ตอนที่ 3
“พี่หวังว่าเธอจะพยายามสำเร็จ เนื้อนวล”
แล้วโอเนลก็ก้าวออกไปจากประตูบ้าน ลงบันไดไป หล่อนกำลังจะปิดประตู แต่แล้วก็ต้องต้อนรับแขกอีกคนอย่างไม่เต็มใจ
“คุณคิริล...”
หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ มือบางรีบยกขึ้นป้ายน้ำตาจากแก้มอย่างรวดเร็ว และพยายามจะปิดประตูใส่หน้าเขา แต่พ่อเจ้าประคุณก็ดันเข้ามาได้สำเร็จ
“ออกไปนะ”
“ลูกหลับอยู่ด้วยทั้งคน ยังพาชู้มากกถึงบ้าน ทุเรศชะมัด”
หน้าของคนถูกกล่าวหาแดงก่ำ และร้อนผ่าว หล่อนกัดปากแน่น ตอนนี้เหนื่อยล้าเกินกว่าจะต่อปากต่อคำกับมนุษย์หน้าไหนได้อีก
“ถ้าจะมาหาเรื่องกัน กลับไปก่อนเถอะค่ะ ฉันเหนื่อย...”
“เหนื่อย?”
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปไกลถึงไหน แต่แน่นอนว่าพ่อเจ้าประคุณไม่มีทางคิดในแง่ดีอย่างแน่นอน ดูสิ ก็สายตาสีเขียวนั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยามชิงชังเสียเหลือเกินนี่
“ใช่ค่ะ ฉันเหนื่อยมาก ทั้งเหนื่อยใจ และเหนื่อยกาย ถ้าจะมาหาเรื่องพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ค่ะ”
หล่อนขอร้องเขา แต่เขาไม่ให้ความร่วมมือเลยสักนิด เพราะอึดใจต่อมาเขาก็ทรุดกายลงนั่งบนโซฟาตัวเดิมที่โอเนลพึ่งลุกจากไป บ้าชะมัด นี่หล่อนจะไม่มีวันได้พบกับความสงบสุขในชีวิตเลยหรือไงนะ ทำไมผู้ชายพวกนี้จะต้องมาตามราวีหล่อนด้วย เนื้อนวลคิดอย่างท้อแท้ เบื่อหน่าย
“เชิญค่ะ”
“ฉันยังไม่กลับ ตราบใดที่ยังไม่ได้พูดในสิ่งที่ต้องการ”
หญิงสาวกระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ จากนั้นก็กัดฟันทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวตรงหน้ากับเขา มองเขาอย่างรอฟัง
“พูดมาค่ะ ต้องการอะไรก็พูดมา ฉันจะได้พักผ่อนเสียที”
สายตาของเขาเย็นชาชะมัดเมื่อจับจ้องมองมาที่หล่อน ไร้ความเป็นมิตร และเต็มไปด้วยความขยะแขยงชิงชังอย่างไม่ปิดบัง หล่อนเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้เห็น เพราะหัวใจดันลุ่มหลงไปกับความหล่อเหลาของคิริลไปเสียตั้งแต่แรกพบแล้ว ห้ามตัวห้ามใจไม่ทันอีกแล้วเนื้อนวลคิดอย่างเศร้าใจเป็นที่สุด ไม่อยากเป็นศัตรูกับผู้ชายที่หล่อคับโลกแบบคิริลเลย
“เมื่อกี้คงใช้แรงไปมากสินะ”
แม้เขาจะไม่พูดตรงๆ หล่อนก็รู้ความหมายในหัวของเขาดี หล่อนกัดปากแน่น ก่อนจะเชิดหน้าทำเป็นไม่ใส่ใจ ทั้งๆ ที่ภายในอกน้ำตาทะลักแล้วทะลักอีกกับความอดสูที่เกิดขึ้น
“มันก็เรื่องของฉัน คุณมีอะไรก็พูดมาเลย พูดมาสิ ฉันเบื่อที่จะเห็นหน้าคุณแล้ว”
สีหน้าของเขายังราบเรียบและโคตรหล่อเช่นเดิม จะมีเปลี่ยนก็แค่แววตาเท่านั้นที่เหี้ยมกระด้างขึ้นจนคนมองอย่างหล่อนขนลุกซู่
“ฉันต้องการให้เธอยกเอวาให้กับฉัน”
คอของเนื้อนวลแข็งขึ้นในทันที หล่อนมองเขาตาลุกเป็นไฟ
“ฝันไปเถอะ ไม่ว่าคุณจะพูดคำนี้กับฉันอีกสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง ฉันก็ไม่มีวันยกเอวาให้กับคุณ ฉันรักเอวาเข้าใจเอาไว้ด้วย”
ท่าทางเหมือนจงอางหวงไข่ของผู้หญิงตรงหน้าทำให้คิริลแสนจะสมเพช เขารู้ดีว่าหล่อนเน่าเฟะเพียงใด และที่สำคัญที่สุดหล่อนไม่มีจิตวิญญาณของคนเป็นแม่เลยสักนิด ที่กางปีกหวงก้างอยู่แบบนี้ก็คงจะต้องการเงินสินะ
“ต้องการเงินเท่าไหร่ก็ว่ามาเลย ฉันจ่ายไม่อั้น”
หญิงสาวกัดปากแน่น หน้าแดงก่ำ และพูดไม่ออก ซึ่งนั่นก็ทำให้คิริลคิดไปในอีกทางหนึ่งอย่างง่ายดาย
“พอได้ยินว่าจะได้เงิน อึ้งไปเลยสินะ ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ คิดว่าต้องการเท่าไหร่ ฉันจะจ่ายให้เธอครบทุกบาททุกสตางค์เลยทีเดียว ขอเพียงแค่เซ็นยกเด็กคนนี้ให้กับฉันเท่านั้น”
เนื้อนวลตัวสั่นเทิ้ม กำมือแน่น ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน จ้องหน้าเขาอย่างโกรธจัด
“นี่คุณคิดว่าเงินของตัวเองซื้อทุกอย่างบนโลกได้อย่างนั้นเหรอ”
เขาทำท่าไม่สะทกสะท้านและมันน่าหมั่นไส้มากในสายตาของหล่อน
“ใช่”
เขาหยุดพูดและตวัดสายตามองหล่อนไปทั้งตัวอย่างเหยียดหยาม ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากเดิมเลย
“ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามันสามารถซื้อผู้หญิงอย่างเธอได้”
“คนปากร้าย ผู้ชายปากจัด”
เนื้อนวลแทบเต้นกับคำดูถูกดูแคลนของผู้ชายตรงหน้า นี่เขากล้าดียังไง กล้าดียังไงมาประณามหล่อนแบบนี้ คนบ้า!
“เอาน่า เลิกแสดงละครว่ารักลูกห่วงลูกได้แล้ว อยากได้เท่าไหร่ก็ว่ามาเลย ฉันยินดีจะจ่าย”
หญิงสาวเม้มปากแน่น จ้องหน้าเขาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
“ฉันไม่ต้องการเงิน”
“หือ... นี่ฉันหูฝาดไปหรือเปล่านี่”
เขาเยาะหยัน ด้วยท่าทางน่าตะกุยหน้าเป็นที่สุด
“คุณไม่ได้หูเฝื่อน หูฝาด แต่ฉันบอกว่าฉันไม่ต้องการเงิน ต่อให้เงินเป็นร้อยๆ ล้านฉันก็ไม่ต้องการ เอวาจะต้องอยู่กับฉัน คุณไม่มีวันได้แก จำเอาไว้ด้วย”
คิริลหรี่ตามองร่างแน่งน้อยที่กำลังโกรธจนตัวสั่นเทิ้มอย่างพิจารณา แม่นี่แสดงได้แนบเนียนเหลือเกิน นี่ถ้าเขาไม่รู้ประวัติหล่อนมาก่อนหน้า เขาคงเชื่อสนิทใจเลยทีเดียวว่าผู้หญิงคนนี้รักลูกของตัวเองจริงๆ ไม่ได้เลี้ยงทิ้งๆ ขว้างๆ อย่างที่กำลังทำอยู่
“ก็บอกว่าให้เลิกแสดงละครได้แล้วไง ฉันรู้เช่นเห็นชาติของเธอทั้งหมด ดังนั้นอย่าคิดจะมาโกหกอะไรอีกเลย”
ชายหนุ่มพูดเสียงราบเรียบแบบเดิม แต่คนฟังอย่างหล่อนรู้ดีว่าเขากำลังเต็มไปด้วยโทสะมากมายแค่ไหน ก็ถึงแม้ใบหน้าหล่อลากไส้จะยังคงเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มหยัน แต่นัยน์ตาสีเขียวจัดของเขานั้นเปลี่ยนเป็นสีเพลิงไปเสียแล้ว
“ยกเอวาให้กับฉันตอนนี้ ก่อนที่ฉันจะไม่ให้อะไรเธอเลย”
“อย่ามาขู่ฉันเสียให้ยาก ฉันไม่มีทางยกเอวาให้กับคุณ หรือว่าใครหน้าไหนทั้งนั้น”
หญิงสาวตะเบ็งเสียงใส่เมื่อเดินไปหยุดตรงหน้าของเขา จ้องมองเขาที่ยังนั่งอยู่ด้วยสายตาเคืองขุ่น คนบ้า ไม่รู้อะไรเข้าสิง ถึงได้มองหล่อนเลวร้ายนัก
“นี่จะเป็นคำเตือนสุดท้ายของฉัน...”
แล้วพ่อเจ้าประคุณก็ลุกพรวดขึ้นโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า เป็นผลให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแบบหล่อนถอยหลังหนีไม่ทัน ร่างกายของหล่อนกับเขาจึงห่างกันแค่ฟุตเดียว ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะปัญหามันอยู่ที่กลิ่นหอมเซ็กซี่จากกายหนุ่มที่โชยเข้ามาในจมูกของหล่อนต่างหากล่ะ
โอ้... พระเจ้ากลิ่นไอของผู้ชายใจร้ายคนนี้สามารถทำให้ร่างกายของหล่อนเบ่งบานได้ไม่แพ้กับดอกไม้ยามได้รับหยาดฝนเลยสักนิด ทำไม... ทำไมเขาถึงได้มีอิทธิพลกับหล่อนถึงเพียงนี้นะ และทำไมหล่อนถึงต้องแสดงท่าทางหลงใหลเขาแบบนี้ด้วย เมื่อคิดได้หล่อนก็รีบถอยหลังหนีทันที แก้มนวลแดงระเรื่อราวกับลูกตำลึงสุก
“ฉัน... ฉัน... ยังยืนยันคำเดิม”
คิริลหรี่ตามองหญิงสาวที่แก้มแดงระเรื่อตรงหน้านิ่ง
“งั้นเราก็จะได้รู้กันในอีกไม่ช้า”
“คุณ... คุณหมายความว่ายังไง”
แม้จะยังคงร้อนรุ่มแปลกๆ ในบางส่วนของร่างกาย แต่หญิงสาวก็ยังอดเค้นเสียงถามออกไปด้วยความกังขาไม่ได้ แต่คิริลไม่ยอมตอบให้หล่อนกระจ่างสักนิด
“เอาเป็นว่าวันนี้ฉันจะกลับไปก่อน เธอมีเวลาหนึ่งคืนสำหรับตัดสินใจว่าจะเลือกเงินหรือว่าลูกของตัวเอง แต่ฉันคิดว่าเธอน่าจะเลือกอย่างแรกมากกว่า”
เขาหัวเราะเยาะเหยียดหยาม จนหล่อนเต็มไปด้วยความอดสู
“พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงฉันคิดว่าจะได้รับคำตอบที่ดีจากเธอ... เนื้อนาง”
“ฉันชื่อเนื้อนวลต่างหาก ตาบ้า”
หล่อนตวาดกลับ ก่อนจะรีบไล่ส่งเขาทันที
คิริลไม่ได้แปลกใจกับชื่อของหญิงสาวเพราะเขาคิดว่าตัวเองจำผิด
“ฉันกำลังจะไป”
“เชิญ!”
หญิงสาวรีบเดินไปที่ประตูบ้าน และผายมือไล่อย่างซึ่งๆ หน้า
“แล้วไม่ต้องกลับมาอีกนะ ฉันเบื่อหน้าคุณเต็มที่แล้ว”
เขาที่เดินข้ามธรณีประตูไปแล้วหันกลับมามองหล่อน พลางยิ้มหยัน
“ฉันจะไม่มาที่นี่อีก ถ้าเอวาไปอยู่กับฉันที่ Demon’s Palace แล้ว ซึ่งฉันมั่นใจว่าอีกไม่นาน”
เนื้อนวลเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้ในความโอหังของคู่สนทนาหล่อระเบิด
“ฝันไปเถอะ”
พูดจบหล่อนก็กระชากประตูให้ปิดสนิทลงทันที จากนั้นก็รีบล็อกประตูอย่างแน่นหนา และทรุดฮวบลงกองกับพื้นด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นทะลักออกมาจากสองดวงตา ความเจ็บปวดกำลังกัดกินไปทั่วทั้งดวงใจ
เมื่อไหร่นะ เมื่อไหร่หล่อนจะสามารถก้าวข้ามความทุกข์ยากนี้ไปสักที เมื่อไหร่กัน หญิงสาวคร่ำครวญทั้งน้ำตาออกมาด้วยความท้อแท้ แต่เมื่อสายตามองไปเห็นร่างน้อยๆ กำลังจ้ำม่ำของเอวาที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ในเปล หัวใจที่แสนอ่อนล้าก็ค่อยๆ มีแรงพลังขึ้นมา หล่อนต้องสู้ ต้องสู้กับปัญหาทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาหาในตอนนี้ ต้องสู้เพื่อเอวา หลานรักของหล่อน
“น้าจะสู้... เอวา น้าจะสู้ให้ถึงที่สุด”
ร่างอรชรที่ทรุดอยู่กับพื้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปหยุดที่เปล จ้องมองร่างของเอวาผ่านม่านน้ำตาด้วยความรักสุดหัวใจ
“น้ารักหนูนะเอวา... น้าจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับหนูเอง...”
ก้มลงจูบศีรษะน้อยๆ ของหลานสาวแผ่วเบา ก่อนจะตัดสินใจไปโทรหาเนื้อนางพี่สาวของตัวเอง ในเมื่อไม่มีทางเลือกแล้วหล่อนก็จำต้องขอความช่วยเหลือจากพี่สาว และภาวนาว่าเนื้อนางจะไม่ใจดำกับหล่อนและลูกสาวของตัวเองนัก
“พี่นางนี่นวลเองนะ นวลมีเรื่อง...”
เมื่อพี่สาวรับสายก็รีบพูดทันทีแต่ยังพูดไม่จบเลยก็ถูกตัดบทด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“จะโทรมาหาสวรรค์วิมานอะไรนังนวล ฉันกำลังหลับกำลังนอนอยู่ไม่เห็นหรือไง”
เนื้อนางตวาดเบาๆ มาตามสาย ขณะลอบมองสามีคนใหม่แก่คราวพ่อของตนเองอย่างกลัวว่าจะตื่นขึ้นมาได้ยินคำสนทนา
“ฉัน... ฉันขอโทษพี่นาง แต่ว่าฉันอยากจะให้พี่นางช่วย...”
“ถ้าจะมาขอเงิน หุบปากไปเลยนะ ตอนนี้ฉันก็ไม่มีเหมือนกัน ไอ้แก่นี่มันขี้เหนียวจะตาย ฉันจะช็อปปิ้งมันยังห้ามเลย”
เนื้อนางตัดบททันควัน และนั่นก็ทำให้เนื้อนวลน้ำตาซึมจนหนทางที่จะหาเงินไปใช้หนี้โอเนล
“แต่ว่า... พี่โอเนลมาทวงเงิน...”
“แกก็ใช้ไปสิ ฉันไม่เกี่ยว”
“พี่นาง... พี่พูดแบบนี้ได้ยังไงกัน คนเอาเงินไปคือพี่นะ ไม่ใช่ฉัน แถมพี่ยังมาปลอมลายมือฉันอีก”
เนื้อนวลพูดอย่างสิ้นสุดความอดทน แต่เนื้อนางไม่สนใจ
“เอาน่าอย่าโวยวายไปเลย ถือว่าแกช่วยฉันก็แล้วกัน ใช้หนี้แทนฉันไปแค่ไม่กี่เหรียญเอง อย่าบ่นเป็นยายแก่นักเลย”
เนื้อนางพูดอย่างเห็นแก่ตัว และนั่นก็ทำให้ผู้เป็นน้องสาวอย่างหล่อนน้ำตาไหลพราก ผิดหวังกับพี่สาวยิ่งนัก
“ทำไมพี่นางใจดำแบบนี้ล่ะ ฉันจะไปหาเงินที่ไหนมาใช้คืนพี่โอเนลล่ะ ตั้งแสนเหรียญเชียวนะ”
หล่อนได้ยินพี่สาวถอนใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“นั่นมันก็เรื่องของแก เอาล่ะ ฉันจะนอนแล้ว และไม่ต้องโทรมาหาอีกนะ ช่วยตัวเองไป เพราะตอนนี้ฉันไม่มีปัญญาช่วยเหลืออะไรใครทั้งนั้น”
แล้วเนื้อนางก็ตัดสายการสนทนาไปทันที
“พี่นาง... พี่นางเดี๋ยวก่อนสิ พี่นาง...”
หญิงสาวผู้เป็นน้องสาวก็ทำได้แค่เพียงร้องเรียกเท่านั้น เพราะพี่สาวของหล่อนใจดำยกเลิกการสนทนาไปแล้ว และเมื่อโทรกลับไปหาใหม่ก็พบว่าเนื้อนางปิดเครื่องไปเสียแล้ว เนื้อนวลทรุดฮวบลงร่ำไห้กับพื้นอีกครั้ง มือบางยังคงกำโทรศัพท์มือถือแน่น
“พี่นาง... ทำไมใจดำแบบนี้ ไม่สงสารฉันก็น่าจะสงสารเอวาบ้าง...”
เนื้อนวลร่ำไห้ปานจะขาดใจ สมองมืดจนไร้หนทางที่จะก้าวเดิน ตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ความมืดมิดก็เข้ามาครอบงำเสียทุกทาง หล่อนไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วหรือ ไม่ทางที่จะรอดพ้นจากเคราะห์กรรมในยามนี้เลยหรือไง หญิงสาวสะอื้นไห้
ใครก็ได้ช่วยที ช่วยหล่อนกับเอวาที
หญิงสาวภาวนาทั้งน้ำตา แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีใครช่วยเหลือได้ นอกจากตัวของหล่อนเองเท่านั้น