เมียหมอ 10
หลังจากที่หมอภีมเดินออกไปแล้ว ฉันจึงรีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อถ่ายงานในเซ็ตต่อไป ถึงแม้ร่างกายจะไม่ไหวแต่ด้วยสปิริตที่รับงานมาแล้วจึงต้องทำให้สำเร็จ
ฉันเดินกลับเข้ามาในสตูดิโอด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักเพราะเรี่ยวแรงที่มีถูกใช้ไปจนหมดก่อนหน้านั้น แต่โชคดีที่ไม่ได้มีใครสังเกตเลยไม่ต้องมานั่งตอบคำถาม
“ฉันเอาน้ำหวานเย็นๆ มาให้ ดื่มก่อนสิ” มังกรเดินเข้ามาหาฉันเป็นคนแรก ก่อนจะยื่นขวดน้ำให้ ถึงแม้หมอนี่จะดูชีกอเจ้าเล่ห์แต่มันก็ยังมีน้ำใจและเป็นห่วงฉัน ไม่เหมือนกับใครบางคนที่เอาแต่นิ่งเฉยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขอบคุณนะมังกร”
“ฉันเห็นสีหน้าเธอดูเหนื่อยๆ ถ้าไม่ไหวก็พักได้นะ”
“ฉันไหว ถ่ายต่อได้สบายมาก”
“นี่เป็นเงินค่าแรงของเธอ ทั้งหมดเจ็ดหมื่นบาท” มังกรยื่นซองขาวให้ ซึ่งมีเงินแบงก์พันปึกหนาอยู่ในนั้น
“ทำไมถึงได้เยอะนักล่ะ ที่คุยกันไว้แค่สามหมื่นเองนะ”
“รับไว้เถอะ ฉันอยากให้พิเศษ”
“แต่งานยังไม่เสร็จเลยนะ เดี๋ยวค่อยจ่ายก็ได้”
“จะจ่ายตอนนี้หรือจ่ายตอนไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ รีบรับไว้สิ”
“ขอบใจ” ฉันรับซองนั้นมา ก่อนจะยัดมันลงในกระเป๋าสะพายของตัวเอง
“ลองนับดูก่อนสิว่าครบไหม”
“ไม่ต้องนับหรอก ฉันเชื่อใจนาย”
“เธอช่างน่ารักสมกับที่เป็นเพื่อนว่าที่ภรรยาของฉันในอนาคตจริงๆ เลยนะ”
ฉันกลอกตามองบนเมื่อได้ยินในสิ่งที่มังกรบอก ไม่ว่าจะลมหายใจเข้าออกมันคงจะมีแต่ยัยมิกิซินะ
“น้องอันนา เชิญที่หน้ากล้องเลยครับ” เสียงของพี่ตากล้องร้องเรียกหาฉัน
“ถ้างั้นฉันรีบไปถ่ายงานต่อก่อนนะ เอาไว้ค่อยคุยกันใหม่”
“เชิญตามสบายเลยครับคนสวย”
-หลายชั่วโมงผ่านไป-
“เฮ้อออ เมื่อยชะมัดเลย แถมยังปวดขาอีกต่างหาก” ฉันทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงพร้อมบ่นพึมพำอยู่คนเดียว หลังจากที่ถ่ายงานเสร็จก็รีบตรงมาเก็บของเพื่อกลับบ้าน เพราะวันนี้เหนื่อยมาก อยากกลับไปนอนที่ห้องจนใจจะขาด กว่าจะได้เงินแต่ละบาททำไมมันลำบากขนาดนี้
แต่นั่งไปได้ไม่ทันไรก็ต้องรีบดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหมอภีมรออยู่ที่รถ พอคิดได้ดังนั้น ฉันจึงลุกลี้ลุกลนเก็บของแล้ววิ่งไปยังจุดนัดหมาย
“แฮ่ก แฮ่ก!” ฉันหอบหายใจด้วยความเหนื่อยหอบมายังลานจอดรถพร้อมกับกระเป๋าของใช้ส่วนตัวใบใหญ่ ซึ่งเป็นไปตามคาด หมอภีมยังคงรอฉันอยู่ไม่ไปไหน
“ขอโทษที่มาช้า พอดีเพิ่งเก็บของเสร็จ” ฉันถือวิสาสะเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งบนเบาะข้างๆ คนขับ
“…..” เขาแค่หันมามองเพียงนิดแต่ไม่ได้พูดหรือตำหนิอะไร
“วันนี้ไม่มีคนไข้เหรอ ถึงได้ว่างมานั่งเล่นทั้งวันแบบนี้”
“ถ้าฉันไม่ว่างจะเห็นเหรอ”
“…..” ฉันหยุดชะงักเมื่อได้ยินในสิ่งที่มันตอบกลับ คนอุตส่าห์จะชวนคุยแต่กลับมากวนประสาทซะงั้น ถ้าไม่ติดว่ามันโหด ฉันคงจะกระโดดงับหูมันไปนานแล้ว
“พรุ่งนี้ตอนเย็นไปหาฉันที่โรงพยาบาล เข้าใจหรือเปล่า”
“มีอะไรหรือเปล่า?” ฉันถามด้วยความสงสัย เพราะปกติไม่เคยจะนัดฉันให้ไปเจอ
“เลิกงานแล้วจะพาไปดูหนัง ขากลับจะว่าแวะกินข้าวเย็นด้วย”
“พูดเป็นเล่น ผีเข้าหรือไงจู่ๆ ถึงได้ชวนอันไปดูหนัง” ฉันหันขวับไปจ้องหน้าเขาอย่างไม่เชื่อ ถ้าบอกว่าฉันถูกรางวัลที่หนึ่งสิบใบรวดยังจะน่าเชื่อมากกว่านี้อีก
“แล้วจะไปหรือเปล่า?”
“ปะ…ไปสิหมอ ขอไปด้วยนะ” พอรู้ว่าไม่ได้ฝันไปมันคือเรื่องจริง จึงรีบตอบตกลงแบบไม่ลังเล ความน้อยใจที่มีก่อนหน้านั้น ฉันลืมมันไปจนหมดสิ้นเพียงเพราะเขาชวนไปเที่ยว
“ฉันออกเวรสี่โมงเย็น อย่ามาสายล่ะ”
“โอเครับทราบ เดี๋ยวอันจะแต่งตัวสวยๆ รอเลยนะ”
“…..”
-วันต่อมา-
ฉันยืนมองตัวเองในกระจกบานใหญ่ พลางหมุนรอบตัวไปมาเพื่อส่องดูความเรียบร้อย วันนี้ฉันแต่งหน้าทำผมแต่งตัวแบบจัดเต็มเพราะมีนัดกับคุณหมอสุดหล่อ
พอก้มมองนาฬิกาข้อมือพบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองกว่าๆ ฉันจึงรีบออกจากคอนโดเพื่อไปโรงพยาบาล ที่ไปก่อนเวลาเพราะกลัวว่าหมอจะรอนานแล้วเปลี่ยนใจไม่พาฉันไปน่ะสิ
ผ่านไปราวๆ เกือบสี่สิบนาทีก็มาถึงโรงพยาบาลที่นัดหมาย ฉันไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปด้านใน
“มาทำอะไรคะ?” พยาบาลสาวประจำตัวของหมอภีมเอ่ยถามเมื่อเห็นฉันยืนชะเง้อคอยมองรอบข้างไปมา
“พอดีหมอภีมนัดไว้น่ะค่ะ”
“ตอนนี้คุณหมอติดตรวจคนไข้อยู่นะคะ เชิญเข้าไปนั่งรอด้านในได้เลยค่ะ”
ฉันยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพักส่วนตัวของหมอภีม แล้วหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาเพื่อรอให้หมอเลิกงาน
แกร้ก~ เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับฉันที่ฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาใหม่คือหมอภีม หลังจากที่นั่งรอมาประมาณเกือบสองชั่วโมง แต่ฉันก็เข้าใจและไม่ได้รู้สึกนอยด์อะไรเพราะรู้ว่าเขาติดงาน
“ฉันขอเคลียร์เอกสารคนไข้อีกแป๊บนึง นั่งรอไปก่อน” พูดจบเขาก็หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งพลางก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารกองโตที่ถือติดมือมาด้วย
“อย่านานนะหมอ อันหิวข้าว ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงเลย” ฉันทำหน้างอบ่นงุบงิบแล้วนั่งลงที่เดิม อุตส่าห์เผื่อท้องเพราะจะมากินข้าวกับหมอแท้ๆ แต่ไม่เป็นไรสำหรับหมอฉันรอได้เสมอ
“ขออนุญาตค่ะหมอ แม่ไม่ทราบว่าหมอติดแขก” ฉันหันไปตามเสียงของคนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ก่อนจะเห็นว่าเป็นแม่ของหมอภีมและผู้หญิงอีกคน
“ไม่เป็นไร ว่าแต่แม่มีอะไรหรือเปล่า?”
“ตอนนี้ภีมว่างหรือเปล่า แม่จะวานให้ภีมช่วยไปส่งหมอขวัญใจหน่อยได้ไหม พอดีรถเขาเสีย แม่ไม่อยากให้หมอขวัญนั่งแท็กซี่กลับคนเดียวมันค่ำแล้วอันตราย”
“…..” หมอหันมามองฉันแค่เสี้ยววินาที ส่วนฉันได้แต่นั่งเงียบฟังบทสนทนาของพวกเขา ถ้าหมอไม่ลืมก็น่าจะจำได้ว่ามีนัดกับฉันแล้ว ยังไงเขาก็ต้องไปกับฉันแน่นอน
“ตอนนี้ออกเวรแล้วใช่ไหม ยังไงแม่ก็รบกวนหน่อยนะ”
“ถ้าพี่หมอไม่ว่างก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวขวัญนั่งแท็กซี่กลับเอง” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร คงจะเป็นหมอขวัญใจที่กำลังพูดถึงอยู่สินะ มองแค่ตาเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเธอชอบหมอภีมของฉัน
“ครับ เดี๋ยวผมไปส่งเอง”
“…..” ฉันถึงกลับหยุดนิ่งไปสักพักเมื่อได้ยินในสิ่งที่หมอภีมตอบกลับ ทั้งๆ ที่ฉันนั่งอยู่ตรงนี้แต่กลับไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำ
“งั้นไปกันเลยไหมคะ?”
“ได้ครับ ผมเคลียร์งานเสร็จพอดี”
“ถ้างั้นขวัญขอไปเอากระเป๋าที่ห้องก่อนนะคะ แล้วเจอกันที่ลานจอดรถ” เธอคนนั้นเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี ต่างจากฉันที่ยังสับสนและไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“แล้วอันล่ะหมอ อันนั่งรอหมอตั้งนาน ทำไมถึงไปกับเขา” ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปถาม เพราะในใจลึกๆ ก็หวังให้เขาเห็นฉันอยู่ในสายตาบ้าง
“เอาไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้ฉันมีธุระแล้ว”
“แต่หมอเป็นคนนัดอันมาเองนะ แล้วอันก็อุตส่าห์มาแล้วด้วย” ฉันพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือหรือร้องไห้ออกมา คำพูดของเขามันตัดสินไปแล้วว่าเลือกเธอคนนั้นไม่ใช่ฉัน
“อย่าทำตัวงี่เง่าพูดไม่รู้เรื่อง ฉันไม่ชอบ!”
“ที่อันงี่เง่าก็เพราะหมอนั่นแหละ” น้ำตาที่เก็บกดไว้ค่อยๆ ทะลักไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ฉันกลายเป็นคนงี่เง่าทั้งๆ ที่มาก่อน
ฉันนั่งรอเขามาเกือบทั้งวัน แต่หมอกลับเลือกที่จะไปกับผู้หญิงคนนั้นทั้งๆ ที่เพิ่งมาไม่ถึงห้านาที นี่มันเรื่องเฮงซวยอะไรนัก
หนา…”
“หมอผิดนัดก่อนทำไม ทั้งๆ ที่อันมาก่อนเขาด้วยซ้ำ ถ้าไม่อยากไปด้วยกันก็ไม่ควรมาให้ความหวังอันตั้งแต่แรก แม่งโคตรเสียความรู้สึกเลยวะหมอ”
“…..”
“หมอไม่รู้หรอกว่าคนที่คอยวิ่งตามขอความรักมันเหนื่อยขนาดไหน แล้วตอนนี้อันก็เหนื่อยมาก เหนื่อยจนวิ่งตามหมอไม่ไหวอีกแล้ว”
“…..”
ปึง! ฉันยกมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแบบลวกๆ แล้วคว้ากระเป๋าสะพายรีบเดินออกจากห้องมา ก่อนจะปิดประตูอย่างแรง โดยไม่สนใจว่าเขาจะพูดอะไรต่อ มันคงถึงจุดสิ้นสุดสักทีสินะ!
