บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 9 ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ 2

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ฝูซินส่งสัญญาณให้นางกำนัลคนสนิทเงียบปากจากนั้นจึงลุกขึ้น หันไปก้มศีรษะขออภัยผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน ไม่ทราบว่าโต๊ะหินนี้เป็นของท่าน”

“บังอาจเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์องค์หญิงจื้อหรูอย่างนั้นหรือ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง”

ฝูซินเงยหน้าขึ้น ใบหน้างดงามบริสุทธิ์ปรากฏในครรลองสายตา ผู้มาเยือนช่างเป็นหญิงงามที่หาตัวจับได้ยากอีกแล้ว

ดวงตาเรียวรีที่เฉียงขึ้นเล็กน้อยถูกตกแต่งอย่างดงาม จมูกได้รูป ริมฝีปากอิ่ม เอวเล็กคอดกิ่ว แม้จะผอมบางไปบ้างทว่ากลับงดงามเย้ายวน แววตาที่มองฝูซินมิได้เป็นมิตร แต่ก็มิได้เป็นศัตรู บริวารของนางสองคน คนหนึ่งคือคนที่ตวาดใส่ฝูซินซึ่งสวมอาภรณ์แตกต่างจากนางกำนัลทั่วไป คลับคล้ายว่าเป็นนางกำนัลตำแหน่งเจียเหรินจื่อ[ เป็นสตรีที่ถูกคัดเลือกจากหวงไท่โฮ่วเพื่อเข้ามาอยู่ในวังจากครอบครัวที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน มีระดับขั้นสูงกว่านางกำนัลทั่วไป และมีสิทธิ์ถวายตัวแก่องค์จักรพรรดิ

]ที่ถูกคัดเลือกเข้าวังมา อีกคนเป็นนางกำนัลระดับล่างซึ่งมิได้แสดงท่าทีอวดเบ่งอันใด ในมือถือร่มคันเล็กที่กางไว้ให้องค์หญิงของนาง ไม่ไกลนักมีขันทีและนางกำนัลอีกสามสี่คนยืนรอคำสั่ง

ฝูซินถือว่าตนเองเป็นแขกผู้มาเยือน นางยังมิทราบว่าผู้ใดมีตำแหน่งสำคัญอย่างไรในวังหลวงต้าฉินแห่งนี้ ข่าวกรองที่ถูกส่งไปยังแคว้นเว่ยไม่อาจยืนยันได้ว่าสิ่งใดจริง สิ่งดใดเท็จ ดังนั้นนางจึงอาศัยโอกาสนี้ในการลอบสังเกตการณ์สักหน่อย เห็นท่าทางของนางข้าหลวงรับใช้ ก็พอจะคาดเดาความสำคัญขององค์หญิงจื้อหรูได้บางส่วนแล้ว

“หม่อมฉันขออภัยเพคะ” ฝูซินดึงชายเสื้อของเสี่ยวหลันที่กำลังจะอ้าปากพูด หลิ่วตาให้นางกำนัลคนสนิทเงียบเสียง

“เช็ดให้สะอาด”

“อะไรนะ” เสี่ยวหลันถามเสียงหลง แต่เมื่อสบตากับฝูซินนางก็ต้องก้มหน้างุด

นางข้าหลวงนางนั้นเชิดหน้าขึ้น “เช็ดเก้าอี้และโต๊ะหินให้สะอาด องค์หญิงจื้อหรูจะประทับบนโต๊ะหินที่เปรอะเปื้อนคราบสกปรกจากเจ้าได้อย่างไร”

หางตาของฝูซินกระตุก ดึงชายเสื้อมิให้เสี่ยวหลันปากมาก หันไปยิ้มแห้งแล้งให้กับนางข้าหลวงนางนั้น “แต่ข้าไม่มีผ้าสะอาดนี่สิเจ้าคะ”

“พี่เจียงรุ่ย ไม่ต้องลำบากหรอก ข้าไม่เป็นไร อย่างมากก็อาจผื่นขึ้นเล็กน้อย” น้ำเสียงใสกังวานกล่าวกับข้าหลวงคนสนิทอย่างไม่ถือสา มุมปากขององค์หญิงจื้อหรูประดับรอยยิ้มอ่อนหวานชวนเอ็นดู

นางข้าหลวงกุมมือองค์หญิงของตน หันมาตวาดใส่ฝูซิน “ข้าบอกให้เช็ดให้สะอาด พระวรกายองค์หญิงของข้าบอบบาง จะให้นั่งลงได้อย่างไร”

“อา…เช่นนั้นเชิญเสด็จกลับตำหนักก่อนดีหรือไม่เพคะองค์หญิง” ฝูซินกล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจ ป้องสายตามองไปยังดวงอาทิตย์ที่สาดแสงจ้าแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ทอดพระเนตรสิเพคะ แสงแดดแรงเยี่ยงนี้ ระวังใบหน้าจะคล้ำแบบหม่อมฉัน องค์หญิงผิวพรรณผุดผ่องกระจ่างใส อย่าทรงทรมานตัวเองเลยเพคะ”

องค์หญิงจื้อหรูชะงักรอยยิ้ม หันไปมองหน้านางข้าหลวงด้วยสายตาลังเล “พี่เจียงรุ่ย”

“องค์หญิงเพคะ นางคนนี้จะหาข้ออ้างไล่พระองค์กลับตำหนักนะเพคะ”

“มิทราบนายหญิงเจียงรุ่ยเป็นนางข้าหลวงประสาอะไร องค์หญิงของท่านร่างกายบอบบางยังพาออกมาตากแดดตากลม หรือว่าอยากให้...อุ๊บ!”

“เสี่ยวหลัน!” ฝูซินอุดปากเสี่ยวหลัน

“ขอประทานอภัยเพคะ ลูกน้องหม่อมฉันปากไม่ค่อยดี”

“บังอาจกล่าววาจาสามหาวต่อหน้าพระพักตร์องค์หญิงจื้อหรูรึ ไม่รู้หรือว่าองค์หญิงของข้าสำคัญอย่างไร” นางข้าหลวงผู้นี้อวดเบ่งเกินไปแล้ว เสี่ยวหลันแทบจะทานทนไม่ไหว มือไม้สั่นระริก

ฝูซินสูดลมหายใจลึกๆ ชักสงสัยว่าสตรีในวังหลวงแห่งต้าฉินเหตุใดจึงชอบวางอำนาจถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีหรืออย่างไร ครั้นตวัดสายตาคมปลาบใส่นางข้าหลวงเจียงลุ่ย อีกฝ่ายก็พลันชะงักทั้งสีหน้ายังเผือดสีอยู่ในที

“จะ…เจ้าบังอาจมองข้าด้วยสายตาแบบนี้!”

“พี่เจียงรุ่ย สำรวมกิริยาด้วย” องค์หญิงจื้อหรูเตือนสติข้าหลวงคนสนิท

“ขันที! จับตัวหญิงปากดีสองคนนี้ไว้!” เจียงรุ่ยตกใจจนมิอาจควบคุมสติได้ หันไปสั่งคนด้านหลังด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

หางตาของฝูซินเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง จึงสงบสติอารมณ์แล้วกล่าวเสียงเรียบ “นางข้าหลวงเจียงรุ่ย เป็นท่านที่วางอำนาจเหนือนายตัวเอง องค์หญิงของท่านสั่งอะไร เหตุใดจึงไม่ฟัง”

“หุบปากบัดเดี๋ยวนี้ ข้าเป็นพี่สาวของนาง ไฉนจึงไม่มีสิทธิ์”

“จุ๊ๆ คนหนึ่งเป็นถึงองค์หญิงบรรดาศักดิ์ อีกคนเป็นถึงเจียเหรินจื่อ กลับแสดงกิริยาต่ำทรามต่อหน้าคนในวังหลวง มิอับอายขายหน้าไปถึงพระเนตรพระกรรณหวงไท่โฮ่วหรอกรึ”

ผู้มาเยือนทรงเครื่องแต่งกายประจำฤดูหนาวเต็มยศ อาภรณ์ประณีตสีเขียวอ่อนสวมทับด้วยเสื้อคลุมขนเตียวขาว บนศีรษะประดับปู้เหยาและปิ่นหงส์ทองอันวิจิตร ดวงหน้าที่งดงามตามวัยปรากฏรอยยิ้มบางๆ ด้านหลังคือนางข้าหลวงสองคน ตามด้วยนางกำนัลและขันทีขบวนหนึ่ง

องค์หญิงจื้อหรูหน้าเผือดสี รีบถอยหลังแล้วก้มศีรษะคารวะผู้มาใหม่ในทันที

“ซ่างกวนเจี๋ยอวี๋[ ตำแหน่งขั้นสอง พระอัครเทวีในองค์จักรพรรดิ ตำแหน่งเทียบเท่าเสนาบดีอาวุโสและเทียบเท่าบรรดาศักดิ์ขั้นที่ยี่สิบ เลี่ยโหว, เจี๋ยอวี๋ หมายถึง หญิงงามผู้ได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิ] เสด็จมาถึงที่นี่เลยหรือเพคะ”

ซ่างกวนเจี๋ยอวี๋อมยิ้ม ปรายตามองเจียงรุ่ยที่รีบก้มหน้าหลบตา กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฝ่าบาทไม่พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เจ้า เพราะนิสัยใจร้อนวู่วามเช่นนี้จะทำให้อยู่ในวังหลวงได้ยากลำบาก แต่ถึงกระนั้นเพียงแค่ตำแหน่งเจียเหรินจื่อก็ยังสามารถใช้รังแกผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ ช่างน่าอับอายแทนหวงไท่โฮ่วนัก”

“หม่อมฉันมิได้ทำอะไรผิดนะเพคะ เป็นนางคนนี้ทำโต๊ะหินอ่อนเปรอะเปื้อน หม่อมฉันเกรงว่าองค์หญิงจะประชวรเพราะสิ่งสกปรก จึงสั่งให้นางทั้งสองทำความสะอาดเพคะ”

ซ่างกวนเจี๋ยอวี๋กระตุกยิ้ม สาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้น สบตากับฝูซินแวบหนึ่ง ผงกศีรษะให้นางน้อยๆ

“เห็นทีคอเจ้าคงเชิดขึ้นฟ้าได้เพียงอย่างเดียวกระมัง”

เจียงรุ่ยคุกเข่า ส่ายหน้าอย่างรุนแรง “มิใช่เพคะ เจียงรุ่ยไหนเลยจะกล้าวางอำนาจ เพียงเพราะเห็นแก่องค์หญิงจื้อหรูผู้เป็นน้องสาวจะไม่สบายแค่นั้นเพคะ”

“อย่างนั้นรึ…อืม พวกเจ้าคงหมกตัวอยู่แต่ในตำหนักจื้อหย่วนและตำหนักเหลียนกงมากเกินไป จนไม่รู้ว่าสตรีที่เจ้ากำลังข่มเหงผู้นี้คือใคร”

องค์หญิงจื้อหรูเลิกคิ้ว มองฝูซินและเสี่ยวหลันสลับกับซ่างกวนเจี๋ยอวี๋ “หมายความว่าอย่างไรเพคะ”

ซ่างกวนเจี๋ยอวี๋กลับก้มศีรษะให้ฝูซินแทนคำตอบ กล่าวกับฝูซินด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง “หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยเพคะ องค์หญิงจื้อหรูและเจียงรุ่ยหนี่กวน[ ข้าราชสำนักหญิง หรือนางข้าหลวงหญิงที่คอยรับใช้สตรีฝ่ายใน

] ไม่ทราบมาก่อนว่าองค์หญิงเป็นใคร”

เสี่ยวหลันถูกฝูซินปลดบังเหียน รีบออกหน้าแทนนายของตนในทันที

“ขอบพระทัยซ่างกวนเจี๋ยอวี๋ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยองค์หญิงของหม่อมฉันเพคะ องค์หญิงเป็นคนต่างแคว้น จึงไม่อยากเสียมารยาท ทว่าหม่อมฉันไม่อาจทนได้จนต้องออกปากตักเตือนนางข้าหลวงเจียงรุ่ยสักประโยค” เสี่ยวหลันชิงออกหน้า บีบน้ำตาเรียกความสงสาร

ฝูซินกลั้นหัวเราะแทบตาย หมายจะเรียกเสี่ยวหลันกลับ ทว่านางกำนัลของนางกลับคุกเข่าอยู่ข้างกายซ่างกวนเจี๋ยอวี๋แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออีกครั้ง “ขอพระสนมโปรดทรงให้ความเป็นธรรมแก่นายของหม่อมฉันด้วยเพคะ”

“พระสนม…นางผู้นี้คือ” องค์หญิงจื้อหรูถามด้วยความสงสัย

“นางเป็นน้องสาวของเว่ยหวางฝูเจี้ยน องค์หญิงห้าแห่งแคว้นเว่ย...

ฝูซิน จะพูดให้ถูกก็คือ ตอนนี้นางอยู่ในฐานะว่าที่หวงไท่จื่อเฟยของฉงเยว่ไท่จื่อ”

ฝูซินยิ้มบางๆ ทว่าทันใดนั้นกลับสะดุดกับคำพูดของซ่างกวนเจี๋ยอวี๋ “เดี๋ยวนะ ว่าที่หวงไท่จื่อเฟยอะไรกัน”

ซ่างกวนเจี๋ยอวี่ยกมือป้องปาก กล่าวกับฝูซิน “อา…เมื่อเช้าข้าเข้าเฝ้าหวงไท่โฮ่ว ไท่จื่อทรงขอร้องให้หวงไท่โฮ่วเป็นแม่สื่อให้กับพระองค์และท่านน่ะสิ”

ความรื่นรมย์ในแววตาแปรเปลี่ยนเป็นริ้วโทสะ ฝูซินใบหน้าแข็งค้าง นึกสาปแช่งจื่อเว่ยในใจ แต่เบื้องหน้ากลับยิ้มแห้งๆ ให้ซ่างกวนเจี๋ยอวี๋แล้วเบี่ยงประเด็น “เอ่อ…เจียงรุ่ยหนี่กวนบอกให้ข้าเช็ดถูโต๊ะหินตัวนี้ ไม่ทราบว่าพระสนมพอจะมีผ้าสะอาดให้ข้าสักผืนหรือไม่”

“องค์หญิง” ซ่างกวนเจี๋ยอวี๋มองนางด้วยสายตางุนงง

ฝูซินหัวเราะแห้งๆ “ข้าล้อท่านเล่นน่ะ จริงสิ บังเอิญนึกได้ว่ามีนัดหมายกับน้องสาว ขอตัวก่อนนะพระสนม องค์หญิงจื้อหรู เสี่ยวหลันกลับ”

ฝูซินเดินลิ่วออกมาโดยไม่สนใจมารยาทขั้นพื้นฐานต่อหน้าใครทั้งสิ้น นางตกใจเกินกว่าจะคิดอะไรออกแล้ว คราแรกคิดว่าจื่อเว่ยจะพูดกระเซ้าเย้าแหย่นางเล่นๆ ใครจะคาดคิดว่าเขาจะแจ้งความต้องการต่อหวงไท่โฮ่วไปแล้ว เรื่องนี้นางต้องรีบกลับไปคิดแผนการรับมือขั้นต่อไป มาอยู่ที่ต้าฉินไม่กี่วันนางสร้างเรื่องไว้กับองค์หญิงไปแล้วสองพระองค์ หากนับองค์หญิงบรรดาศักดิ์อย่างองค์หญิงจื้อหรูก็รวมเป็นสาม

นับว่าทำผลงานได้ยอดเยี่ยม…ยอดเยี่ยมบัดซบ

ด้วยศักดิ์ฐานะของฝูซิน หากไล่ลำดับจริงๆ แล้ว นางมีตำแหน่งในแคว้นเว่ยไม่ต่างจากผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของแคว้น นั่นเพราะชาติกำเนิดและรอยสักที่เว่ยหวางพระราชทานให้นาง คือการระบุตำแหน่งระดับสูงของแคว้นกลายๆ น่าเสียดายนักที่นางเกิดเป็นหญิง ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หากเสด็จพี่ของนางที่นั่งในตำแหน่งเว่ยหวางเป็นอะไรไป นางจะกลายเป็นผู้สำเร็จราชการแทนในทันที ฐานะของนางในใจแคว้นอื่นจึงต่ำกว่าไท่จื่อแห่งต้าฉินแค่ขั้นเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะหากพ่วงด้วยอำนาจทางการทหารที่สามารถสั่งการเคลื่อนกำลังพลจำนวนห้าสิบหมื่นนายโดยที่ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากเว่ยหวาง จะให้นางเคลื่อนพลเข้าโจมตีต้าฉินก็ยังได้ ด้วยเหตุนี้ ตอนที่เว่ยหวางฝูเจี้ยนเสด็จกลับไป องค์จักรพรรดิกลับไม่ทรงบังคับกะเกณฑ์จื่อเว่ยอีก รวมไปถึงหลังจากที่องค์หญิงทั้งสองเสด็จมาที่ตำหนักจื่อเยว่ครั้งล่าสุด พวกนางก็ไม่เคยเข้ามาระรานฝูซินอีกเลย

เพราะเขามีสหายเป็นถึงผู้นำแคว้น สตรีที่เลือกมาอยู่ข้างกายมีฐานอำนาจทางการทหาร คลื่นใต้น้ำของราชสำนักต้าฉินจึงกลับสู่ความสงบชั่วคราว

ที่จริงเรื่องที่นางมีอำนาจในการสั่งการทางทหาร มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบ ทว่าจากสายตาและท่าทางของสนมคนโปรดขององค์จักรพรรดิมีต่อนาง แสดงให้เห็นว่าตอนนี้มีหลายฝ่ายกำลังใช้นางเพื่อฟาดฟันกับผู้อื่น

อย่างน้อยก็ตัดกำลังองค์หญิงรองและองค์หญิงแปดไปได้

หญิงสาวก้าวเท้าเร็วๆ เพื่อกลับตำหนักจื่อเยว่ แหงนมองพระอาทิตย์ที่เริ่มเคลื่อนมาตั้งฉาก พลันตระหนักได้ถึงคมหอกแหลมๆ ที่อาจโผล่มาได้ทุกทิศทาง

ความสงสัยในใจกลับก่อกวนจนจิตใจไม่สงบ

จื่อเว่ยต้องการอะไรกันแน่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel