Chapter 3
บ้านเจตวัฒน์ใหญ่พอสมควร มีห้าห้องนอน สองห้องทุบผนังทำให้เชื่อมถึงกัน เอาไว้เป็นห้องทดลอง ตามที่คฑาวุฒิเล่า เจตวัฒน์ทำงานบริษัทผลิตยาข้ามชาติ ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย เจตวัฒน์ ไม่เล่าเรื่องส่วนตัวอะไรให้ฟังเลย ชีวิตของเขามีเพียง กลับมาบ้าน ขลุกอยู่ในห้องทดลอง นอน และไปทำงาน วันๆ เขายุ่ง เวลาเจอกันก็น้อย สามเดือนที่ผ่านมาไม่ต่างกับการอาศัยอยู่กับความเงียบ เธอคุยกับต้นไม้ของเขามากกว่าเจ้าของบ้านเสียอีก
ห้าโมงเย็น มัณฑลีกลับจากตลาด ไปซื้ออาหารสดไว้ปรุง เจตวัฒน์กินอาหารฝีมือเธอ เช้า เย็น และ เสาร์อาทิตย์ทั้งวัน หากไม่ได้ไปทำงาน ยามมาบ้านนี้ครั้งแรกมัณฑลีถามเขา
‘ฉันทำอาหารทานได้ไหม’
เจตวัฒน์พยักหน้า มื้อแรกที่ทำคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้ม พออาหารเสร็จส่งกลิ่นหอม เขาก็ลงมายืนมองอยู่หน้าประตูครัว
‘ทานด้วยกันไหมคะ’
มัณฑลีชวนตามมารยาท แต่เจตวัฒน์ที่สภาพหัวยุ่งอิดโรยเพราะการทำงานในห้องทดลอง มานั่งอยู่ตรงข้ามเธอจริงๆ มัณฑลีจึงต้องต้มบะหมี่อีกห่อ มื้อเช้าต่อมาทำโจ๊กจากซองสำเร็จรูปเขาก็มาอีก เจตวัฒน์ให้เงินเธอทุกสัปดาห์แรกของเดือนเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารซึ่งเยอะเกินความเป็นจริงอยู่มาก มัณฑลีจึงตอบแทนเขาโดยการแบ่งเงินไปซื้อปุ๋ยมาใส่ต้นไม้ให้
“ไปไหนมา” เธอสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เจตวัฒน์ถามจากหน้ารั้วบ้านที่ประตูยังปิดอยู่
“ซื้อของค่ะ” เขาเปิดประตูเล็กข้างรั้วให้เข้ามา ดวงตายาวรีกวาดตาดูสิ่งที่มัณฑลีซื้อคร่าวๆ มือใหญ่ขาวสะอาดดึงถุงจากเธอไปถือ
“ผมโทร.ไปคุณไม่รับสาย” มัณฑลีปล่อยมือให้เขาแต่โดยดี
“ฉันลืมเอามือถือไปค่ะ” เธอยังไม่อยากคุยกับพี่สะใภ้จึงวางโทรศัพท์ไว้ในห้อง
“เราต้องไปบ้านคุณย่ากันนะ” เจตวัฒน์เตือน
“ขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าคุณกลับมาเร็วอย่างนี้”
ปรกติเขาจะกลับมาตอนห้าโมงครึ่ง แม้วันที่ต้องไปกินข้าวบ้านคุณย่าก็ตาม โต๊ะอาหารบ้านนั้นตั้งทุ่มกว่าๆมัณฑลีจำเวลาได้
“ช่างเถอะ คุณรีบไปแต่งตัว” เขาเดินนำเธอเข้าบ้านอย่างรวดเร็วจนมัณฑลีต้องซอยเท้าเยาะๆ ตาม
“มานานแล้วเหรอคะ”
“ผมกลับมาเมื่อกี้ คุณจะไปไหนทำไมติดโน้ตบอกเอาไว้ที่ตู้เย็น”
“ขอโทษค่ะ” มัณฑลีเอ่ยคำนี้กับเขาเป็นครั้งที่สอง “ฉันไปซื้อของตลาดใกล้ๆ นี่เอง คิดว่าแป๊บเดียวก็กลับ”
“มีตลาดแถวนี้ด้วยเหรอ” เจตวัฒน์วางถุงบนโต๊ะในครัว เสียงเขาฉงน ขมวดคิ้วน้อยๆ
“นั่งรถเมล์ไปสองป้ายก็ถึง”
มัณฑลีรีบหยิบและแยกของเตรียมเก็บ ... เจตวัฒน์เอาแต่ทำงานจนไม่สนใจบริเวณรอบบ้าน ถึงไม่รู้ว่าแถวนี้มีตลาด ทั้งตลาดนัดและตลาดสด มัณฑลีชอบไปซื้อของบ่อยๆ
“ทำไมไม่นั่งแท็กซี่หรือบอกผม”
คำถามทำให้ฉงนยิ่งกว่า มัณฑลีเงยหน้ามองอย่างไม่เชื่อหู ใบหน้าเขายังนิ่งอยู่เหมือนเดิม แยกไม่ออกว่าพูดจากใจจริงหรือตามมารยาท
“ไปคนเดียวมันอันตราย” ชายหนุ่มหลุบตาลง มือช่วยหยิบแผงไข่ออกจากถุง
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ฉันมีหน้าตาเป็นอาวุธ” มัณฑลีหัวเราะแก้เก้อให้กับตัวเองที่เมื่อกี้เกือบใจเต้นคิดว่าเขาห่วงใย
“คุณไปรอข้างนอกเถอะค่ะ เดี๋ยวเดียวฉันก็เสร็จแล้ว”
เธอหันหลังให้ จัดของทุกอย่างไว้ในที่ๆ มันควรจะอยู่ จนได้ยินเสียงฝีเท้าเดินจากครัวไป มัณฑลีไม่รู้ใจเขาว่าคิดอะไร แต่ที่เธอต้องรู้คือใจตัวเอง เธอกับเขาควรเป็นได้แค่นายกับลูกจ้างเท่านั้น ... อย่าได้คิดฝันไกลเป็นอื่นเลย
บ้านของคุณย่าอนงค์ใหญ่โต มีวงเวียนน้ำพุหน้าบ้านให้ขับวนแบบในละคร โรงจอดก็มีรถหลายคัน ล้วนแต่แพงๆ ทั้งนั้น รถซีอาร์วีญี่ปุ่นคันโตของเจตวัฒน์ดูเป็นของราคาถูกไปเลย คุณย่าอนงค์ยิ้มร่าเมื่อเห็นเขาและเธอ แต่คุณเปริมาไม่คิดเช่นนั้น
“ทำไมช้านักล่ะ” คำถามเจือน้ำเสียงตำหนิ ยามสองสามีภรรยาแต่เพียงในนามก้าวมายังห้องรับแขก
“วันนี้รถก็ไม่ติดอะไรนี่” และก็ดักคอคำแก้ตัวเอาไว้เสียด้วย
“ขอโทษครับ” เจตวัฒน์เอ่ยเพียงแค่นั้น
“คุณพ่อเธอกับเปรมกลับมาตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้ว” คุณเปริมาชมลูกชายออกนอกหน้า
“นี่แน่ะ หนูลีต้องระวังไว้นะจ้ะ เวลาผู้ชายกลับบ้านไม่ตรงเวลาน่ะ มักเป็นลางบอกเหตุว่าจะเริ่มเถลไถลออกนอกลู่นอกทาง”
สาวใหญ่ทำทีสอน เจตวัฒน์ทำเป็นหูทวนลม แต่มัณฑลีไม่นิ่งด้วย
“ลีผิดเองแหละค่ะ ที่มัวไปตลาดเพลิน คุณหนึ่งเลยต้องอยู่รอ”
แม้ไม่ช่างพูด แต่หากเรื่องไหนที่เป็นเรื่องไม่จริงเธอก็ค้านทันทีเหมือนกัน โดยเฉพาะกับคุณเปริมาคนนี้ มัณฑลีคิดว่าเธอเป็นคนน่ากลัว จัดอยู่ในประเภทสุภาษิต... ปากปราศรัยใจเชือดคอ
“แถมยังช่วยลีเก็บของอีก” เธอหันมายิ้มใส่ตาให้เขา “ขอบคุณนะคะคุณหนึ่ง”
คุณย่าอนงค์หัวเราะชอบใจที่มัณฑลีตอกกลับคุณเปริมาได้ ความจริงหญิงชราไม่ชอบใจสะใภ้คนนี้หลายเรื่องอยู่ แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อลูกชายชอบ และแถมเธอยังเป็นแม่ของหลานชายอีกคนด้วย คนรับใช้เข้ามารายงานว่าโต๊ะอาหารจัดเรียบร้อยแล้ว ศึกเล็กๆ ระหว่างสะใภ้สองรุ่นจึงเป็นอันยุติลงชั่วคราว
อาหารเย็นเป็นไปอย่างเรียบร้อย ข้อดีของคุณเปริมาคือเธอจะไม่ออกฤทธิ์ออกเดชต่อหน้าสามีเป็นอันขาด แต่เก็บเอาไว้หลังมื้ออาหารยามที่คุณอนงค์เรียกสะใภ้ทุกรุ่นไปรวมกันโดยฝ่ายชายแยกออกไปแล้ว หญิงชรายืนกล่องหุ้มผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มให้หลานสะใภ้คนละกล่อง ในนั้นคือเครื่องเพชรครบชุด ทั้ง ต่างหู สร้อย กำไล กวิตราที่คุ้นเคยกับของเช่นนี้มาทั้งชีวิตทำหน้าเฉยๆ ส่วนมัณฑลีผู้ไม่เคยได้สัมผัส ตาโต มือสั่น จนคุณเปริมาที่ลอบมองอยู่เหยียดริมฝีปากหยาม
