ตอนที่ 1 บทเรียนที่เลวร้าย
ตอนที่ 1
บทเรียนที่เลวร้าย
‘รับสายสิแพร!’
‘ยังจะตามผู้หญิงคนนั่นอีกเหรอ…’
‘…เด็กนั่นรับแขกอยู่คงไม่ว่างรับสายผู้ชายโง่ ๆ อย่างแกหรอก’
เขาเงียบ ไม่อยากจะเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง
‘ฉันอยากพูดเตือนสติแก แม่ขายตัวแล้วลูกล่ะ...’
‘แม่ก็ส่วนแม่ ผมรู้ดีว่าแพรเป็นคนยังไง แพรไม่มีทางหักหลังความรักของผม’
‘ถ้าฉันพิสูจน์ว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง...’
‘ปู่ก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง’ ถ้าคิดจะตัดไม่มีทางหวนซ้ำ แต่ก่อนจะตัดขอฟังความอีกฝั่งนึงก่อน คนอย่างเขามีความยุติธรรมมากพอ
ภายในรถมีแต่ความเงียบงัน นัยน์ตาสีนิลมองตรงไปด้านหน้า ความเด็ดเดี่ยวเท่านั้นคือตัวตนของเขา
“นายน้อยจะกลับบ้านหรือคอนโดครับ” ลูกน้องเหลียวหลังกลับไปมองเจ้านายที่นั่งเงียบตลอดทาง
“คอนโด” ก่อนที่น้ำเสียงเยือกเย็นจะเอ่ยออกมาให้ได้ยิน
“คุณคริสเตียนอยากจะปรึกษาเรื่องอาการป่วยนายท่าน นายน้อยจะเข้าไปพบคุณคริสเตียนเวลาไหนครับ ผมจะได้รายงานคุณคริสเตียนทราบ”
“พรุ่งนี้...เจอกันที่โรงพยาบาล”
“ครับนายน้อย”
สุดท้ายภายในรถก็กลับมาเงียบเหมือนเดิมอีกครั้ง แววตาสีนิลปรายตามองเม็ดน้ำฝนที่เกาะกระจกรถ แล้วปล่อยให้เวลาดำเนินต่อไปเหมือนเดิม ทุกอย่างจบสิ้นไปนานแล้วจะรื้อฟื้นหาตะเข็บอะไรอีก
ก็แค่คนเคยคุ้นหน้าที่บังเอิญเจอกัน…ก็แค่นั้นเอง
…
สองพี่น้องเข้ามาในห้องเช่าด้วยสภาพเปียกปอน พีรภัทรวางกล่องลังบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
ตุบ!
ทำเอาแพร์พีญาเหลียวหน้าไปมองตามเสียง “พีทวางของดี ๆ หน่อย”
“เจ็บใจชะมัด คุยด้วยทำเป็นหยิ่ง” ทว่าคนที่มีน้ำโหกลับแสดงอารมณ์หงุดหงิดให้ได้เห็น
“...” ร่างบางไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ทำได้เพียงเดินเข้าไปยกกล่องลังมาเช็ดน้ำฝน
“พี่แพรไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอวะ” ยิ่งพีรภัทรเห็นท่าทีของพี่สาวยิ่งฉุนเฉียวกว่าเดิม
“ทำไมต้องรู้สึก”
“หึ ตลกวะ” พีรภัทรเค้นเสียงหัวเราะใส่ “อย่าให้เจอหน้าอีกนะ อย่าหวังว่าผมจะญาติดีกับมันอีก”
“เข้าไปอาบน้ำไป” แพร์พีญาตัดบทอีกครั้ง ยกมือปัดตัดความรำคาญ
ครืดด ครืดด~
ก่อนที่เสียงเรียกเข้าจะทำลายบรรยากาศอึดอัดนั้น
มือบางคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพาย ก้มมองชื่อที่ปรากฏโชว์ ส่งผลให้ใบหน้าเฉี่ยวหวานเผยรอยยิ้มในรอบวัน
“แม่โทรมาเหรอ”
“อือ” เธอตอบน้องชายแล้วจึงกดรับสายทันที “ค่ะแม่”
(ทำไรกันอยู่แพร แล้วนี่อยู่ด้วยกันรึเปล่า)
“ค่ะ พีทอยู่ด้วย” เธอตอบกลับพร้อมเงยหน้าไปมองเจ้าของชื่อที่ยืนหน้าไม่รับแขกเท่าไรนัก
(ดี ๆ แม่จะได้ไม่ต้องห่วงว่าแพรอยู่ห้องคนเดียว ยิ่งอพาร์ตเมนต์อยู่ท้ายซอยอยู่ด้วย)
“แม่ไม่ต้องห่วง แพรดูแลตัวเองได้...แล้วพีพีล่ะแม่ เข้านอนยัง”
(เพิ่งหลับไปเมื่อกี้เอง นอนรอแพรอยู่นาน จนเผลอหลับไปซะก่อน)
ประโยคบอกเล่าจากมารดาเรียกรอยยิ้มให้แพร์พีญาได้อีกครั้ง “พีพีอยู่กับแม่กวนบ้างไหม”
(ไม่เลยแพร พีพีเลี้ยงง่ายกินง่ายเหมือนกับแพรตอนเด็ก ๆ เลย)
“แพรไม่อยากห่างพีพีเลย แต่แพรต้องรีบหาเงิน ไม่อยากทิ้งพีพีไว้ที่ห้องคนเดียวมันอันตราย” ยิ่งนึกถึงเหตุผลที่ต้องส่งพีพีไปฝากไว้กับอรณีมารดาของเธอ แล้วความเครียดแล่นเข้ามาในหัวใหม่อีกรอบ
(อย่าคิดมาก หลานอยู่กับแม่น่ะดีที่สุดแล้ว)
“งั้นแพรไม่กวนแม่แล้วดีกว่า แม่พักผ่อนเถอะ” เธอสลัดความคิดทิ้งแล้วปรับเสียงให้ปกติ ก่อนจะเป็นฝ่ายตัดสายเอง
“พีพีหลับแล้วเหรอ” พีรภัทรยืนฟังตั้งแต่ต้น พอจะรับรู้อารมณ์ของพี่สาวได้เป็นอย่างดี
“อือ”
“แล้วนี่พี่แพรจะเอาไงต่อ”
“พรุ่งนี้พี่จะไปคุยกับพี่หมอดูว่าจะยื้อค่ารักษาได้นานแค่ไหน”
“ให้ผมออกจากเรียนก็จบเรื่อง”
“ไปอาบน้ำก่อนนะ” แพร์พีญาตัดบทเดินหนีเข้าห้องน้ำแทนการตอบโต้ ยังไงเธอต้องรักษาสภาพคล่องของครอบครัวไว้ให้ได้
“พี่แพรจะแบกไว้คนเดียวทำไม ยังไงชีวิตพีพีก็สำคัญกว่าอนาคตผมอยู่แล้ว” พีรภัทรตะโกนกลับไปทันที “ผมจะลาออก!” ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังและไม่มีทางเปลี่ยนใจอีกเด็ดขาด
เช้าวันต่อมา
ร่างบางก้าวเท้าลงจากรถเมล์ประจำทางพร้อมกับปิ่นโตในมือ แล้วรีบย่างกรายเข้าด้านในโรงพยาบาลตามที่โทรนัดไว้ก่อนจะมาที่นี่
แพร์พีญากึ่งเดินกึ่งวิ่งเมื่อเห็นว่าประตูลิฟต์กำลังจะปิด
ทว่า...
ครืดดด ครืดดด
เสียงโทรศัพท์มือถือส่งผลให้เธอรีบกดรับสาย “ว่าไงคะ”
“รอด้วยค่ะ!” ก่อนจะตะโกนให้คนในลิฟต์กดรอ
บานประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง ทำเอาขาเรียวยาวหยุดชะงักอยู่กับที่
(แพร! มีไรรึเปล่า) ปลายสายถามด้วยความเป็นห่วงที่จู่ ๆ แพร์พีญาเงียบไป
“เอ่อ...เปล่าค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะพี่หมอ”
ริมฝีปากเผยอเอ่ยตอบปลายสาย ส่วนมือบางเลื่อนกดวาง แต่สายตากลับจับจ้องนัยน์ตาสีนิลตรงหน้าคู่นั้น
ทุกอย่างที่เห็นเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน แววตาที่ได้สัมผัสดูโหดเหี้ยมและดุร้าย ยิ่งสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีดำยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขาม มือหนาที่โผล่จากแขนเสื้อเต็มไปด้วยรอยสัก ต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่มีลวดลายให้เห็นบนผิวหนัง
สุดท้ายแพร์พีญาเลือกที่จะหมุนตัวถอยหลังเพื่อเปลี่ยนทิศทางในการขึ้นไปชั้นบนแทน
จะว่าเธอขี้ขลาดก็ได้ เธอไม่มีอะไรจะเถียง
“อ้าววว น้องแพรจะขึ้นไปหาคุณหมอติณณ์เหรอคะ” โอปอ...พยาบาลสาวเข้ามาทักทายแพร์พีญาที่คุ้นเคยกันดีเนื่องจากมาให้เห็นหน้าอยู่บ่อย ๆ
“ใช่ค่ะ” เธอตอบกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไปค่ะ เข้าลิฟต์กัน”
แพร์พีญายิ้มจาง ๆ มุมปาก เมื่อสถานการณ์บังคับให้เธอเข้าไปในลิฟต์ที่มีใครอีกคนยืนอยู่ เขาเบี่ยงหน้าไปทางอื่น กลายกับเธอและพยาบาลสาวเป็นเพียงธาตุอากาศ
“ขอบคุณค่ะ” โอปอหันไปเอ่ยกับร่างสูง ก่อนจะเอื้อมมือไปกดลิฟต์ชั้นของตัวเองและกดให้แพร์พีญาด้วย
“เอ่อ...พี่โอปอไม่ไปชั้นเดียวกันกับแพรเหรอคะ”
“ไม่จ้ะ พี่ต้องไปเข้าเวรน่ะ”
“...” แพร์พีญารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันทีเมื่อรู้ว่าหลังจากนี้ต้องอยู่ในลิฟต์ต่อกับคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในชีวิต
“อิจฉาคุณหมอติณณ์จัง มีแฟนทั้งสวยทั้งน่ารักแถมยังเอาใจเก่งอีก ดูสิอุตส่าห์ทำกับข้าวมาส่งด้วย” โอปอก้มมองปิ่นโตด้วยรอยยิ้ม
“...” ทุกประโยคเข้าไปในระบบการได้ยินของร่างสูงที่ยืนอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ถึงจะไม่อยากรับรู้แต่ก็เลือกที่ออกจากจุดนั่นไม่ได้
แพร์พีญายิ้มตอบไม่คิดจะปฏิเสธกับสิ่งที่โอปอกล่าวออกมา
กระทั่งสัญญาณเตือนของลิฟต์ดังขึ้น
“พี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกันจ้า” ก่อนที่โอปอจะออกจากลิฟต์เป็นคนแรก
ส่งผลให้ภายในลิฟต์มีแต่ความเงียบงันทันตาเห็น เขาไม่พูด เธอไม่พูด
แต่คงจะดีที่สุดแล้วล่ะที่เป็นแบบนี้
มือบางกำหูหิ้วปิ่นโตแน่น จนเหงื่อในมือเริ่มชื้น ‘ถึงสักทีสิ’ ได้แต่บอกตัวเองในใจเพราะอยากออกจากสถานการณ์อึดอัดตรงนี้สักที
ติ้ง!
ในที่สุดเสียงสวรรค์ก็ดังจนได้ ทันทีที่บานประตูลิฟต์เปิดออก ร่างบางไม่รอช้าก้าวเท้าออกไปแบบไม่รีรอ
โดยไม่รู้เลยว่าร่างสูงใหญ่จับจ้องไม่วางตากับกิริยาท่าทีพวกนั้น ทว่าในแววตาฉายเพียงความว่างเปล่าก็เท่านั้น ในเมื่อเดินคนละทาง เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ต่างคนต่างมีชีวิต เขาจึงไม่จำเป็นต้องแหยเส
.
.
สองขาหยุดชะงักนิ่ง แม้จะยกขาก้าวใหม่ก็แทบจะไม่มีแรง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความเจ็บยังคงเหมือนเดิมและเมื่อเห็นหน้าเขาความรู้สึกมันมากมายกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ไม่ได้เจ็บเพราะรัก...แต่เจ็บที่ชีวิตต้องพังทลายเพราะน้ำมือใครบางคน
“แพร”
“...” เจ้าของชื่อยังคงยืนนิ่ง พิงพนังกำแพงอย่างอ่อนล้า
“แพร!!”
“คะ!?” เสียงเอ่ยเรียกซ้ำสองที่ดังพอจะทำให้แพร์พีญาหลุดจากภวังค์ เธอเหลียวหน้าไปมองร่างสูงของคุณหมอตาตี๋
“เป็นไร พี่เรียกเราไม่ได้ยินเหรอ แล้วทำไมหน้าซีด ๆ” ติณณภพหรือหมอติณณ์เอื้อมมือไปจับไหล่มนให้หันมาเผชิญหน้าชัด ๆ
“เปล่าค่ะ แค่อากาศร้อน” ร่างบางตอบกลับด้วยรอยยิ้ม พยายามกลบเกลื่อนสีหน้าให้กลับมาเหมือนเดิม
“งั้นเข้าไปนั่งพักในห้องพี่ก่อนไป” เขารับปิ่นโตจากมือบางทันที ก่อนจะเดินนำหน้าไปยังห้องพักส่วนตัว