ตอนที่ 3 : คนใจร้าย 4
“ถ้าจริงก็ดีไป มันคงเจ็บใจที่ฉันตัดหน้ามัน”
“พี่เอกไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกค่ะ” เธอออกรับแทน เพราะมั่นใจว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมา เธอรู้จักนิสัยใจคอของเอกราชดีในระดับหนึ่งแล้ว เขาไม่เคยพูดถึงภูริในทางเสื่อมเสียด้วยซ้ำ มีแต่ยกย่องและแสดงความเห็นอกเห็นใจมาตลอด
“นี่เธอกล้าเข้าข้างผู้ชายอื่นเหรอ?” เขาเค้นเสียงถาม แน่นอนว่าดารินญาเงียบ และรีบก้มหน้าลงมองมือที่ประสานกันแน่นอยู่บนหน้าตักทันที “เงียบทำไม”
“ปะ...เปล่าค่ะ”
“ดี ประหยัดคำพูดแบบนี้แหละดีมาก เก็บเสียงหวานๆ ของเธอไว้ครางคืนนี้เถอะ ฉันจะเอาให้ร้องจนคอแห้งเลยดารินญา” เขาคาดโทษ กระตุกยิ้มมุมปากที่ในยามอื่นคงดูเท่ระเบิด แต่ในสายตาของคนที่นั่งเกร็งอยู่ข้างกาย มองว่ารอยยิ้มของเขานั้นน่ากลัวเสียจนไม่อยากมอง ไม่ว่าเขาจะหล่อเหลาแค่ไหน
เธอก็ไม่ได้นึกชื่นชมเลยแม้แต่น้อย...
เมื่อรถจอดสนิทที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ดารินญาก็รีบเปิดประตูออก เตรียมลงจากรถไปให้พ้นหน้าเขาโดยเร็ว แต่คนตัวโตที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย คว้าข้อมือเอาไว้เสียแน่น พอเธอหันกลับไปมอง เขาก็ฉวยโอกาสนั้นโน้มตัวเข้ามาใกล้ แนบริมฝีปากจุมพิตหนักหน่วง ทาบมืออีกข้างลงบนแนวกรามได้รูป ตรึงไว้เพื่อไม่ให้ถอยหนี
จูบร้อนแรงบดขยี้เข้ามาจนเจ็บริมฝีปากไปหมด ดารินญาพยายามดึงมือเขาออก แต่มีหรือที่คนชอบแกล้งจะยอมปล่อย ยิ่งขัดขืน เขาก็ยิ่งบดขยี้ ดูดดึงจาบจ้วง สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจงับลงบนกลีบปากของเขาบ้าง
“โอ๊ย!” ภูริอุทาน ผงะถอยห่างทันที หญิงสาวใช้โอกาสนั้นรีบเปิดประตูลงจากรถ แล้ววิ่งผ่านประตูรั้วเข้าไปในบ้าน ยกมือขึ้นปาดน้ำตาของความอดสูออกจากแก้ม ก่อนจะชะงักเล็กน้อยที่เห็นเอกราชเดินสวนออกมาพอดี ดูเหมือนวันนี้เขาจะไม่ได้ออกไปทำงานแต่เช้าเหมือนอย่างทุกวัน
“คุณดา...” ชายหนุ่มเรียกด้วยความตกใจ เมื่อเห็นน้ำตาบนแก้มนวล แล้วไหนจะริมฝีปากที่เห่อบวมนั่นอีก เมื่อมองไปข้างหลังเธอ แล้วเห็นภูริกำลังก้าวยาวๆ ตามมา อีกทั้งบนริมฝีปากยังมีเลือดซึมน้อยๆ เขาก็ได้คำตอบทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะดารินญา!” เขาตวาด ในตอนที่ภรรยาหมาดๆ ตั้งท่าจะวิ่งหนีเข้าไปข้างในบ้าน แน่นอนว่าหญิงสาวไม่ยอมหยุด ตรงกันข้ามกลับรีบสาวเท้าวิ่งให้เร็วขึ้นอีก
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณภู” เอกราชช่วยดารินญาด้วยการรั้งภูริเอาไว้ ทายาทคนเดียวของอาภาชนะโชติหันมามองคนที่ตัวเองเกลียดชังด้วยสายตาวาวโรจน์
“เรื่องของฉันกับเมีย แกไม่เกี่ยว”
“ผมทราบครับ แต่ถ้าคนอื่นเห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ วิ่งร้องไห้เข้ามาในบ้านแบบนี้...ก็คงต้องเข้ามาถามเหมือนอย่างที่ผมทำแน่นอน”
“ฮึ! ที่แกถาม เพราะห่วงหรือว่าหวงละเอกราช”
“คุณภู” เอกราชหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจ จริงอยู่ที่เขาแอบรู้สึกดีกับดารินญามาก แต่ก็มั่นใจว่าตัวเองเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ได้อย่างมิดชิด รู้ดีแก่ใจว่าไม่มีวันอาจเอื้อมกับผู้หญิงของภูริได้
“คิดว่าฉันตาบอดเหรอ เมื่อวานตอนกลับมาที่บ้าน ฉันเห็นหมดนั่นแหละว่าแกกอดยัยนั่นแนบแน่นแค่ไหน ไม่ต้องห่วงหรอก...ไว้ฉันจะสานต่อมากกว่ากอดให้เอง”
“ผมไม่ได้กอดคุณดาแบบที่คุณภูเข้าใจนะครับ คุณดาเธอกำลังจะสะดุดบันไดหกล้ม ผมก็แค่...”
“เข้าไปช่วยประคอง?...” ภูริลอยหน้าลอยตาตอบแทรก หัวเราะเบาๆ “ดูละครมากไปหรือเปล่าวะ คนเราถ้าจะสะดุดหกล้ม ใครมันจะไปคว้าได้ทัน นอกเสียจากว่า...จะยืนใกล้ชิดอยู่กันก่อนแล้ว”
“ผมรู้นะครับว่าพูดยังไง คุณภูก็คงไม่เชื่อ แต่ขอร้องนะครับ อย่าใจร้ายกับคุณดาเธอนักเลย เธอเพิ่งเสียพ่อไปไม่นาน แค่ต้องย้ายเข้ามาอยู่กับคนแปลกหน้า เธอก็น่าสงสารมากพอแล้ว”
นี่คือครั้งแรกที่เอกราชเลือกพูดออกมาตามตรง ปกติเขาแทบไม่มองหน้าภูริด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าเท่าไร เหตุก็เพราะคุณผู้ชายของบ้านดันมายกย่องชื่นชมเขา ที่แม้จะเป็นเพียงแค่ลูกคนใช้ แต่ก็ถีบตัวเองขึ้นมาจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรถยนต์ขับ แล้วเร็วๆ นี้ก็กำลังจะซื้อบ้านเป็นของตัวเองด้วย ถึงจะเป็นการดาวน์แล้วผ่อนชำระรายเดือน ทว่าเอกราชก็ภูมิใจ
“เป็นแค่ขี้ข้า อย่าสะเออะมายุ่ง!” ภูริตวาดใส่ สองมือคว้าคอเสื้อของเอกราชแน่น นึกอยากตะบันหน้าเสียให้ยับ แต่อีกฝ่ายกลับทำตัวอ่อนลง เจียมตัวจนน่าโมโห ไม่ยอมเปิดฉากให้เขาได้หาเรื่องเสียที
“ขอโทษครับ”
“ไสหัวไปไหนก็ไป!” ภูริปล่อยมือออก แล้วผลักอกอีกฝ่ายแรงๆ จนเซถอยหลังไปเล็กน้อย เขายิ้มหยัน มองเอกราชตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่งตัวดี เงินเดือนเกินครึ่งแสน มีรถยนต์ขับ แต่ใครเล่าจะรู้ว่ามันก็แค่ไอ้ลูกขี้ข้าในบ้านของเขาเท่านั้น ถ้าไม่ติดว่าต้องตามไปสำเร็จโทษคนที่กล้ากัดปากเขา ก็คงมีเวลาสาดคำพูดปั่นประสาทเอกราชไปอีกเยอะ
เอกราชมองตามหลังไป กำมือแน่นด้วยความโกรธ เขารู้ดีว่าอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร และไม่เคยลืมกำพืดของตัวเอง ต่อให้โกรธเคืองจากการโดนดูถูกแค่ไหน เขาก็อดทนได้ สงสารก็แต่ดารินญานั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะรับมือกับคนร้ายกาจอย่างภูริได้มากแค่ไหน
