บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 8 ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ 1

“ตระเตรียมงานไปถึงไหนแล้ว”

ร่างสูงใหญ่ที่อยู่บนบัลลังก์มังกรอันวิจิตรตรัสถามด้วยสุรเสียงเคร่งขรึมจริงจัง พระเนตรดุดันกวาดมองขุนนางนับร้อยที่หมอบกราบเพื่อถวายฎีกาเบื้องล่าง ในพระหัตถ์ของพระองค์คือม้วนรายงานการเก็บเกี่ยวของปีนี้ ซึ่งลงรายละเอียดพืชผลและภาษีที่ต้องเก็บจากราษฎร แม้อากัปกิริยาขององค์จักรพรรดิแห่งต้าฉินจะมิได้แสดงถึงความพิโรธ แต่เหล่าขุนนางทั้งหลายกลับไม่กล้าสบพระพักตร์

“ทูลฝ่าบาท เรื่องอาหารการกินมิได้ขาดตกบกพร่องพ่ะย่ะค่ะ ทว่าฝ่ายราชองครักษ์ยังมิได้ส่งรายชื่อองครักษ์ทั้งหมดมาที่กรมพิธีการ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ในสองวันก่อนจึงทำให้ลูกหลานขุนนางส่วนหนึ่งรักตัวกลัวตายจนไม่กล้าอาสารับงานนี้พ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมพิธีการทูลถวายรายงานด้วยน้ำเสียงกังวานแฝงคำเหน็บแนมเล็กน้อยไปยังกองราชองครักษ์

“ทูลฝ่าบาท เนื่องจากสองวันก่อนองครักษ์จำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ จึงต้องทำการคัดเลือกอย่างละเอียดรอบคอบ ที่จริงแล้วไท่จื่อทรงเป็นผู้จัดการเรื่องนี่พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าราชองครักษ์โยนเรื่องให้จื่อเว่ยที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้

“ที่จริงใต้เท้าหัวหน้าราชองครักษ์สมควรรับผิดชอบมิใช่หรือ”

“แต่ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จคือไท่จื่อ”

“พวกเจ้าหยุดเถียงกันเสียที ไท่จื่อรายงานเรามาแล้ว”

สิ้นสุรเสียงติดรำคาญน้อยๆ ขององค์จักรพรรดิ ขุนนางทั้งสองก็หุบปากฉับ สองคนนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไรจนข้าราชการน้อยใหญ่ต่างก็รู้ซึ้งเป็นอย่างดี ทว่ามีดีที่เป็นพระญาติขององค์หญิงรองและองค์หญิงแปด ผลจึงทำให้องค์จักรพรรดิทรงแสร้งหลับพระเนตรข้างหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ

“ฝ่าบาท รายชื่อสมควรจะส่งมาที่กรมพิธีการก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นเพราะกรมพิธีการเข้ามาแทรกแซงการทำงานของกองราชองครักษ์จนทำให้ไท่จื่อเกือบถูกลอบปลงพระชนม์มิใช่รึ ใต้เท้าจาง”

ใต้เท้าจางเสนาบดีเจ้ากรมพิธีการสะดุ้งน้อยๆ หันไปทูลจักรพรรดิด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก “กระหม่อมเพียงแต่ไม่อยากให้การยืนตำแหน่งของเหล่าองครักษ์ บดบังทัศนียภาพในวันงานเฉลิมฉลองพ่ะย่ะค่ะ”

“ความจริงเรื่องนี้หากไท่จื่อทรงเป็นอะไรไป ใต้เท้าจางคงมิอาจรับผิดชอบไหว” ใต้เท้าหานหัวหน้าราชองครักษ์กล่าวสำทับ

“ไม่ต้องเถียงกัน เราจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง ครั้งนี้หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา เราจะสั่งประหารพวกเจ้าทั้งตระกูล”

“ฝะ…ฝ่าบาท!” สองขุนนางใหญ่ทรุดลงเบื้องหน้าพระพักตร์ ก้มศีรษะด้วยความหวาดหวั่น

องค์จักรพรรดิทรงโยนฎีกาลงพื้นต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย มิได้ใส่พระทัยเรื่องเมื่อครู่อีก พระเนตรคมกริบมุ่งไปยังร่างอ้วนฉุในชุดขุนนางปักลายนกกระเรียน

เริ่มลงดาบคนต่อไป

“จ้าวเหวิ่นหง รายงานภาษีครั้งนี้มีอะไรผิดพลาดรู้หรือไม่”

เสนาบดีกรมคลังจ้าวเหวิ่นหงตัวสั่นงันงก กล่าวละล่ำละลัก “ขะ…ข้าวในยุ้งฉางหลวงหายไปสองร้อยกระสอบพ่ะย่ะค่ะ”

“หายไปได้อย่างไร”

“ระ…เรื่องนี้กระหม่อมจะทำการตรวจสอบให้รวดเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

“สืบให้ได้ภายในหนึ่งเดือน มิเช่นนั้นเราจะปลดเจ้าออกจากตำแหน่งแล้วยึดทรัพย์สินทั้งหมด”

“ขะ…ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ”

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สามคนถูกคิดบัญชี ที่เหลือจึงก้มศีรษะอย่างอกสั่นขวัญแขวน

“รอให้หลังงานเฉลิมฉลองเราจะตามคิดบัญชีพวกเจ้าที่เหลือ และหากงานเลี้ยงระหว่างสามอาณาจักรเกิดอะไรขึ้น เราจะคิดบัญชีพวกเจ้าทีเดียว เลิกประชุม”

ขุนนางที่หลั่งเหงื่อเย็นเต็มแผ่นหลังต่างก็ระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยก็มีเวลาให้หายใจหายคอคล่องขึ้น

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี”

หลังงานเฉลิมฉลองที่ฉงเยว่ไท่จื่อถูกลอบทำร้ายจนปั่นป่วน จักรพรรดิทรงมีพระบัญชาให้กองราชองครักษ์ปรับเปลี่ยนระบบใหม่ จากที่มีหัวหน้ากองราชองครักษ์เพียงคนเดียวที่ถือป้ายคำสั่งสูงสุด เปลี่ยนเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จถูกโอนย้ายไปยังจื่อเว่ยอีกที

นี่เป็นการเปิดโอกาสให้เขาควบคุมกำลังพลด้วยตนเองเป็นครั้งแรก เพื่อรักษาความปลอดภัยในงานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้นในอีกห้าหกวัน ช่วงนี้จึงทำให้จื่อเว่ยหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา นั่นทำให้ฝูซินมีโอกาสศึกษาภูมิศาสตร์ของวังหลวงต้าฉินด้วยตัวเอง

ผู้คนมักร่ำลือว่าองค์จักรพรรดิและไท่จื่อมักมีปากเสียงกันอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังกระทบมาถึงเหล่าข้าราชบริพารที่อยู่โดยรอบ บ้างก็ลอบใคร่ครวญว่าองค์จักรพรรดิอ่อนแอจนให้พระราชโอรสกดข่มได้ บ้างก็คิดว่าไท่จื่อคิดการใหญ่ ไม่นานต้องถูกองค์จักรพรรดิปลดจากตำแหน่งนี้อย่างแน่นอน

ทว่าท้ายที่สุดผ่านมาเป็นปี ก็ยังไร้วี่แววว่าองค์จักรพรรดิจะทรงมีราชโองการให้ปลดฉงเยว่ไท่จื่อ ปล่อยให้บรรดาขุนนางคอยเก้อ ไม่รู้จะโอนเอนไปทิศทางใดดี

ผู้คนในวังหลวงต่างก็เข้มงวดระมัดระวังอันตราย เรื่องความปลอดภัยสำหรับฝูซิน ราชสำนักต้าฉินอนุญาตให้นางมีเพียงองครักษ์ลับไม่เกินสิบนาย และทุกนายต้องรายงานตัวต่อองค์จักรพรรดิก่อนที่จะเข้ามาตำหนักใน จากนั้นจะให้ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาดูแลนางวันละสองคน ฝูซินมิได้เดือดร้อนเรื่องความปลอดภัย นอกจากนางเองที่รู้วรยุทธ์ นางกำนัลของนางทั้งสองคนก็รู้วรยุทธ์อยู่แล้ว องครักษ์ทั้งหมดจึงถูกโอนย้ายไปดูแลองค์หญิงเซวียนหลินที่อยู่จวนเซี่ยโหวเสียแปดคน

สภาพอากาศของต้าฉิน หิมะตกสองวันอากาศปลอดโปร่งอย่างต่ำห้าวัน วันนี้เมื่อหิมะบนพื้นละลาย นางจึงสบโอกาสออกมาชมทัศนียภาพในพระราชอุทยานชั้นในของวังหลวง ลอบฟังเหล่านางกำนัลเล่าเรื่องราวน่าตื่นเต้นในเมืองเฟิงหยาง รวมทั้งเรื่องที่บรรดาขันทีพูดถึงเหลาสุราแห่งหนึ่งซึ่งเปิดให้เหล่าคนหนุ่มสาวได้นัดพบกันโดยไม่ให้เกิดความเสื่อมเสีย เรื่องราวความรักของคนหนุ่มสาวที่บ้างสมหวัง บ้างผิดหวัง จนผู้คนต่างก็ขนานนามตำนานรักเหล่านั้นกันในชื่อ เรื่องเล่าของกล่องไม้ไผ่

หลังจากฟังเรื่องเล่าชวนฝันเสร็จ นางกำนัลและเหล่าขันทีก็พากันแยกย้ายไปทำงาน

ฝูซินพาเสี่ยวหลันเดินลัดเลาะผ่านทางเดินบนแผ่นหินทอดยาว ตลอดทางพบนางกำนัลและเหล่าขันทีบ้างประปราย นางสวมอาภรณ์สำหรับฝึกร่างกายในตอนเช้า ผมเผ้ารวบมวยขึ้นสูง ด้วยรูปร่างและท่าทางจึงดูคล้ายสตรีในกองราชองครักษ์หญิง นางกำนัลและขันทีหลายคนไม่รู้จักว่านางเป็นใครมาจากไหน จึงมิได้สนใจว่านางจะเดินเหินไปที่ใดบ้าง

ฝูซินเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เห็นว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วในอุทยานหลวงไม่ค่อยมีดอกไม้เบ่งบานเท่าใดนัก อย่างมากก็ดอกเหมยหลากสีที่ปลูกไว้ตรงบริเวณหนึ่ง นอกจากนั้นก็มีไม้ดอกที่นางไม่รู้จักประปราย ท้องฟ้าแจ่มใส ดวงอาทิตย์สาดแสงแรงในช่วงสาย หญิงสาวเลือกโต๊ะหินตัวหนึ่งใต้ต้นเหมย นั่งลงเท้าคางมองผู้คนสัญจรไปมา

“เสี่ยวหลัน นั่งลง”

เสี่ยวหลันสะดุ้ง คราแรกนางจะนั่งลงบนพื้น เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่ดีกระมังเพคะองค์หญิง”

ฝูซินตบเก้าอี้หิน พยักหน้าให้เสี่ยวหลันนั่งลง

นางกำนัลเสี่ยวหลันสีหน้าไม่สู้ดี กระนั้นแล้วก็ปฏิบัติตามอย่างมิอาจเลี่ยง ฝูซินยื่นหน้าเข้าใกล้กระซิบข้างใบหูนาง “เจ้านั่งนิ่งๆ คอยสังเกตว่าผู้ใดมาจากที่ใด กลิ่นกายของพวกนางเป็นอย่างไรด้วยล่ะ”

“เอ๊ะ องค์หญิง พระองค์ทรงคิดจะทำอะไรเพคะ” เสี่ยวหลันหน้าแตกตาตื่น ยิ่งเห็นแววตาเป็นประกายของนายสาวก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ

“เจ้าจำเสื้อคลุมตัวนั้นได้หรือไม่ ที่ข้าถามพวกเจ้าไป”

“จำได้เพคะ ที่ว่ากลิ่นเหมือนกลิ่นจากตัวองค์หญิง”

ฝูซินพยักหน้า “กลิ่นตัวข้าจะเหมือนกับผู้อื่นได้อย่างไร ข้าอยากรู้ว่ามีสตรีใดที่มีกลิ่นกายเหมือนข้าอีก”

เสี่ยวหลันมีสีหน้าลำบากใจ สักพักจึงเบิกตาโตราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “องค์หญิงเพคะ เมื่อวานหว่านเอ๋อร์บอกหม่อมฉัน…”

“ใครกันบังอาจมานั่งโต๊ะหินขององค์หญิงข้า!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel