดยังไงคะ คุณกดมือไผ่อยู่” นั่นเป็นคำซื่อๆ ที่เธอพูดออกไป ทำให้คนร้ายกาจเกือบหลุดยิ้ม พลันนึกเอ็นดูขึ้นมา แต่ต้องรีบตะโกนบอกตัวเองในใจว่าห้ามใจอ่อนเด็ดขาด นี่คือน้องสาวของไอ้เพื่อนทรยศ เธอเองก็คงมีสันดานไม่ต่างจากพี่ชาย
“เธอกำลังปากเก่งกับฉัน” เขาเลือกที่จะโยนความผิดให้กับความใสซื่อที่ตัวเองเห็น
“ไผ่เปล่านะคะ ไผ่แค่อธิบาย”
“เลิกอธิบายแล้วทำตามที่ฉันสั่ง ตอนนี้มือเธอเป็นอิสระแล้ว”
มือหนาละออกจากการกดข้อมือเล็กทั้งสองข้าง กลิ่นจันทร์ต้องข่มความอายแล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นโอบกอดรอบคอแกร่ง
“ถ่างขาให้ฉันด้วย”
กลิ่นจันทร์อายไม่รู้จะอายยังไงกับคำสั่งแต่ละอย่างของเขา แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก นอกจากขยับขาเรียวให้กางกว้างออก จนร่างสูงใหญ่สามารถเบียดแทรกเข้ามาตรงกลางได้
นภัทรเคลื่อนขยับความแข็งแกร่งจอประชิดกับเนินสาว แล้วจัดการกดสะโพกหนั่นแน่นส่งตัวตนแห่งบุรุษเพศเข้าสู่ช่องทางรักอย่างเอาแต่ใจ กลิ่นจันทร์กัดปากตัวเองจนห้อเลือด เธอปริเปล่งและเจ็บปวดเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ กระนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ หลุดออกมาจากปากจิ้มลิ้ม สิ่งที่เธอทำเพื่อระบายความปวดหนึบของตัวเอง นั่นก็คือการจิกเล็บลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาเท่านั้น
“ถ้าเจ็บหรือเสียวก็ครางออกมาได้เลย...”
เขากระซิบก่อนจะจูบไซ้ที่ข้างใบหู ขยับต่ำลงไปยังลำคอ ปลุกเร้าเธอด้วยสัมผัสที่มากประสบการณ์ ก่อนจะเลื่อนปากมาปิดทับปากของเธออีกครั้ง เขาทั้งจูบทั้งห่มสะโพกตอกตรึงความมหึมาลงใส่เธอ อาการแสบแสนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นวาบหวิวร้อนซ่าน เมื่อร่างกายเริ่มคุ้นชินและก้าวข้ามผ่านมาได้ เสียงหวานก็หลุดครางแม้จะไม่อยากคราง ทว่าเธอกลับไม่อาจต่อต้านธารอารมณ์อันสุดเชี่ยวกรากนั้นได้
“คุณ…ไนท์…ได้โปรด…ไผ่ไม่ไหว...แล้ว…ค่ะ…” กลิ่นจันทร์อ้อนวอนด้วยน้ำเสียงไม่เป็นส่ำ และไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังขออะไรจากเขา รู้แค่เพียงว่าตัวเองกำลังจะขาดใจ เหมือนกำลังไขว่คว้าอะไรบางอย่าง เมื่อเขาโหมกระหน่ำโยกกายเข้าใส่เธอแบบชวนให้บ้าคลั่ง
“อืม...คงใกล้สินะ...”
คนร้ายกาจเหมือนจะปรานีและฟังคำอ้อนวอนของเด็กสาว เพราะหลังจากนั้นเขาก็เร่งขยับเอวสอบถี่ยิบ ทำให้เธอหวีดร้องดังระงมลั่น และไม่นานอารมณ์สาวก็โลดทะยานขึ้นสูงลิ่ว จนบางอย่างในกายระเบิดพร่างออกมาเป็นแสงระยิบระยับ พร้อมกับที่เธอรู้โดยสัญชาตญาณว่ามันคือ จุดสูงสุดของความสุขสมแห่งอารมณ์ซ่านสยิว
กลิ่นจันทร์นอนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนปนโล่งอก คิดว่าการเผชิญหน้ากับความวาบหวามที่ชวนให้คลั่งไคล้ของคืนนี้คงจบลงแล้ว แต่นั่นคือสิ่งที่เธอคิดผิดมหันต์ เพราะหลังจากนั้นแค่ไม่ถึงนาที เขาก็พลิกกายเธอให้นอนคว่ำพร้อมทั้งสอดมือดึงรั้งสะโพกสาวให้ยกสูงขึ้นในองศาที่พอดี ก่อนจะแอ่นอัดดำดิ่งตัวตนเข้ามาเป็นส่วนเดียวเต็มอัตราศึก แล้วล่อลวงคนที่อ่อนด้อยเรื่องบนเตียงเข้าสู่กองเพลิงปรารถนาอันสุดเร่าร้อนอีกครั้งและอีกครั้ง เหมือนดั่งว่ามันจะไม่มีจุดสิ้นสุด
“อ๊า...คุณไนท์...”
ขาเรียวถูกจับพาดจับวางบนร่างกำยำในทุกท่วงท่าที่เขาต้องการ นภัทรทำให้เธอรู้ว่าเขาแข็งแรง ดิบเถื่อน และทรงพลังมากเพียงใด เขาไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยล้า แม้จะออกแรงห่มสะโพกต่อๆ กันหลายยกแทบไม่ได้พัก เขาคร่ำครางอย่างเซ็กซี่และสุขสมจนน่าอิจฉา พร้อมกับกระชากเธอให้รู้สึกไปด้วย จวบจวนครึ่งค่อนราตรีจึงผ่อนปรนตัวเอง และยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ
ความหนาวเหน็บแห่งราตรีกาลมาเยือน เมื่อร่างกายไม่ได้เคลื่อนขยับและยังถูกโอบล้อมด้วยความเย็นชืดจากการทำงานของเครื่องปรับอากาศชั้นดี ร่างบางห่อกายเข้าหากันเล็กน้อย ซึ่งเหมือนคนที่นอนอยู่ข้างๆ จะรับรู้ด้วย จึงหยิบผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงมาคลุมให้
ตาคู่สวยจ้องมองเขาเงียบๆ ความอุ่นของผ้าห่มเนื้อดีนั้น เทียบไม่ได้เลยกับความเร่าร้อนที่เธอได้รับจากเขาตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา มันคงจะดีไม่น้อย หากเขาจะหยิบยื่นมันให้เธออีกครั้ง ด้วยการโอบกอดเธอเข้าไปแนบชิด และหลับใหลไปพร้อมกัน ทว่า...
“อยากให้ฉันกอดเหรอ”
“…” กลิ่นจันทร์เงียบและหลุบตาลง
“คงไม่ได้หรอกนะ เพราะฉันไม่คิดจะกอดผู้หญิงคนไหนอีก นับตั้งแต่ที่บีม ‘ทรยศ’ ฉัน และไปเล่นชู้กับพี่ชายเธอ”
พูดแค่นั้นเขาก็พลิกตัวนอนหันหลังให้ จากนั้นห้องทั้งห้องก็มีแต่ความเงียบ ราวกับว่าเมื่อครู่ใหญ่ๆ ที่ผ่านมามันไม่ได้ระงมไปด้วยเสียงโยกไหวและเสียงครวญครางแห่งความสุขสมอย่างนั้นละ
กลิ่นจันทร์ข่มตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนระคนอ้างว้าง หวนคิดถึงเมื่อวัยเด็กตอนที่พ่อแม่จากไปใหม่ๆ เธอก็นอนอ้างว้างเช่นนี้ทุกคืน แต่ก็ได้อ้อมแขนของคนเป็นพี่คอยโอบกอดให้คลายความเศร้า หลังจากนั้นความอ้างว้างก็ค่อยๆ หายไปจนกลายเป็นความคุ้นชิน คืนนี้เวลานี้ความรู้สึกเหล่านั้นมันจู่โจมเข้ามาในหัวใจอีกครั้ง ทว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ กลับเฉยชา ซ้ำยังเพิ่มความเหน็บหนาวให้กับหัวใจดวงน้อย ด้วยคำพูดที่ปราศจากความไยดีอย่างสิ้นเชิง...
