Chapter II เลขาหน้ามึน
พวกผมยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรให้เปามันตอบตกลง แต่อย่างน้อยก็ยังพอมีเวลาอีกหนึ่งวัน พรุ่งนี้ไอ้ตี๋บอกว่าจะไปเกลี้ยกล่อมอีกที แต่มันบอกว่าขอไปคนเดียว เพราะกลัวว่าผมจะหัวร้อนจนทำเสียเรื่อง
พอตกเย็นได้เวลาเลิกเรียนผมก็มาทำหน้าที่ยืนส่งยอดยาหยีของผมขึ้นรถที่ลุงสมหมายมาจอดรอหน้าโรงเรียน วันนี้หยินมีเรียนพิเศษ เขาก็จะกลับถึงบ้านดึกสักหน่อย ดังนั้นผมก็ไม่ต้องรีบกลับไปรอแอบมองเขาตอนเดินเข้าบ้าน มีเวลาไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนอีกหลายชั่วโมง
“กูอยากกินลูกชิ้นว่ะ”
ตั้งแต่ที่ลิซ่าบอกว่าชอบกินลูกชิ้นยืนกินน้ำจิ้มพริกเผา รอบโรงเรียนของเราก็เลยเต็มไปด้วยร้านขายลูกชิ้น แต่ไม่มีร้านไหนเด็ดเท่าร้านเจ๊นีที่อยู่ทางออกประตู 3 ตรงนั้นมันจะติดกับตลาดนัดเล็ก ๆ ก่อนถึงทางรถไฟ พอไอ้เมิงเอ่ยปากพวกเราสามคนก็เลยมุ่งหน้าไปที่นั่น
ไม่นานพวกผมสามคนรวมทั้งเด็กนักเรียนชั้นประถมอีกกลุ่มหนึ่งก็มายืนล้อมวงรอบหม้อน้ำจิ้มสูตรเด็ด ระหว่างที่ผมกำลังเกลือกกลั้วลูกชิ้นปลากับน้ำจิ้มในหม้อ สายตาของผมก็เห็นเด็กนักเรียนสวมกางเกงสีกรมท่าคนหนึ่งกำลังถูกขนาบด้วยเด็กนักเรียนอีกสองคนที่สวมกางเกงสีกากี
เด็กต่างโรงเรียนมันก็คงจะเป็นเพื่อนกันได้แหละมั้ง มันคงจะไม่มีอะไรผิดปกติถ้าไอ้คนตรงกลางมันจะไม่ทำท่าแปลก ๆ เหมือนถูกบังคับ และเป็นคนที่ไอ้ตี๋บอกว่าแม่งเป็นเด็ก Introvert
“ไอ้เปา!”
ผมอุทานขึ้นมาท่ามกลางสงครามลูกชิ้น จนไอ้ตี๋กับไอ้เมิงต้องหยุดกิน แล้วมองตาม
“กูว่าแปลก ๆ ว่ะ”
ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยนาน และยังไม่อธิบายอะไรให้เพื่อนฟัง ผมก็ทิ้งไม้ลูกชิ้นแล้ววิ่งตามไปทางที่สามคนนั้นหายเข้าไป
ได้ยินเสียงไอ้ตี๋กับไอ้เมิงร้องโวยวาย แล้วก็ได้ยินเสียงพวกมันวิ่งตามมาด้วย
ผมเกือบจะวิ่งข้ามทางรถไฟไปแล้ว ถ้าไอ้สองคนนั่นจะไม่ตามมาทัน แล้วดึงผมถอยหลังจนเกือบล้ม
“มึงอยากตายหรือไง?”
ที่ไอ้ตี๋ถามแบบนั้นเพราะทันทีที่มันพูดจบ ขบวนรถไฟก็วิ่งผ่านหน้าผมไปเสียงดังสนั่น
“ไอ้เปาโดนลากไปทางนั้น” ผมตะโกนบอกมันแข่งกับเสียงของรถไฟ
“มึงว่าไงนะ?”
“กูบอกว่าไอ้เปาโดนเด็กโรงเรียนอื่นลากไปทางนั้น”
ผมย้ำอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนจะยังฟังไม่ถนัด พวกมันจึงถามกลับมาอีกครั้งด้วยคำถามเดิม
“มึงว่าไงนะ?”
“โธ่โว้ย!”
ผมสลัดพวกมันหลุดพอดีกับที่รถไฟโบกี้สุดท้ายผ่านหน้าไป แล้วผมก็กระโดดข้ามทางรถไฟมาทันที แต่ตอนนี้สามคนนั่นหายไปแล้ว
“ไปไหนแล้ววะ?”
ผมมองซ้ายมองขวา แล้วตัดสินใจวิ่งไปทางที่เป็นป่า เพราะมีลางสังหรณ์บางอย่างว่าเปากำลังตกอยู่ในอันตราย
“นายท่าน นายท่าน” เสียงไอ้เมิงไล่หลังมา พร้อมกับคำถามว่าผมจะไปไหน แต่ผมไม่เสียเวลาหันไปอธิบายอีกแล้ว
ในจังหวะที่ผมกำลังจะวิ่งผ่านต้นไม้ใหญ่ ผมก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง และรู้สึกว่าที่หลังต้นไม้นั่นมีการเคลื่อนไหว ผมจึงพุ่งตัวไปในทันที
ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือนักเรียนในกางเกงสีกากีคนหนึ่งกำลังเอามีดจ่ออยู่ที่ท้องไอ้เปา ส่วนอีกคนกำลังล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสีกรมท่าของโรงเรียนผม เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“เฮ้ย! พวกมึงทำเหี้ยอะไรน้องกู!”
ผมพุ่งตัวเข้าไปกระโดดถีบไอ้คนที่ถือมีดก่อนเลย เพราะเป็นจังหวะที่มันตกใจแล้วเผลอลดมือที่ถือมีดลง พอมันกระเด็นไปทาง ผมก็ผลักอีกคนจนหงายหลัง แล้วเข้าไปยืนข้างหน้าไอ้เปาที่ตอนนี้หมดสภาพเพราะคงถูกซ้อมมาก่อนหน้า
ผมตั้งการ์ดขึ้นมา พร้อมกับขยับขาในท่าเตรียมพร้อม ถ้าพวกมันเข้ามาผมรัวหมัดแน่
“เสือกอะไรด้วยวะ?” ไอ้คนที่มีมีดในมือย่างสามขุมเข้ามาหาผม
“กล้าก็เข้ามาสิวะ”
แล้วทำไมมันจะไม่กล้าล่ะ ในเมื่อมันมีมีดแต่ผมมือเปล่า
“แส่หาเรื่องดีนัก เดี๋ยวกูจะเสียบให้ยับเลย”
มันเงื้อมือที่ถือมีดจะจ้วงแทงผม ผมเลยยกแขนทั้งสองป้องกันหน้า แล้วใช้เท้าข้างหนึ่งถีบท้องจนมันกระเด็น ขาผมยาวกว่าแขนของมัน ปลายมีดนั่นจึงยังไม่ถึงตัวผม เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับนายท่านศิษย์เอกครูมวยฉายาหน้าแข้งทองคำ โดนมอญยันหลักเข้าไปเป็นไงล่ะมึง
มันเซแท่ด ๆ เข้าไปในพงหญ้า พอผมจะตามไปซ้ำ เพื่อนมันก็เข้ามาขวาง ตั้งใจจะวาดหมัดใส่หน้าหล่อ ๆ ของผม ผมก้มฉับเพื่อให้หมัดของมันต่อยอากาศพ้นไป แล้วผมก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยความไวเหนือความเร็วแสง แล้วใช้หมัดเสยคางจนมันหน้าหงายไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนร่างเพื่อนของมัน
เจอยกเขาพระสุเมรุเข้าไปก็เตรียมเผาได้เลย สัด!
ในจังหวะที่สองคนนั่นไปกองรวมกัน เพื่อนรักทั้งสองของผมก็ตามมาถึงพอดี
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย?”
พวกมันพากันยืนงง ส่วนไอ้เปาที่มีสภาพสะบักสะบอม มันเดินเซ ๆ เข้าไปหาไอ้สองคนนั้น ก่อนจะย่อตัวลงไปล้วงเอาอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงของพวกมัน
ถ้าผมตาไม่ฝาดมันคือนาฬิกา Patek เรือนละหลักล้าน ไอ้เหี้ยนี่รวยสัด! มิน่าถึงเรียกค่าจ้างสิบแปดล้าน
พอมันเอาของมีค่าคืนมาได้แล้ว มันก็ทำท่าจะเดินจากไป “อ้าวเฮ้ย! นี่มึงจะไม่ขอบคุณกูสักคำเลยเหรอ?”
มันค่อย ๆ ถอดแว่นสายตาออกมาด้วยท่าทางนิ่ง ๆ เอาชายเสื้อนักเรียนที่หลุดลุ่ยของมันมาเช็ดจนเลนส์ใส แล้วก็ใส่กลับเข้าไปที่เดิม แต่ระหว่างที่มันยัดชายเสื้อเข้าไปในกางเกง มันก็พูดออกมาลอย ๆ ว่า
“ปริญ กุลพัชร ม.4/1 ลงชื่อในใบสมัครให้ด้วยแล้วกัน” มันช้อนตาขึ้นมามองผม “อาหารแมวเดือนละ 2 กิโล”
“อะไรของมึง?”
เรื่องที่มันบอกชื่อบอกห้องผมพอเข้าใจนะครับว่ามันยอมเข้าร่วมพรรคสมัครประธานนักเรียนกับผม คงเป็นการตอบแทนที่ผมมาช่วยมัน แต่อาหารแมวนี่มันยังไงวะ
“ก็ค่าจ้างไง ผมลดให้จากสิบแปดล้านเหลือแค่อาหารแมวเดือนละสองกิโล ลูกเจ้าของตลาดอย่างพี่คงไม่เดือดร้อนหรอก”
“กูว่าเด็กมอสี่ที่ใส่นาฬิกา Patek อย่างมึงก็คงไม่เดือดร้อนเหมือนกันแหละกับอีแค่อาหารแมวน่ะ”
“ตามนี้ จะดิวไม่ดิว”
“ดิว ดิว ดิว” เป็นไอ้เมิงครับที่เข้ามาแทรกกลาง แล้วรับปากกับเปาว่าอาหารแมวเดือนละสองกิโลจะส่งถึงหน้าบ้านมันทุกวันที่ 1 ของเดือนจนกว่าพวกผมจะเรียนจบมอหก
สรุปว่าตอนนี้พรรคของผมคนครบแล้วครับ
ตี๋ เป็นประธาน
เปา เป็นเลขา
เมิง เป็นเหรัญญิก
ส่วนผม นายท่าน เป็นรองประธานนักเรียน
เดี๋ยวก๊อนนนนน… ยังไม่ได้ลงสมัครเลย
