Chapter II ว่าที่เลขา
พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่ต้องลงสมัครเลือกตั้งประธานนักเรียน แต่พอพวกผมไปอ่านเงื่อนไขการลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วพบว่าปีนี้โรงเรียนบังคับให้แต่ละพรรคที่ลงสมัครมีนักเรียนชั้นมอสี่เป็นสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนในตำแหน่งใดก็ได้ พวกผมเลยปวดหัวจี๊ด เพราะไม่มีรุ่นน้องคนไหนเคารพพวกผมสามคนเลย
“ใครมันจะอยากมาอยู่พรรคเราวะ เอาไงดี” ไอ้เมิงเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะเรื่องนี้เป็นไอเดียของมันตั้งแต่แรก “ไหนจะเรื่องที่ต้องทำแฟนเพจของพรรคเพื่อหาเสียงอีก พวกเราสามคนไม่มีใครเก่งไอทีสักคน”
เอาจริงมันก็ไม่ต้องเก่งอะไรมากหรอก เฟซบุ๊กก็มีเทมเพลตให้อยู่แล้ว สรุปสั้น ๆ คือพวกผมมันขี้เกียจ ถนัดเสือกและส่องมากกว่าจะสร้างสรรค์
“มึงไปหาจ้างมาสักคนดิ๊” ผมก็เลยใช้เงินแก้ปัญหาแม่งเลย
ส่วนไอ้ตี๋กำลังทำหน้านิ่ง ๆ คูล ๆ ตามสไตล์ ก่อนจะพูดเสียงลอดเหล็กดัดฟันออกมา “มีน้องคนหนึ่ง กูว่าน่าสนใจ”
“ใครวะ?” ผมกับไอ้เมิงถามแทบจะพร้อมกัน
แล้วไอ้ตี๋ก็เดินนำไปหารุ่นน้องมอสี่คนที่มันว่าน่าสนใจ พวกเราเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องคอมฯ ที่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีนักเรียนเหลืออยู่สักคน ภายในห้องค่อนข้างมืดเพราะไฟถูกปิด แต่กลับมีแสงสลัว ๆ อยู่ตรงมุมห้องด้านในสุด และพอผมเพ่งมองก็พบว่าตรงหน้าคอมฯ เครื่องสุดท้ายมีเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนมอปลายนั่งอยู่ แสงจากคอมฯ ส่องไปที่หน้าและสะท้อนออกมาจากแว่นสายตากรอบกลม ไอ้หมอนั่นคงรับรู้ได้ถึงการมาถึงของพวกผม มันจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอคอมฯ
“เชี่ย!” ผมผงะ ก่อนจะถอยเท้าออกมา แล้วโวยวาย “กูไม่ให้เข้าพรรคเด็ดขาด”
“ทำไมวะ?” ไอ้เมิงรีบลากแขนผมกลับเข้าไปยืนที่เดิม
ทำไมน่ะเหรอครับ เพราะไอ้เด็กมอสี่คนนั้นมันหน้าตาดีเกินไป หน้ามันขาวใสยังกับดาราเกาหลี จมูกโด่งพุ่งออกมายังกับยัดซิลิโคนเข้าไป ปากก็แดงแถมยังบางเฉียบ แว่นกลม ๆ นั่น ถ้ามันอยู่บนหน้าคนอื่นคงดับ แต่พออยู่บนหน้าไอ้เด็กนั่นกลับทำให้มันดูลึกลับน่าค้นหา แล้วดูท่าทางมันสิ ไม่ตกใจเลยสักนิดที่พวกผมมายืนจ้องหน้า มันทำเพียงชำเลืองมองนิ่ง ๆ แล้วก็เบนสายตากลับไปมองที่หน้าจอคอมฯ เหมือนเดิม
“แต่มึงคิดดูนะ น้องแม่งมีคนติดตามในไอจีเป็นหมื่น ทั้งที่รูปโปรไฟล์เป็นแค่แมวนอนหงายท้องอะ ถ้าได้น้องมันมาอยู่ในพรรค รับรองว่าสาว ๆ ทั้งโรงเรียนต้องเลือกพรรคเราชัวร์” ไอ้ตี๋เริ่มใส่ข้อมูลมาให้ แล้วมันก็ยังเสริมอีก “ไอ้เด็กนี่ก็เรียนโคตรเก่ง โดยเฉพาะคอมฯ แม่งมันโคตรถนัดอะ ได้ข่าวว่ามันเนี่ยแหละที่แก้บั๊กให้โปรแกรมลงทะเบียนออนไลน์ของโรงเรียน”
“จริงเหรอวะ?” ไอ้เมิงเริ่มคล้อยตามหลังจากฟังคุณสมบัติ แต่มันก็ยังลังเล “แต่มันจะแย่งซีนนายท่านหรือเปล่าวะ หล่อกว่า เก่งกว่า เด็กกว่า แม่งไอ้เด็กขั้นกว่า ถ้าพี่หยินสนใจมันแทนขึ้นมาจะทำไงล่ะ”
มึงเป็นเพื่อนที่ดีจริง ๆ ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ทำไมกูรู้สึกเหมือนโดนจิกด่าวะ
“เอามันมาแค่ใช้งาน แล้วไอ้นี่ก็ Introvert จะตาย มันชอบคุยกับคอมฯ มากกว่ากับคน”
“แล้วมันจะคุยกับเราเหรอวะ?”
มันคงไม่ชอบคุยกับคนจริง ๆ ครับ เพราะขนาดพวกผมสามคนไปยืนกดดันมันใกล้ ๆ มันยังไม่สนใจเลย ไม่เงยหน้ามาถามสักคำด้วยซ้ำว่าพวกผมมายืนล้อมมันทำไม มันทำเหมือนพวกผมเป็นอากาศที่จำเป็นต้องหายใจเข้าไปเท่านั้น
“นี่มึงจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าพวกกูมาทำไม” ไอ้เมิงทนไม่ไหวเลยเปิดฉากด้วยท่าทางข่มขู่ให้รุ่นน้องกลัว
แต่ไอ้เด็กนั่นก็ยังทำเหมือนเดิม คือแค่ช้อนตาขึ้นมามองแป๊บเดียวแล้วก็กลับไปสนใจหน้าคอมฯ ต่อ บนหน้าจอมีแต่ภาษาอังกฤษผสมกับโค้ดอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แล้วนิ้วของมันก็รัวกดแป้นด้วยความเร็วใกล้เคียงความเร็วแสง
“คุยกับพวกกูเดี๋ยว” คราวนี้เป็นไอ้ตี๋บ้าง แต่มันใช้โทนเสียงนุ่มนวลกว่าไอ้เมิง “พวกกูจะชวนมึงมาเข้าพรรคลงสมัครประธานนักเรียน”
“…”
“มึงอยากได้ตำแหน่งอะไรในพรรคก็บอกมาได้เลย”
“…”
“ถือว่าช่วยโรงเรียนก็ได้”
“…”
“หรือไม่ก็คิดซะว่าทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นเขาบ้าง กูเห็นวัน ๆ มึงนั่งอยู่แต่หน้าคอมฯ”
ไอ้ตี๋พยายามหว่านล้อมทุกวิถีทางแต่มันก็ยังเงียบใส่พวกผม ราวกับว่าพวกผมเป็นแค่แมลงวันที่บินผ่าน นอกจากสร้างความรำคาญก็ไม่มีประโยชน์อะไร
“เล่นตัวจังวะ?” ผมยืนฟังอยู่นานจนเริ่มรำคาญ จึงอดที่จะแซะมันไม่ได้ “หรือต้องให้กูจ้าง จะเอาเท่าไรก็ว่ามา” ผมเสนออย่างตัดรำคาญ
“สิบแปดล้าน”
ข้อเสนอของผมได้ผล ในที่สุดเงินก็ซื้อได้ทุกอย่างจริง ๆ ว่าแต่…
“ฮะ? มึงว่าไงนะ?”
“สิบแปดล้านไง ค่าจ้าง จ่ายไหวปะล่ะ”
“กวนตีน!” ผมนี่ถกแขนเสื้อขึ้นมาเลย ดีนะที่ไอ้ตี๋มันห้ามไว้ ไม่งั้นไอ้เด็กนี่ปากแตกแน่ “ช่างแม่ง ไม่อยากเป็นกูก็ไม่ง้อโว้ย พวกมึงกลับ”
ผมเดินนำเพื่อนออกมาอย่างหัวเสีย หาไม่ได้ก็ไม่ต้องสมัครแค่นั้นแหละวะ ทำอย่างอื่นให้หยินสนใจก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นประธานนักเรียนเลย
ไอ้เมิงกับไอ้ตี๋รีบวิ่งตามมา และพยายามบอกให้ผมใจเย็น
“มึงพยายามมาปีครึ่งแล้วนะ ความคืบหน้าคือเขาเพิ่งจำชื่อมึงได้เมื่อวาน” ไอ้ตี๋เตือนสติผม
“ใช่ ๆ แล้วนี่พี่หยินก็อยู่มอหกเทอมสองแล้วอะ อีกไม่กี่เดือนก็เรียนจบ ถ้านายท่านไม่เด่นไม่ดังช่วงนี้ให้พี่หยินสนใจ มีหวังพี่เฌอคาบพี่หยินไปแดกแน่ ผมว่าพี่หยินก็กำลังคิดแบบนั้นเหมือนกันแหละ ไม่แน่นะงานวันเกิดพี่เฌอวันศุกร์พี่หยินอาจจะไปเผยความในใจก็ได้”
ไอ้เมิงมันพูดอย่างกับเห็นภาพอนาคตข้างหน้า จนผมสงสัยว่ามันเป็นลูกเถ้าแก่โรงน้ำแข็งหรือเป็นอับดุลกันแน่
“มึงรู้ได้ไงว่าหยินชอบไอ้เหี้ยเฌอ และกำลังจะไปสารภาพรักอะ”
“โห มึงไม่เห็นแววตาพี่หยินตอนมึงยกน้ำหอมให้ขวดหนึ่งหรือไง ตางี้เป็นประกายอย่างมีความหวัง เหมือนกำลังจะไปขอแฟนแต่งงานอะ”
ด้วยความที่ไอ้เมิงมันเป็นลูกของเถ้าแก่เม้งเจ้าของโรงน้ำแข็งที่เช่าพื้นที่ในตลาดของแม่ผม ซึ่งแม่ผมเคยช่วยเหลือมาตั้งแต่ไม่มีอะไร ไอ้เมิงก็เลยถูกเลี้ยงมาให้เป็นลูกน้องคอยติดสอยห้อยตามคอยรับใช้ผมมาตั้งแต่เด็ก เราทั้งสองจึงสนิทกันมาก ปกติมันจะเรียกผมว่านายท่าน และแทนตัวเองว่าผม แต่เมื่อไรที่มันขึ้นมึงขึ้นกูแล้วละก็ นั่นแปลว่ามันกำลังด่าว่าผมโง่บรม
และหากผมไม่หลอกตัวเองจนเกินไป ผมก็พอจะดูออกว่าของขวัญชิ้นนั้นมันมีความหมายกับหยินมากขนาดไหน คิดดูสิว่าผมตามวอแวเขามาตลอดตั้งแต่มอสี่ จนตอนนี้อยู่มอห้าเทอมสอง เขายังไม่เคยพูดกับผมสักคำ ชื่อก็จำไม่ได้ แต่เพียงเพราะน้ำหอมขวดนั้น เขาถึงขั้นยอมขอร้องผมเสียงหวาน ชัดเสียยิ่งกว่าชัดอีก
เมื่อผมใช้สมองมากกว่าอารมณ์ผมก็เริ่มเห็นคล้อยตามเพื่อน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าผมลงสมัครเลือกตั้งประธานนักเรียนแล้วผมจะได้ เพราะวีรกรรมที่พวกผมสร้างไว้ก็หาดีไม่ค่อยได้เลย
“ก็ไม่แน่ว่าสมัครแล้วเราจะได้นี่หว่า”
“ถ้าได้น้องเปามาอยู่ในพรรค กูว่าไม่ยาก”
เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่าไอ้เด็กมอสี่หน้าตาดีแต่กวนตีนนั่นมันชื่อเปา
“ยากตรงชวนมันมานี่แหละ” ไอ้เมิงเสริมพร้อมกับถอนหายใจ
