บท
ตั้งค่า

เมียหมอ 13

“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?” นิวถามด้วยความสงสัยเมื่อฉันเปิดประตูรถเข้ามา

“แค่คนรู้จักน่ะ”

“แน่ใจ?” เขาจ้องหน้าฉันราวกับจับผิด ซึ่งฉันก็พยายามทำตัวและทำสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด

“อย่าถามมากได้ไหม”

“เห็นท่าทางเหมือนสนิทกัน แค่ไม่แน่ใจเลยถามดู”

“เมื่อก่อนเคยสนิท แต่ตอนนี้ไม่สนิทแล้ว”

“…..” เขาจ้องมองอยู่แบบนั้น ถ้าให้ฉันเดานิวคงระแคะระคายเรื่องของหมออยู่ไม่น้อย แล้วฉันก็คิดว่าคนฉลาดอย่างนิว

น่าจะรู้ แต่ฉันก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะถือว่าจบกันไปแล้ว ช่วยไม่ได้ หมออยากมาใจร้ายกับฉันก่อน!

“มองแบบนี้หมายความว่าไง?”

“เธอก็รู้ใช่ไหมว่าฉันคิดยังไงกับเธอ”

“รู้สิ ฉันไม่ใช่เด็กประถมนะ”

“เราลองมาคบกันดูไหมล่ะ”

“ตอนนี้อกหักยังไม่อยากมีแฟน” ฉันตอบกลับแบบไม่คิด จะว่าใจร้ายก็ได้ แต่สำหรับนิวมันยังรู้สึกว่าเร็วเกินไป แล้วฉันก็ยังไม่เคยคิดสานสัมพันธ์ต่อกันในตอนนี้ อาจจะเป็นเพราะแผลมันยังสดเกินไป เลยยังไม่อยากเปิดใจให้ใคร

“ใจร้าย เล่นตัดบทกันแบบนี้เลยเหรอ” เขาหน้าเหวอเมื่อได้ยินในสิ่งที่ฉันบอก ต่อให้มันจะรวยมากและหล่อขนาดไหน ฉันก็ยังไม่ยอมใจอ่อนให้หรอกย่ะ เพราะผู้ชายส่วนมากมันไว้ใจไม่ได้ แล้วฉันก็รู้สึกเข็ดขยาดกับความรัก

“ตอนนี้ฉันยังลืมเขาไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากดึงใครเข้ามาเพื่อเป็นตัวแทนของใคร นายเข้าใจใช่ไหม”

“เข้าใจแล้ว งั้นฉันจะให้โอกาสเธอลืมคนนั้นสักสองอาทิตย์พอไหม”

“ตลกมากหรือไง คนนะไม่ใช่ปลาทองที่จะลืมง่ายขนาดนั้น”

“แล้วเธอจะจำให้รกสมองทำไม ลืมๆ มันไปน่ะดีแล้ว”

ที่นิวพูดก็มีเหตุผล ที่ผ่านมาฉันเจ็บมากพอแล้ว ถึงเวลาที่ต้องมาหาความสุขให้ตัวเองสักที ในเมื่อเขาไม่เคยรักฉัน ฉันก็ควรหันมารักตัวเอง

“งั้นเรื่องระหว่างเรา ฉันจะปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกันนะ”

-ร้านกาแฟ-

“คนนี้น่ะเหรอกิ๊กใหม่แก?” มิกิกระซิบกระซาบถามหลังจากที่ฉันพานิวมาเปิดตัวกับมัน

“ไม่ถึงขนาดนั้น แค่กำลังคุยๆ อยู่”

“ก็โอเคอยู่นะ เขาดูมีภูมิฐานดี ฉันให้ผ่านแล้วกัน” มิกิยิ้มหวานก่อนจะมองไปยังนิวที่นั่งข้างๆ ฉัน ระยะเวลาหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา เขายังคงเสมอต้นเสมอปลาย ฉันเลยลองเปิดใจให้เขานิดหน่อย

“กำลังนินทาฉันงั้นเหรอ?”

“ปะ…เปล่านะ” มิกิสะดุ้งตอบกลับเมื่อเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของนิว ปกติหน้ามันก็โหดอยู่แล้ว เล่นชักสีหน้าแกล้งเพื่อนฉันแบบนี้ยิ่งดูโหดไปกันใหญ่

“อย่าทำหน้าดุแบบนั้นสิ เพื่อนฉันกลัวนะ ยัยมิกิมันยิ่งเป็นคนขวัญอ่อนอยู่ด้วย” ฉันหันไปแยกเขี้ยวใส่มันด้วยความหงุดหงิด แน่นอนว่าคนอย่างนิวไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร

“พวกแกรู้จักกันนานแล้วเหรอ?” มิกิเอ่ยถาม

“สามเดือนน่าจะได้” ฉันตอบพลางนั่งนึกย้อนกลับไป ไม่สิ! ฉันรู้จักเขามาน่าจะสี่เดือนแล้ว

“แค่ฉันเห็นแกสดใสร่าเริงขึ้นก็รู้สึกสบายใจแล้ว”

“คนอย่างฉันมันเศร้าได้ไม่นานหรอก แกไม่ต้องเป็นห่วง”

“…..”

-ห้างสรรพสินค้า-

“อยากกินร้านไหนก็เลือกเลย เดี๋ยววันนี้ฉันเป็นเจ้ามือเอง” นิวหันมาบอกฉันที่เดินอยู่ข้างๆ พอกลับจากร้านกาแฟ เขาก็ชวนฉันมาเดินเที่ยวที่ห้างต่อ

“งั้นกินอาหารญี่ปุ่นกันไหม ไม่ได้กินนานแล้ว”

“ตามใจเธอแล้วกัน”

“งั้นเอาร้านนั้นนะ” ฉันชี้ไปยังร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มันคือร้านโปรดของฉันเอง

“เธอเข้าไปสั่งอาหารรอเลย เดี๋ยวฉันขอแวะทำธุระที่ธนาคารแป๊บนึง”

“โอเค รีบไปรีบมานะ”

“ห่างกันแป๊บเดียวก็คิดถึงแล้วเหรอ?”

“คิดถึงบ้านป้านายน่ะสิ ฉันไม่อยากรอนาน”

เมื่อเห็นว่านิวเดินออกไปแล้ว ฉันจึงเดินตรงมายังร้านอาหารญี่ปุ่น

“สวัสดีค่ะร้านอูมามิยินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบว่ามากี่ท่านคะ?” พนักงานสาวออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“มาสองคนค่ะ”

“ถ้างั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ”

“จะรับเครื่องดื่มเป็นอะไรดีคะ?”

“ขอเป็นชามะลิแล้วกันค่ะ”

“รอสักครู่นะคะ”

“…..” ฉันยิ้มตอบอย่างเป็นมิตรก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเพื่อฆ่าเวลาในระหว่างที่นิวไปทำธุระ

“ขอโทษที่ให้รอนานนะ” นิวเดินกลับเข้ามาหลังจากที่หายไปนานเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่ทราบว่าไปธนาคารหรือไปทำอะไรกันแน่ถึงได้นานขนาดนี้

“หายไปนานขนาดนี้ ไม่โผล่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ”

“อย่าบ่นเป็นยายแก่นักเลย เดี๋ยวหน้าก็เหี่ยวหรอก”

“ว่าแต่นายได้อะไรมาเยอะแยะ” ฉันชะเง้อหน้าไปถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในมือเขา มันคือถุงกระดาษแบรนด์เนมจำนวนหลายใบ อย่าบอกนะว่าที่เขาหายไปนานเพราะมัวแต่ซื้อของพวกนี้

“ของฝาก” เขายืนบางสิ่งบางอย่างให้ฉัน ซึ่งของสิ่งนั้นก็คือกระเป๋าชาแนลใบที่ใฝ่ฝัน

“ให้ฉันจริงเหรอ ราคาไม่ใช่ถูกๆ เลยนะ” ฉันทวนถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะกลัวว่าจะถูกเขาแกล้งหลอกให้ดีใจ รู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่ก็เปย์กระเป๋าให้ใบละตั้งหลายแสน

“ลองแกะดูว่าชอบไหม ฉันเลือกเองกับมือ”

ฉันบรรจงแกะสิ่งของที่เพิ่งได้มา ก่อนจะตาลุกวาวเมื่อได้เห็นสิ่งของที่อยู่ในนั้น ลำพังแค่ฉันคงไม่มีปัญญาซื้อได้แน่ๆ

“OMG คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดด้วย พระเจ้าช่วยกล้วยไข่ นายให้ฉันจริงๆ ใช่ไหม?”

“แน่นอน กระเป๋าใบนี้เป็นของเธอ”

“งื้อออ ขอบคุณมากนะพ่อเทพบุตรสุดหล่อของอัน” ฉันออดอ้อนทำตาปริบๆ มองหน้าคนตัวโตด้วยความเคลิบเคลิ้ม มันช่างเป็นบุญของอีอันจริงๆ

“พอได้ของแล้วเปลี่ยนสีเร็วจังเลยนะ”

“วันนี้อารมณ์ดี ฉันจะไม่ด่านายหนึ่งวันก็แล้วกัน”

ครืด~ ครืด~ นี่ไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ของฉัน แต่มันคือเสียงเรียกเข้าของนิว แต่น่าแปลกที่เขาปล่อยให้มันสั่นอยู่แบบนั้น โดยที่ไม่ยอมรับสาย มันไม่ใช่ครั้งแรกที่มีสายปริศนาโทรมาแบบนี้ แต่เป็นเกือบทุกครั้งที่เวลาเราอยู่ด้วยกัน

“ทำไมไม่รับสายล่ะ?”

“ไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ต้องรับก็ได้” เขาตอบราวกลับไม่ใส่ใจเมื่อเห็นรายชื่อของปลายสายที่โทรเข้ามา

“แต่โทรมาหลายสายแล้วนะ บางทีเขาอาจจะมีธุระก็ได้”

“…..”

“ถ้าบริสุทธิ์ใจกับฉัน ก็รีบรับสิ” ฉันพูดพลางส่วสายตากดดัน เพราะบางทีเขาอาจจะมีความลับที่กำลังปิดบังฉันอยู่หรือเปล่า

ติ๊ด! เขากดรับสายอย่างไม่มีทางเลือก โดยมีฉันนั่งฟังบทสนทนาอย่างตั้งใจ

“มีอะไร?”

“อะไรนักหนา”

“อยากกลับเดี๋ยวก็กลับเองนั่นแหละ เลิกโทรตามสักที น่ารำคาญ!”

“ว่าไงนะ”

“อืมๆ เดี๋ยวจะรีบไปเดี๋ยวนี้” สิ้นประโยคนั้น นิวจึงรีบวางสายด้วยท่าทางร้อนรน

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ฉันถามด้วยความสงสัย หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของคนตรงหน้า

“ขอโทษนะอันนา พอดีที่บ้านโทรมาตามเพราะมีธุระด่วนต้องรีบไปเดี๋ยวนี้”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่กลับเอง”

“ขอโทษจริงๆ นะ ถ้าเสร็จธุระแล้วจะรีบไปหา”

“อืม นายรีบไปเถอะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel