บทที่ 3 คู่หมาย…วายร้าย 2
ใต้ถุนมีจักรยานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ด้านข้างกระท่อมคือต้นงิ้วสูงใหญ่ซึ่งกำลังออกดอกสีแดงสะพรั่ง มีมากมายนับร้อยดอกที่โปรยปรายร่วงหล่นสู่ผืนธรณีที่แห้งผาก ส่งผลให้บริเวณนั้นเกลื่อนไปด้วยสีสันแดงสด กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ป่าโชยมาแตะจมูกเป็นระยะ
มองไปเบื้องหน้าคือความเวิ้งว้างสุดสายตาที่ชวนให้ใจรู้สึกสงบลงได้อย่างน่าประหลาด
นี่สินะ…มนต์เสน่ห์ของชนบท เงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ ร่มเย็น ไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ เต็มไปด้วยการแข่งขัน และมลภาวะเป็นพิษอย่างเมืองหลวง
หล่อนชักจะหลงรักที่นี่ซะแล้วสิ…แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเจ้าของไร่คนนี้นี่แหละที่หล่อนมีใจปฏิพัทธ์ด้วย
หญิงสาวอมยิ้มแก้มตุ่ย ขยับเดินแนบชิด กระแซะตัวเข้าหาเขาอย่างออดอ้อน แล้วเอ่ยเสียงหวาน “คุณอาขา…โกรธเหรอคะ”
เขายังคงเงียบ ซ้ำยังย่ำเท้าขึ้นกระท่อมโดยไม่ตอบหล่อนสักคำ ร้อนถึงร่างบางต้องรีบวิ่งตามแล้วพูดเสียงดัง
“เมยอมรับค่ะว่าเมผิด แต่คุณอาก็พูดแรงเกินไป มากล่าวหาว่าเมจงใจจะยั่วคนงาน คุณอาพูดออกมาได้ยังไงกัน”
คราวนี้ภัตติพงษ์หันขวับมาเผชิญหน้ากับหล่อน แล้วพูดเสียงเข้ม “จะให้อาคิดยังไง ในเมื่อรูปการณ์มันเป็นแบบนั้น ส่วนใหญ่คนงานในไร่มีแต่ผู้ชาย มีผู้หญิงแค่ไม่กี่คน แล้วเธอยังแต่งตัวชะเวิ๊บชะว๊าบแบบนี้อีก”
“โธ่… ไม่ได้คิดจะยั่วคนงานเลย ก็คิดว่าคุณอาจะชอบแบบนี้นี่นา” พอรู้ตัวว่าเผลอพูดความในใจออกไป หล่อนก็รีบใช้มือปิดปากตัวเอง ตากลมเหลือบมองหน้าคมที่เคร่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เสียงทุ้มจะว๊ากลั่น
“อาไม่รู้หรอกนะว่าเธอคิดจะล้อเล่นอะไรกับอา แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า…อาไม่คิดจะชอบเด็กน้อยอย่างเธอหรอก รู้ไว้ซะด้วย ความรู้สึกที่อามีต่อเธอ มันก็เหมือนอากับหลานทั่วๆไป ไม่ได้พิเศษมากไปกว่านั้น”
คำพูดตรงไปตรงมาของชายหนุ่ม ส่งผลให้หล่อนนิ่งงัน หน้าหวานเผือดสีราวกับไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยง ปากอิ่มสั่นระริก หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติ มายามนี้กลับผ่อนช้าลง…จนแทบไม่รู้สึกถึงแรงเต้นของมัน
“คะ…คุณอา” เสียงใสแทบไม่หลุดพ้นจากลำคอ และก็ดูเหมือนเขาจะเริ่มรู้สึกตัวว่าพูดแรงเกินไป จึงเอื้อมมือมาโยกศีรษะทุยสวยเบาๆ เอ่ยกระเซ้าว่า
“แต่อารู้ว่าเราไม่ได้ชอบอาแบบหนุ่มสาว อาก็พูดไปอย่างนั้นแหละ จริงไหมหลานรัก”
เมลินีปัดมือหนาออก ดวงตากลมโต แม้จะมีหยาดน้ำฉาบเคลือบ ทว่าก็แฝงความเด็ดเดี่ยวไว้อย่างเห็นได้ชัด
“แล้วถ้าเมจะบอกว่าเมชอบคุณอาจริงๆ อยากให้คุณอามองเมเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่หลานล่ะคะ คุณอาจะว่ายังไง”
ชายหนุ่มอึ้ง สักพักก็สะบัดหน้าไปทางอื่น “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ตัดใจซะ เพราะมันเป็นไปไม่ได้”
“เพราะคุณอาชอบผู้ชายด้วยกันใช่ไหมล่ะคะ” หล่อนสวนทันควัน และคราวนี้เขาก็หันกลับมามองหน้าหล่อนด้วยแววตาแข็งกร้าว
“เลิกยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของอาซะที”
“ถ้าคุณอาไม่ได้เป็นเกย์ เมก็ยังมีหวัง”
“เลิกหวังซะ” เขาบอกเสียงห้าว
“ทำไมเมจะต้องเลิกหวัง ในเมื่อเมกับคุณอาก็เป็นคู่หมั้นกัน” หล่อนงัดไม้เด็ดออกมาใช้ ขณะที่เขาเงยหน้าหัวเราะ
“หมั้นงั้นเหรอ ? มันก็แค่คำพูดลอยๆของผู้ใหญ่ ไม่มีหลักฐานสักหน่อยว่าเราผูกพันทางใจกันแล้วจริงๆ”
“หลักฐานที่ว่าคืออะไรคะ”
“แหวนไง ไหนล่ะ…มีแหวนยืนยันไหมว่าเราหมั้นกันแล้ว” เขาถามเสียงหยัน เล่นเอาหญิงสาวหน้าเสีย…แม้ว่าอรจิราจะจับให้หล่อนและเขาหมั้นหมายกัน แต่ก็เป็นเพียงลมปาก หล่อนไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากเขา ไม่เคยได้รับแหวน ไม่เคยได้ดอกไม้สักดอก และไม่เคยถูกเขามองว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเลยสักครั้ง
เพราะในสายตาของเขาแล้ว…หล่อนยังคงเป็นเด็กหญิงเมลินีตัวเล็กๆคนเดิมกระมัง
“อ้าว เงียบ… ไม่รู้จะเถียงยังไงล่ะสิ” ชายหนุ่มใช้นิ้วโป้งเกี่ยวขอบกระเป๋ากางเกงยีนแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้หล่อนราวจะตอกย้ำ “ถ้าไม่มีแหวน มีแค่คำพูดลอยๆของผู้ใหญ่ งั้นก็เท่ากับว่าเราเป็นเพียงแค่คู่หมาย ไม่ใช่คู่หมั้น”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หล่อนเชิดหน้ากลับ แล้วฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบ “วันนี้คู่หมาย วันหน้าคู่หมั้น ส่วนอนาคตคือคู่สามีภรรยา มันต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เมเข้าใจดี”
พอได้ยินคำว่า‘สามีภรรยา’ ภัตติพงษ์ก็แทบจะหน้าทิ่มทันที โหนกแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ เมื่อทำเสียงดุ
“อย่ามาเล่นลิ้นกับอา”
“เมพูดจริงค่ะ ตั้งแต่เล็กจนโต เมชื่นชมคุณอามาโดยตลอด คุณอาเป็นทั้งพี่ เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งครู เป็นทุกอย่างของเม เมรอจนเรียนจบ รอจนโตพอที่จะมาหาคุณอาได้ เพราะฉะนั้นเมไม่มีวันเลิกล้มความตั้งใจแน่นอนค่ะ” หล่อนพูดอย่างเด็ดขาด ตากลมเป็นประกายวิบวับ ขณะที่ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหลุบตาลงมองอกอวบที่พุ่งดันตัวเสื้อสายเดี่ยวออกมา…มองแล้วก็ลอบกลืนน้ำลายเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น
