9
“ฝากบอกท่านด้วยว่าผมขอบคุณมากนะครับ แต่ว่าคงยังไม่ได้ทำเร็ว ๆ นี้” หมอหนุ่มบอกปัดอย่างนุ่มนวลที่สุด.....ความจริงการร่วมทุนกับบริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ถือเป็นความลงตัวที่สุดแล้วมีแต่คนจะรีบตะครุบแต่ไม่ใช่คนอย่างหมอทัพพ์
“แหม...ไม่คิดสักหน่อยเหรอคะ หรือว่าคุณหมอรังเกียจครอบครัวของจี” หญิงสาวทำเป็นกระเง้ากระงอด
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ใครจะกล้ารังเกียจตระกูลใหญ่ระดับนั้น..... คุณจีอย่าคิดมากเลยครับ”
“ไม่รู้ล่ะ พี่หมอทำให้จีรู้สึกอย่างนั้นนี่คะ เพราะฉะนั้นเย็นนี้ต้องพาจีไปทานข้าวปลอบใจด้วย” หญิงสาววัยใกล้เลขสามจีบปากจีบคอทำท่าราวกับสาวรุ่น
“อืม...ก็ได้ครับ” หมอหนุ่มจำใจต้องรับปากด้วยยังเป็นคู่ค้าที่ดีต่อกัน
“งั้นเจอกันทุ่มตรงนะคะ ร้านที่เคยไปครั้งก่อนก็แล้วกัน ทานเสร็จแล้วเราค่อยไปฟังเพลงกันต่อนะคะ” จีรณาตัดสินใจเองเสร็จสรรพ หล่อนฉีกยิ้มพลางชำเลืองมองยัยเด็กกะโปโลด้านหลังอย่างคนที่เหนือกว่า....
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างอึดอัดใจ แต่ก็จำต้องยอมให้หล่อนบ้างเพราะไม่อยากจะให้เสียน้ำใจกัน
หลังจากจีรณากลับออกไปแล้วทั้งห้องก็ยังปกคลุมด้วยความเงียบ.....ชายหนุ่มหันไปมองบุ้งกี๋ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“เป็นอะไรไป หรือว่างานยากเกินไป”
“เปล่าค่ะ...ผู้หญิงคนนั้นแฟนพี่หมอเหรอคะ”
“หึหึ...ที่หน้าหงิกอยู่นี่ก็เพราะเรื่องนี้เหรอ” ชายหนุ่มยิ้มอารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
“ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ.......บุ้งกี๋เข้าใจแล้วค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงเครือ น้ำตาพาลจะไหลหัวใจวูบโหวง ไม่อยากให้เขาเห็นจึงได้ลุกขึ้นจะออกไปนั่งให้ไกลจากตรงนี้
“จะไปไหน พูดให้รู้เรื่องก่อนยัยเด็กขี้งอน” หมอทัพพ์กระตุกแขนเบา ๆ เรือนร่างอรชรก็นั่งลงบนตักกว้างพอดิบพอดี
“พี่หมอ !....”
บุ้งกี๋ตกใจไม่คิดว่าคนหวงเนื้อหวงตัวอย่างพี่หมอ จู่ ๆ จะดึงหล่อนลงไปนั่งตักได้ แถมวงแขนแข็งแรงยังรัดเรือนร่างนุ่มนิ่มเอาไว้แนบแน่นแผ่นหลังบางอิงแอบแนบชิดกับอกกว้างผสานกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ อันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของหมอหนุ่ม ระเหยอวลอยู่ปลายจมูกรบกวนจิตใจให้ไหวจนไม่รู้จะเบนหนีไปทางไหนได้แต่อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นที่โหยหามานานวัน
“โกรธฉันเรื่องอะไร ไหนบอกสิเด็กน้อย” หมอหนุ่มก้มหน้าลงมาถามเสียงนุ่มลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ข้างขมับเด็กสาวอย่างจงใจ
“บุ้งกี๋ไม่ใช่เด็กน้อยนะคะ โตเป็นสาวมากแล้วด้วย” หญิงสาวทำหน้างอ กลบเกลื่อนอาการเขินอายจนใจสั่น...ขนอ่อนลุกซู่แค่สัมผัสกับลมหายใจอุ่น ๆ
“หึหึ......โตแล้วก็ต้องคุยกันแบบผู้ใหญ่สินะ”
หญิงสาวเหลียวไปมองตาโต...คุยกันแบบผู้ใหญ่เหรอ.....หล่อนคุ้น ๆ ว่าคำพูดทำนองนี้หมายถึงคุยกันบนเตียงใช่หรือเปล่า...อืม...น่าจะใช่นิยายที่หล่อนชอบอ่านก็แบบนี้แหละ...บ้าน่า...พี่หมอนี่ร้ายเหมือนกันนะ...พอจินตนาการบรรเจิด พวงแก้มก็แดงระเรื่อขึ้นตามจังหวะการสูบฉีดของหัวใจที่แรงขึ้น...แรงจนหล่อนคิดว่าเจ้าของตักต้องได้ยินแน่ ๆ .....
“อูยยยยย !...” บุ้งกี๋คลำหน้าผากป้อย ๆ อยู่ ๆ ก็โดนนิ้วแข็ง ๆ ดีดลงมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“คิดลามกอะไรอยู่หืม....แก่แดดเกินไปแล้วนะเรา”
หมอทัพพ์ทำตาดุแต่มันก็ดูแวววาว ชอบกล
“เอ๊า !....พี่หมอรู้ได้ไงคะ...อย่ากล่าวหากันเลื่อนลอยโดยไม่มีหลักฐานนะคะ” ริมฝีปากสีเชอรี่ขยับเถียงฉอด ๆ
“ก็หน้าตาเรามันฟ้อง ดูสิเนี่ยทำตาลอยเพ้อฝัน แถมยังแก้มแดงปลั่งอีกต่างหาก” หมอหนุ่มตอกย้ำ รู้สึกมันเขี้ยวยัยเด็กดื้อช่างต่อล้อต่อเถียงนัก
เมื่อโดนผู้ปกครองแฉมีหรือที่บุ้งกี๋จะยอมจำนนง่าย ๆ เพราะอีกฝ่ายก็มีพิรุธเพียบ
“ถ้าอย่างนั้นพี่หมอก็ลามกกว่าบุ้งกี๋อีกค่ะ...ดูสิคะ หน้าก็แดงหูก็แดงคอก็ยังแดงอีกแน่ะ” หญิงสาวอมยิ้มมิหนำซ้ำยังเอานิ้วเรียวจิ้ม ๆ ตามจุดที่หล่อนพูดประกอบคำพูดอีกต่างหาก...
“ฮึ...เถียงคำไม่ตกฟาก ตกลงจะบอกได้หรือยัง ว่าโกรธเรื่องอะไร” พอโดนเด็กรู้ทันก็เปลี่ยนเรื่องเฉยเลย
