บท
ตั้งค่า

Chapter I อยากอยู่ในหัวใจเธอ

สมองอันชาญฉลาดของผมประมวลผลได้ทันทีว่าที่หยินมาที่นี่แล้วหาซื้อของขวัญอย่างเคร่งเครียดเพราะจะไปงานวันเกิดไอ้เหี้ยนี่

“แต่ไอ้นี่มันอยู่คนละห้องกับหยินไม่ใช่เหรอวะ หรือว่าจะเป็นเพื่อนกัน” ผมพยายามจะมองโลกสวย ๆ เหมือนวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์

“ผมว่าพี่หยินแม่งแอบชอบพี่เฌอชัวร์” แต่ไอ้เมิงปากหมาปัญญาควายมันดันมาไถทุ่งลาเวนเดอร์ของผมซะโล่งเตียนเลย

“ไอ้ห่าเมิง มึงรู้ได้ไง” ผมไม่อยากจะยอมรับ แม้จะคิดเป็นอย่างอื่นได้ยากก็ตาม

“นายท่านก็ดู Story ไอ้เหี้ยพี่เฌอดิ เนี่ย ๆ ๆ ๆ แม่งหล่อไม่พอ ยังเป็นนักกีฬาบาส ใบประกาศนียบัตรก็เพียบเลย นี่แข่งตอบคำถามวิทยาศาสตร์ ไอ้เหี้ยนี่กาพย์ยานีสิบเอ็ด คิดเลขเร็ว โครงการสิ่งประดิษฐ์ห่าเหวอะไรนี่อีก”

ก็จริงของมัน ผมมองจนตาลาย คนเหี้ยอะไรมันจะเพอร์เฟกต์ขนาดนั้นวะ

“แต่กูรวยกว่า” ผมรีบบอกข้อดีข้อเดียวที่ผมมี

แต่แล้วไอ้ตี๋ก็สไลด์นิ้วไล่ให้ดูรูปอื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับคำบรรยาย

“พ่อเป็นหมอ แม่เป็นเจ้าของร้านเพชร เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน เป็นหลานคนเดียวของตระกูล ยายมีศักดิ์เป็นหม่อมราชวงศ์แต่แต่งงานกับตาที่เป็นสามัญชน เลยไม่มีคำนำหน้า แต่ก็ได้มรดกมาเป็นวังหลังใหญ่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่เจ็ด”

ไอ้ตี๋บรรยายเสียงไม่ค่อยชัดเพราะติดเหล็กดัดฟัน แต่ผมได้ยินชัดจนเจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ แล้วกูจะเอาอะไรไปสู้วะ

“แต่ผมว่านายท่านสู้ได้” ไอ้เมิงเชียร์อัพอยู่ข้าง ๆ “อย่างน้อยก็บ้านใกล้กว่าแหละวะ”

เออ… มันก็พูดถูก ว่าแต่… “บ้านใกล้กว่าแล้วยังไงวะ?”

“ถ้าเห็นท่าไม่ดี เห็นว่าพี่หยินมีใจกับทางนั้น นายท่านก็ปีนหน้าต่างแม่งเลย หึ ๆ” ไอ้เมิงยกมือขึ้นมาทำท่าเหมือนดึงหนวดคล้าย ๆ พวกโจรห้าร้อย แต่ความจริงมีขนขึ้นหร็อมแหร็มตรงมุมปากอยู่แค่ไม่กี่เส้นเอง “พอพี่หยินตกเป็นของนายท่าน ขี้คร้านจะร้องว่า นายท่านคะ นายท่านขา”

ผมจินตนาการตามที่ไอ้เมิงเป่าหู แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มหวาน “อุ๊ย จั๊กจี้ว่ะ” ผมขนลุกซู่ รู้สึกหูร้อนผ่าว ๆ ขึ้นมาทันที ยิ่งคิดถึงเมื่อกี้ที่หยินคาดผมด้วยที่คาดผมหูเอลฟ์นั่นแล้วก็แบบว่า… ฟินว่ะ

ผมหลับตาจินตนาการถึงคืนอันแสนสุขของเรา ผมนุ่งผ้าโสร่งลายสก๊อตนั่งอยู่บนตั่ง มีหยินนั่งพับเพียบอยู่ข้าง ๆ คอยบีบคอยนวด คอยรินเหล้าใส่จอกแล้วก็ยื่นมาจ่อที่ปากด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยนเหนียมอาย ผมเอื้อมมือไปเชยคางบังคับให้สบตา มืออีกข้างก็กุมทั้งมือบางทั้งจอกเหล้ายกเข้าปาก ดื่มเหล้าคลอเคล้านารีในยามราตรีที่มีเพียงสองเรา ว้าว… แล้วพอเมาได้ที่เราสองคนก็…

“ไปโน่นแล้ว!”

ผมถูกไอ้เมิงกระชากออกมาจากความฝัน พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าหยินเดินออกจากร้านกิฟต์ช็อปไปแล้ว พวกผมสามคนก็เลยรีบวิ่งตามออกมา

หยินกับเอิงเอยพากันเดินเรื่อยไปตามหน้าช็อปแบรนด์เนมต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้แวะดูอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งสองคนนั่นไปหยุดอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์น้ำหอมแบรนด์หนึ่ง

Dior Sauvage Eau de Toilette เป็นกลิ่นที่หยินหยิบขึ้นมาดมบ่อยที่สุด พนักงานขายก็เชียร์ใหญ่ว่ามันเหมาะกับผู้ชาย

“แม่ง น้ำหอมขวดละตั้งหลายพัน แบบนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนแล้วละครับนายท่าน”

ผมใจเสีย รู้สึกเหมือนเมียมีชู้ เรื่องนี้ธิปติพัศยอมไม่ได้หรอกครับ “ไอ้เมิง มึงไปเหมาน้ำหอมมาให้หมด”

“ฮะ! หมดนั่นเลยเหรอครับนายท่าน”

“มันจะสักกี่บาทกันเชียว” ผมมองผ่าน ๆ พลางก็คำนวณอยู่ในหัว ทั้งเคาน์เตอร์นั่นคงไม่กี่หมื่นหรอก

แต่แล้วไอ้ตี๋คนเดิมก็ยื่นโทรศัพท์มือถือของมันมาตรงหน้าผมอีกครั้ง “อะไรของมึงอี๊ก?” ผมด่านำไปก่อน เพราะไอ้เพื่อนคนนี้มันชอบขัด แต่พอสายตาของผมมองไปที่หน้าจอก็เจอตัวเลขเรียงกันเป็นตับแบบไม่มีเครื่องหมายคอมม่าคั่น ผมเลยนับทีละสาม ก็คำนวณได้ว่าประมาณล้านกว่า ๆ

“ค่าน้ำหอมทั้งร้าน ไม่รวม Stock ในตู้ข้างหลัง” มันบอกเสียงเรียบ ๆ แต่ไม่ค่อยชัดเหมือนเดิม

“เชี่ย! เป็นล้านเลยเหรอวะ” ผมรีบคำนวณค่าขนมที่ผมได้แต่ละวัน คงต้องเก็บตังค์อีกสามปีกว่า ๆ โดยที่ไม่ใช้เลย ผมถึงจะจ่ายได้ “งั้นเอาแค่กลิ่นนั้นอะ กลิ่นที่หยินจะซื้อ”

ไอ้เมิงรีบวิ่งไปจัดการทันที พอมันบอกพนักงานขายว่าผมจะเหมากลิ่นนั้นทั้งหมด หยินกับเอิงเอยก็หันขวับมามองทางผมทันที

เอาละ จังหวะนี้แหละที่หยินจะต้องประทับใจ ผมรีบยกกระเป๋านักเรียนแฟบ ๆ หนีบไว้ใต้รักแร้ แล้วก็ยกมือขึ้นเสยผมด้วยท่าเท่ ๆ อินเนอร์ของผมตอนนี้คือซงจุงกิในบทกัปตันยูชีจินเรื่อง Descendants of the Sun ผมยิ้มแบบกระตุกมุมปากหนึ่งที ก่อนจะหยิบบัตรเครดิตแบบไม่จำกัดวงเงินยื่นให้พนักงานขาย

ป๊าบ!

ผมสตั๊นเล็กน้อยคล้าย ๆ เห็นดาววิบวับ ๆ อยู่ตรงหน้า แต่พอขยี้ตาแล้วมองดี ๆ ก็พบว่า ผมโดนเอิงเอยเอากระเป๋าฟาดเข้าที่หลังกกหู

“ไอ้เด็กเวร ฉันเห็นพวกแกแอบตามมาสักพักละ ก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่นี่ถึงกับเข้ามากวนประสาทเลยเหรอ คิดจะไฝว้กับรุ่นพี่ คิดดี ๆ นะน้อง” เอิงเอยถกกระโปรงขึ้นมา ดวงตาที่กลมอยู่แล้วยิ่งกลมโตใหญ่เท่าไข่ห่าน และท่าทางนางก็เอาเรื่องน่าดู

“เราเปล่านะ เราก็แค่มาซื้อน้ำหอม”

“ซื้อไปอาบเหรอไง? ถึงได้เหมาทั้งร้านแบบเนี้ย”

เอิงเอยเริ่มถกแขนเสื้อ จะเข้ามาเอาเรื่องผมให้ได้ แต่หยินดึงเพื่อนเอาไว้ “อย่าเลยเอย เราไปซื้อร้านอื่นก็ได้”

“ไม่ได้!” แล้วเอิงเอยก็หันไปบอกพนักงานขาย “พี่คะ เอา Dior Sauvage Eau de Toilette ขวดนั้นค่ะ ห่อเป็นของขวัญให้ด้วย”

“เอ่อ… แต่ว่า น้องคนนี้เขาซื้อก่อนนะคะ”พนักงานขายย่อตัวผายมือมาทางผมเหมือนทวงบัตรเครดิตที่ผมจะยื่นให้ก่อนหน้า

“แต่พวกหนูเลือกอยู่ก่อน”

“ก็หนูเลือกตั้งนาน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อนี่คะ” พนักงานขายทำท่าลำบากใจ ก่อนจะหันมาขอร้องผม “เอาอย่างนี้มั้ยคะ พี่เห็นว่าอยู่โรงเรียนเดียวกัน อย่างนั้นแบ่งให้น้องเขาสักขวดนะคะ”

“ไม่ได้หรอกครับ” ไอ้ตี๋เข้ามาแทรก ไอ้นี่มันชอบขัดคนอื่น ไม่ใช่แค่กับผม โดยเฉพาะเอิงเอยนี่มันชอบนัก “เพื่อนผมสั่งก่อนถือว่าซื้อก่อน” แล้วมันก็หันมาบอกผม “นายท่านจ่ายตังค์เลย”

ผมรีบยื่นบัตรกลับไปให้พนักงานขายอีกครั้ง แต่แล้วผมก็ต้องชะงัก แล้วดึงมือกลับ เพราะ…

“นายท่าน?” หยินเอ่ยเรียกเหมือนทวนชื่อผม แค่นี้ผมก็ละลายแล้วครับ แล้วยังจะต่อด้วยประโยคแสนหวาน “แบ่งให้พี่ขวดหนึ่งได้มั้ย พี่จะซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้เพื่อน”

โอ๊ย…

ก็ใจมันหายละลายละลายละลายละไหลไปกับเธอ

เฮ้อ เจออย่างเนี้ยคนอ่อนไหวอะวุ่นวาย

ก็ใจมันเพ้อ ละลอยละลอยละลอยละล่องไปอยู่ไหนอะ

ช่วยดูแลใจให้หน่อยเหอะนะ

เพลงละลายของพี่โฟร์มดยังดังก้องอยู่ในหูของผม พร้อมกับเสียงบ่นงุ้งงิ้ง ๆ ของไอ้ตี๋กับไอ้เมิงเรื่องที่ผมยอมยกน้ำหอมขวดหนึ่งให้หยินไป แค่เห็นรอยยิ้มขอบคุณที่หยินบรรจงส่งมาให้ ผมก็ละลายเป็นขี้ผึ้งที่ถูกไฟลนซะขนาดนั้น

“อย่างน้อยเขาก็จำชื่อกูได้แล้วว่ะ เขาเรียกชื่อกูด้วยพวกมึงได้ยินปะ” ผมดีใจจนตัวลอย ยกถุงน้ำหอมสิบสองขวดขึ้นมากอด รู้สึกว่ามันโคตรคุ้ม

“ห้าหมื่นหนึ่งพันหกร้อย” ไอ้ตี๋คลี่ใบเสร็จค่าน้ำหอมออกมาชูให้ผมดู “มึงไปตอบคำถามฮองเฮาเอาเองนะ พวกกูไม่เกี่ยว”

ผมค่อย ๆ ย่องเข้ามาในบ้านหลังมั่นใจว่าทุกคนน่าจะขึ้นห้องไปหมดแล้ว แต่ทันทีที่เท้าของผมเหยียบลงบนพื้นของห้องรับแขก ก็มีเสียงดังแว้ดขึ้นมาพร้อมกับแสงสว่างจากโป๊ะไฟรวมถึงแชนเดอเลียร์คริสตัลราคาแพงที่มันห้อยระย้าอยู่บนฝ้าเพดาน

“แม่แกเป็นเจ้าของแบงก์ชาติหรือไง ถึงกล้าใช้ตังค์วันละครึ่งแสนน่ะ ฮะ?”

ผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งที่ยืนกังจ้าอยู่ตรงหน้าผมนี่คือเจ๊หงษ์ครับ เธอเป็นเจ้าของตลาดที่ผมเคยเล่าให้ฟัง และใช่ครับเธอเป็นแม่ของผมเอง พ่อค้าแม่ค้าในตลาดเรียกแม่ว่าเจ๊หงษ์ ส่วนตัวผมเรียกเธอว่า…

“ฮองเฮา” ผมซอยเท้าเข้าไปหาด้วยลีลาลูกชายที่น่ารัก “รู้ได้ไงครับเนี่ยว่านายท่านใช้ตังค์เท่าไร” ผมถามตาใส พร้อมวาดวงแขนกอดแม่อย่างเอาใจ หอมหน้าผากเธอฟอดหนึ่ง แล้วก็ผละใบหน้าออกมาส่งสายตาอ้อน

“ก็มันมีข้อความส่งเข้ามาในโทรศัพท์ ตกลงว่าเอาไปใช้อะไรมากมายขนาดนั้น ฉันไม่ได้ปั๊มแบงก์ได้เองนะ”

“อย่าเพิ่งโมโหสิ เดี๋ยวไหมที่ร้อยไว้มันจะขาด ที่นายท่านใช้ตังค์ขนาดนั้นก็เพื่อตลาดของเราไง”

“ยังไง? เอาให้รอดนะมึง”

แล้วผมก็ชูถุงกระดาษเคลือบมันตีแบรนด์ดัง “ของขวัญเอาไว้จับฉลากปีใหม่ให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดไงครับ นายท่านเดินผ่านแล้วเห็นมันลดราคาตั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์ พอเห็นปุ๊บก็นึกถึงฮองเฮาขึ้นมา ก็เลยรีบซื้อไว้ให้ มันลดวันสุดท้ายแล้วด้วยนะครับ”

“จริงเหรอ?”

แม่เบิกตาโต แล้วก็รับถุงน้ำหอมไป ผมรีบใช้จังหวะนั้นหอมแก้มแม่อีกที แล้วรีบวิ่งหนีมา สักพักก็ได้ยินเสียงแม่โวยวาย สงสัยพอคำนวณตามประสาเจ้าของตลาดแล้วมันไม่น่าจะใช่ราคาที่ลด แต่ตอนนี้ผมเข้ามาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ล็อกประตูห้องนอนลงกลอนแน่นหนา รับรองว่าแม่บุกเข้ามาตีหัวผมไม่ได้แน่ครับ

ผมวางกระเป๋านักเรียนไว้บนโต๊ะ ก่อนจะมานั่งที่เก้าอี้ตัวโปรดข้างหน้าต่าง ทอดสายตามองข้ามรั้วเข้าไปในหมู่บ้านข้าง ๆ ที่บ้านหลังนั้น ห้องนอนห้องนั้นยังเปิดไฟสว่าง

“ตอนนี้หยินจะทำอะไรอยู่นะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel