12
ภายในคอนโดหรูหนุ่มสาวทั้งคู่ที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ตอนนี้ทำให้ บรรยากาศรอบตัวร้อนระอุปะทุขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อความปรารถนาของคนสองคนไม่ตรงกัน…
“พี่หมอพูดเองนะคะว่าบุ้งกี๋เป็นคู่หมั้น.....แล้วตอนนี้จะมาบอกไม่ให้คิดเป็นจริงเป็นจังได้ยังไงคะ” หญิงสาวเริ่มโกรธขึ้นมาจริง ๆ เขาทำให้หล่อนฝันหวานอยู่เป็นชั่วโมง จู่ ๆ ก็จะมาดับฝันกันง่าย ๆ ยังไงหล่อนก็ไม่ยอมเด็ดขาด
“ที่ฉันพูดแบบนั้นเพราะต้องการปกป้องชื่อเสียงของเธอ ไม่เข้าใจหรือไงยัยเด็กโง่” ชายหนุ่มอยากจะจับเด็กเมื่อวานซืนฟาดให้ก้นลายเรื่องง่าย ๆ ทำไมถึงได้เข้าใจยากแท้วะ...
“ไม่เข้าใจค่ะ” หญิงสาวบอกอย่างดื้อดึงใบหน้าเชิดรั้นเอาแต่ใจ
“ก็เราดันไปบอกกับคุณจีรณาเขาแบบนั้น ทำให้เขาเข้าใจผิดไปใหญ่.....ลำพังฉันไม่เท่าไหร่หรอกนะ .....ผู้ชายไม่เสียหายมากมายนักหรอก แต่เธอยังเด็กนะบุ้งกี๋ฉันไม่อยากเอาเปรียบเธอ....” หมอทัพพ์บอกออกไปตามตรง ไม่อยากรู้สึกผิดต่อพ่อของหล่อน
“บุ้งกี๋ก็ไม่เห็นว่าพี่หมอจะเอาเปรียบตรงไหนนี่คะ”
“ตรงที่ฉันผูกมัดเธอ...บุ้งกี๋ยังเด็กยังมีโอกาสเจอผู้คนอีกเยอะ อนาคตอาจจะเจอคนที่ใช่ อายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็ได้ไม่ใช่มาติดอยู่กับฉันเพราะความจำยอม”
“ชิ...คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก” คนที่ถูกเหมาว่าเด็กทำหน้างอเป็นจวัก ผู้หญิงอายุยี่สิบสองจบปริญญาตรีแล้วนี่นะเด็ก เพื่อน ๆ หลายคนมีสามีกันตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งด้วยซ้ำ
“ไปนอนซะ เราจะไม่พูดกันเรื่องนี้อีก” คนโตกว่าตัดบทก่อนจะหันหลังเดินกลับห้องของตัวเองแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อโดนยัยเด็กแก่แดดวิ่งมากอดรัดกายแกร่งจากทางด้านหลัง
“บุ้งกี๋อย่า....อย่าทำแบบนี้” ชายหนุ่มตกใจ เขาพยายามแกะแขนเรียวนั้นออก แต่ตัวเองก็ทำเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงซะอย่างนั้นเมื่อหันกลับมาเห็นบุ้งกี๋น้ำตาเปียกชุ่ม หล่อนร้องไห้โฮราวกับถูกไล่ออกจากคอนโดอย่างนั้นแหละ แต่มันก็ส่งผลให้หัวใจแกร่งไหววูบ
“หยุดร้องได้แล้วตกลงจะเอายังไง......มาพูดกันดี ๆ” หมอหนุ่มหันกลับมาหายัยตัวยุ่งจับต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้มั่น เท่ากับบังคับกลาย ๆ ให้ต้องเผชิญหน้ากันตรง ๆ เขาพอจะรู้ว่าบุ้งกี๋คิดยังไง แต่มันคงเป็นความลุ่มหลงแบบเด็ก ๆ มากกว่า อาจจะเป็นเพราะในยามที่หล่อนเหลือตัวคนเดียวบนโลก มีเขาเท่านั้นที่เป็นหลักยึดได้ก็เลยเหมาเอาว่าเขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของหล่อนก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่อยากฉกฉวยโอกาสนี้
“พี่หมอ...ฮึก...รังเกียจบุ้งกี๋ใช่ไหมคะ บุ้งกี๋เป็นแค่ตัว..ฮึก..ภาระ” หญิงสาวสะอื้นรำพันปานจะขาดใจ….น้ำตาเป็นอาวุธที่ดีสำหรับต่อกรกับพี่หมอสุดหล่อ ข้อนี้บุ้งกี๋รู้ดี
“คิดมากไปกันใหญ่แล้วเด็กดื้อ....” อ้อมแขนแกร่งรั้งเรือนร่างสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นเข้ามาแนบอกพร้อมกับลูบเรือนผมนุ่มให้อย่างปลอบโยน
“บุ้งกี๋โตแล้วจริง ๆ นะคะ”หญิงสาวทำใจกล้าแหงนหน้าเขย่งปลายเท้าใช้ปากชนกับริมฝีปากอุ่นเพื่อยืนยันว่าตัวเองจูบแบบผู้ใหญ่ได้
“บุ้งกี๋ !!...ทำอะไรรู้ตัวหรือเปล่า” ชายหนุ่มกัดฟันปรามยัยเด็กดื้อ
“ก็จูบแบบที่คนโตแล้วเขาทำกันไงคะ...อุ๊บ.....” ยังไม่ทันที่บุ้งกี๋จะได้พูดต่อ ริมฝีปากของหล่อนก็โดนครอบครองโดยคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนตบะแตกเป็นเสี่ยง ๆ มือใหญ่รองรับบังคับท้ายทอยเล็กให้แหงนเงยขึ้นรับสัมผัสจากริมฝีปากนุ่มชายหนุ่มไล้เลียเบา ๆ พร้อมกับดูดดุนเรียวลิ้นอุ่นชำแรกแทรกเข้าไปในโพรงปากหวานกวาดต้อนเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กอย่างช่ำชองทีแรกตั้งใจแค่สั่งสอน แต่รสสัมผัสของหล่อนสั่นคลอนความตั้งใจเดิมจึงเอาแต่คลึงเคล้าริมฝีปากเข้าหาอย่างลุ่มหลงเนิ่นนานกว่าจะถอนหน้าออกมาก่อนที่เด็กดื้อของเขาจะขาดใจตาย.....
บุ้งกี๋หอบหายใจหน้าตาแดงก่ำ มองผู้ชายที่ขโมยจูบตัวเองตาโตเหมือนเขาไม่ใช่พี่หมอคนเดิมของหล่อน.....แต่ก็พูดไม่ออกแข้งขาสั่นพาลจะเป็นลม
“บุ้งกี๋”
“ขา...” หญิงสาวขานรับเหมือนละเมอ
“รู้หรือยังว่าผู้ใหญ่เขาจูบกันยังไงหืม.......” หมอทัพพ์ยิ้มเอ็นดู..... แววตาพริบพราวมองคนในอ้อมแขนที่ทำท่าเหมือนสติหลุดล่องลอยไปแล้ว
“เอ่อ...ชะ..ใช่ก็ประมาณนี้แหละ......” เด็กปากดีทำเป็นเก่งราวกับคุ้นเคยนักหนา ทั้งที่เป็นจูบแรกของหล่อนด้วยซ้ำ
“แก่แดด...” ผู้ปกครองหนุ่มดีดนิ้วไปบนหน้าผากมนอย่างมันเขี้ยว....หนอย...ทำเหมือนเชี่ยวชาญ.....เด็กอนุบาลชัด ๆ
