ตอนที่ 2-2
แววตาของนายหัวราเมศแน่วนิ่ง แสงจากกองไฟข้างนอกทำให้เขาเห็นว่าดวงหน้าหวานบิดเบ้เหมือนจะร้องไห้
“น้ำตาคลอเบ้าเลย สงสัยจมูกฟาดน้องชายผมแรงไป คุณคงกลัวจมูกเสียทรงสินะ ไม่เป็นไรหรอก ออกจากป่าไปแล้ว ให้หมอศัลยกรรมแก้ให้ก็ได้ ไม่เห็นต้องร้องห่มร้องไห้”
“คนหน้าด้าน ยังกล้ามาพูดอีก ยี้ ฉันร้องไห้ก็เพราะคุณนั่นแหละ” สิตาลอับอายจนวางตัวไม่ถูก กระถดหนีเขาไปสุดเต็นท์ ยกแขนเสื้อเช็ดหน้าตาตัวเองราวกับว่ารังเกียจ
ร่างใหญ่ดีดผึงขึ้นมานั่งจ้องหน้าเธอในความมืด “นี่ถ้าคุณโกรธที่น้องชายของผมแข็งจนทำจมูกคุณเจ็บ ผมจะไม่ว่าอะไรเลย จะอภัยให้ความซุ่มซ่ามของคุณ แต่ถ้าคุณร้องห่มร้องไห้เพราะหาว่าน้องชายผมตัวไม่หอม ผมไม่ยอมนะ ไม่เชื่อ คุณลองล้มอีกทีสิ พิสูจน์ดูใหม่ก็ได้ ผมดูแลราเมศน้อยอย่างดี ล้างถู บำรุงด้วยโลชัน รับประกันว่าน่ากินดีทีเดียว”
สิตาลเบ้หน้า น่ากลัวกว่าผีนางตะเคียนข้างนอก ก็ไอ้ผู้ชายโรคจิตในเต็นท์นี่แหละ
“ไอ้คนบ้า! โรคจิต!”
ราเมศรำคาญสายตาเจ้าหล่อนที่ดูแล้วทั้งรังเกียจและขยะแขยง แถมยังมีทีท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ พานให้รู้สึกอึดอัดชะมัดยาด เขาจึงลุกพรวดขึ้นทำให้ร่างเล็กผงะ
“จะทำอะไร”
เขาไม่ตอบแต่ย่างสามขุมผ่านหน้าเธอไป ก่อนจะรูดซิปเต็นท์ลง ไม่วายเหลียวหลังหันกลับมามองคนที่นั่งตัวงอหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ออกไปคุยกับนางตะเคียนแก้เซ็ง”
พูดจบแล้วก็ก้าวพรวดออกไป ก่อนจะกวาดดวงตามองไปรอบๆ กองไฟที่เริ่มจะมอดไปแล้ว ราเมศกระชับอาวุธปืนที่เหน็บอยู่ด้านหลังกางเกงยีนตัวเก่ง หากมีอันตรายอะไรก็คงจำเป็นต้องใช้มัน
อากาศที่เย็นชื้นของคืนนี้ทำให้สิตาลหลับสนิทลงไปในเวลาไม่นาน กระทั่งรู้สึกเหมือนถูกอะไรกดทับที่อกจึงเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง แวบแรกที่เห็นยังคิดว่าตัวเองฝันอยู่ กระทั่งสติกลับมาครบจึงเห็นว่ามีคนตัวใหญ่มานอนข้างกาย ก่อนจะจำได้ว่าตัวเองพลัดหลงอยู่กลางป่ากับหนุ่มหล่อแปลกหน้าคนหนึ่ง
“เฮ้ย” สิตาลร้อง เมื่อมองไล่ลงมาก็เห็นท่อนแขนกำยำพาดอยู่บนหน้าอก มือเรียวรีบดันร่างหนาใหญ่ออกอย่างตกใจแกมขุ่นเคือง ก่อนหน้านี้เธอเห็นเขาออกไปแล้วจึงเผลอหลับ ไม่รู้ว่าแอบเข้ามาตอนไหน
“อีตาบ้า ถือโอกาสเลยนะ”
คนถูกว่าลืมตาตื่นขึ้นมามอง อยู่ค้างอ้างแรมในป่า ใครเขาจะหลับสนิทกัน และเสียงเกรี้ยวกราดกับแรงผลักอย่างแรง ทำให้ราเมศดันตัวลุกขึ้นนั่งยกมือเสยผมลวกๆ
“อะไรกันอีก แม่คนเรื่องเยอะ ตื่นแล้วก็ดี เราจะกลับกันเลยไหม”
“ฉันอยากกลับจะแย่ แต่คุณอย่ามาเฉไฉ ตะกี้ตอนฉันตื่นมา ฉันเห็นนะว่าคุณถือโอกาส แอบกอดฉันมาทั้งคืนเลยใช่ไหม”
ราเมศยกยิ้ม เมื่อคืนคนพูดนั่นแหละที่คงหนาวนอนขดตัวงอแล้วขยับกายมากระแซะเขา มือไม้ก็ไม่อยู่นิ่ง ยกมาวางพาดกอดเขาราวกับว่าเป็นหมอนข้าง ให้ยืมกอดตั้งค่อนคืน ตื่นมายังกล้าโวยวายอีก
“คุณหรือเปล่าที่เข้ามากอดผมก่อน นี่ผมยอมให้คุณกอดตลอดคืน ใครกันแน่สมควรโวยวาย”
เขาตอบยิ้มๆ ยียวน เพิ่งตื่นนอนมา บางอย่างของเขายังคึกคักอยู่ ถูกสาวสวยนอนกอดก่ายเป็นใครก็ขึ้นทั้งนั้น เลยไม่กล้าลุกในทันที กลัวแม่ตัวดีเห็นว่านอกจากอารมณ์ที่เริ่มขึ้นเพราะถูกกล่าวหาแล้ว อย่างอื่นก็กำลังลุกขึ้นด้วย
“ถือว่าเจ๊ากันไปละกัน”
“เจ๊าอะไรกันคุณ” สิตาลแยกเขี้ยวใส่ แต่ราเมศมองด้วยความขบขัน ท่าทางสวยเฉี่ยวของหญิงสาวไม่ได้บอกสักนิดว่าเป็นกุลสตรีเนื้อทองชนิดที่ทั้งชีวิตไม่เคยต้องมือชายมา
“ผมขอโทษก็ได้ที่ยอมให้คุณกอดตลอดทั้งคืนโดยไม่ปริปากบ่น ในเมื่อผมขอโทษแล้ว ตอนกลับคุณก็กลับเองแล้วกันนะ แต่ถ้าหากอยากกลับไปกับผมก็ต้องขอร้องอ้อนวอนผมให้พากลับด้วย” เขาเลิกคิ้วสูง ดูซิแม่ตัวดีจะทำหน้ายังไง
สิตาลหน้าเหวอ ไม่คิดว่าเขาจะเจ้าเล่ห์คิดเล่นงานเธอคืน “ไม่มีวัน ถ้าคุณทำแบบนั้น ออกไปได้เมื่อไหร่ ฉันจะฟ้องคุณปราบเจ้าของบริษัทให้เล่นงานคุณยับแน่”
“ตามใจ ไอ้..เอ๊ย...คุณปราบไม่กล้าไล่ผมออกหรอก งั้นเชิญคุณกลับเองก็แล้วกัน”
สิตาลเบิกตากว้างด้วยความโมโหขึ้นมาทันทีเมื่อเขาตีรวนใส่แบบนี้ ในป่าไม่ใช่ศูนย์การค้าในเมืองคอนกรีต มันเดินออกไปได้ง่ายๆ ซะที่ไหน คนฉลาดเลยข่มอารมณ์ตัวเองแล้วพูดเสียงอ่อย
“คุณตั้งใจมาช่วยฉัน แล้วจะทิ้งฉันไว้ที่นี่ได้ยังไง คุณไม่ทำหรอก ฉันรู้”
ราเมศเลิกคิ้วขึ้น แล้วเดินออกมานอกเต็นท์ ยืดเส้นยืดสายครู่หนึ่ง ทุกอย่างอยู่ในสายตาของสิตาลที่มองอยู่ด้วยความระแวงปนไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไร นายคนนี้เป็นพนักงานที่แปลกมาก ไม่คิดจะดูแลลูกค้าเลย แบบนี้ทิปที่คิดจะให้ตอนกลับออกไปได้ หลักพันเหลือร้อยเดียวก็พอมั้ง
สิตาลใจเต้นรัวด้วยความกลัวเมื่อเขาตรงไปที่รถเอทีวีที่ขับเข้ามาตามหาเธอแล้วสตาร์ตเครื่องยนต์ เธอไม่แน่ใจว่าเขาจะใจร้ายทิ้งเธอไว้ที่นี่จริงๆ แบบที่ประกาศไว้หรือเปล่า แล้วก็ต้องหน้าเจื่อนสนิทเมื่อเห็นเขาขับรถเอทีวีออกไป
“เฮ้ย คุณ” สิตาลวิ่งตามเขาเต็มแรง แต่คนกับรถมันแข่งกันไม่ได้ “นี่คุณ หยุดก่อน รอฉันด้วยสิ รอฉันด้วย!”
เขาไม่มีทีท่าจะหยุด และเธอก็เริ่มเหนื่อยจนหอบ สิตาลจำเป็นต้องยกธงขาว คราวนี้ทีเขา อย่าให้ถึงทีเธอก็แล้วกัน
“คุณ! รอก่อน ฉันขอร้อง ฉันขอร้อง...”
ราเมศอมยิ้ม ก่อนชะลอความเร็วลง เหยียบเบรกแล้วเลี้ยวรถหันหน้ากลับมาทางคนที่ยืนกัดปากแน่น สิตาลทั้งโมโหทั้งอาย แต่ความอยากออกไปจากที่นี่มีมากกว่า แม้จะอยากบริภาษเขาเพียงใดก็จำต้องข่มไว้
“กรุณาพาฉันกลับไปด้วยนะคะคุณราเมศ ได้โปรดเถอะค่ะ”
“อืม” เขาแสร้งพยักหน้ารับแกนๆ ทั้งที่ไม่ได้คิดจะทิ้งเธอไว้กลางป่าอยู่แล้ว แค่อยากดัดนิสัย “คุณรอตรงนี้ ผมจะเก็บเต็นท์ก่อน” เขาลงจากรถแล้วตรงไปที่เต็นท์
“แล้วทำไมเมื่อกี้ถึงทิ้งไว้ได้ล่ะ”
“ผมก็คิดว่าจะกลับมาเก็บทีหลังไงล่ะ”
สิตาลกำมือแน่นเมื่อคิดได้ว่าเขาแกล้งหลอกว่าจะทิ้งเธอ
‘อีตาบ้า’ แต่เธอฉลาดพอที่จะไม่พูดออกมา สงบปากสงบคำไว้ก่อนดีกว่า
ระหว่างที่ราเมศกำลังเก็บเต็นท์ เขาก็ได้ยินเสียงท้องร้องโครกครากของใครบางคนที่ช่วยเขาหยิบจับเล็กๆ น้อยๆ อย่างคนที่มีน้ำใจ แต่ดูทรงแล้วคงไม่เคยเข้ามานอนค้างอ้างแรมในป่า ดวงตาคมปลาบมีแววหยอกเย้าหันไปมอง
“เห็นผมแล้วหิวเหรอคุณ ท้องร้องดังยังกับฟ้าคำราม”
สิตาลอายหน้าแดง แล้วพูดกลบเกลื่อน “ฉันไม่ได้เห็นคุณแล้วหิว แต่ฉันหิวข้าวต่างหาก ตั้งแต่บ่ายเมื่อวาน ฉันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย”
ราเมศตีหน้านิ่ง แต่ในใจนึกขำคนสวย เขาหมุนตัวกลับไปที่รถเอทีวีแล้วหยิบน้ำดื่มออกมายื่นให้ “ผมไม่ได้เตรียมเสบียงมาด้วย ดื่มน้ำไปพลางๆ ก่อน เดี๋ยวอาหารไปหาเอาข้างหน้า”
สิตาลรับมา แล้วเอ่ยปาก “ขอบคุณค่ะ”
แต่ว่าท้องเจ้ากรรมก็ยังร้องประท้วงไม่หยุดจนเขามองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม “มองผมแล้วท้องร้องคืออะไร”
สิตาลยิ้มเจื่อน “ใครจะอยากกลืนคุณลงท้อง ฉันบอกแล้วไงว่าหิวข้าว ไม่ได้หิวคุณ”
“จะไปรู้เหรอ เมื่อคืนเห็นนอนจับไม่ปล่อย”
สิตาลหน้าแดงจัด “จับอะไร พูดมาดีๆ นะ” เมื่อคืนเธอเพลียมากจริงๆ ไม่รู้ว่าเอามือไปจับอะไรของเขาเข้า ทว่าเธอก็ไม่ได้รับคำตอบ คนนิสัยแย่ยิ้มแปลกๆ แวบหนึ่ง แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉยก่อนจะสั่งการ
“รอตรงนี้ก่อน แล้วอย่าก่อเรื่องอีก เดี๋ยวผมกลับมา”
