บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 10 ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ 3

หลังจากสร้างเรื่องราวในพระราชอุทยานกับองค์หญิงจื้อหรู ฝูซินก็เอาแต่เก็บตัวในห้องที่ตำหนักจื่อเยว่ นอกจากส่งเสี่ยวหลันและหว่านเอ๋อร์ไปสืบข่าวคราวด้านนอก ก็มีเพียงส่งองครักษ์เข้าออกวังหลวงเพื่อติดต่อกับเซวียนหลินเท่านั้น น้องน้อยของนางสุขสบายดี เพียงแต่ช่วงนี้นางทะเลาะกับคุณชายเซี่ยจนเข้าหน้ากันไม่ติด ไม่ทราบเป็นเพราะสาเหตุใด ฝูซินคาดว่าน้องสาวของนางคงจะได้เพื่อนใหม่ในเร็ววันนี้

ฤดูหนาวในต้าฉินผ่านไปค่อนข้างรวดเร็ว เพียงห้าหกวันหิมะก็ละลายจนหมด กลายเป็นว่าใบไม้ผลิเตรียมตัวจะมาเยือนแล้ว

ในวันที่เจ็ดที่นางมาพำนักยังต้าฉิน ในที่สุดคนผู้นั้นก็มาถึงต้าฉินแล้วเช่นกัน

ขบวนทัพจำนวนสิบหมื่นนายยาตราเข้ามาหน้าประตูเมืองเฟิงหยางของต้าฉินเพื่อส่งเสด็จองค์ชายรองฉู่หนานกง ดูเอิกเกริกเกรียงไกรกว่าขบวนทัพห้าสิบหมื่นของแคว้นเว่ยนัก ฝูซินออกจากวังหลวง ปะปนไปกับชาวเมืองเฟิงหยาง นางอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยม มองไปยังขบวนทัพที่หยุดหน้าประตูเมือง อาชาศึกสีขาวบริสุทธิ์ค่อยๆ เหยาะย่างเข้ามาในครรลองสายตา อาภรณ์สีม่วงเข้มอันเป็นเอกลักษณ์พลันดึงดูดนัยน์ตาผู้คนมาแต่ไกล

คนหนึ่งใบหน้าสุขุมเย็นชา ดวงตาคมปลาบไร้รอยยิ้ม อีกคนใบหน้าหล่อเหลาแฝงความเย่อหยิ่งถือดี คนหนึ่งคือองค์ชายใหญ่ฉู่หนานหลาง อีกคนคือองค์ชายรองฉู่หนานกง

ฉู่หนานหลางคือจอมทัพแห่งแดนใต้ ศึกทางทะเลไม่มีผู้ใดสามารถกำราบเขาได้ ขณะเดียวกันก็ยังเชี่ยวชาญกลยุทธ์บนหลังม้าไม่แพ้เว่ยหวางฝูเจี้ยน ภายใต้ใบหน้าเย็นชาก็คือโฉมหน้าของเจ้ากลยุทธ์คนหนึ่งในแผ่นดิน ที่สามอาณาจักรยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากฉู่หนานหลางผู้นี้

ฝ่ายฉู่หนานกง องค์ชายรองที่ถือกำเนิดจากฉู่หวางเฟย แม้มิได้ดำรงตำแหน่งซื่อจื่อแห่งแคว้น แต่ก็มีหน้ามีตาไม่ต่างกันเท่าใดนัก ด้วยเพราะความสามารถในเชิงกลยุทธ์ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าองค์ชายใหญ่ สองปีก่อนศึกที่ปะทะกันระหว่างแคว้นเว่ยและแคว้นฉู่เพื่อแย่งชิงพื้นที่รอบทะเลสาบไท่หูจึงจบลงด้วยการทำสัญญาปกครองร่วมกัน

แม้ว่าสองแคว้นจะยอมสวามิภักดิ์ต่อต้าฉิน แต่ก็มิได้หมายความว่าจะสามารถลงรอยกันได้ เรื่องนี้แม้แต่แคว้นเล็กๆ แคว้นอื่นก็เข้าใจดี

“องค์หญิง พออกมาเช่นนี้ทำไมเพคะ ไหนว่าทรงตัดขาดกับเขาแล้ว”

หว่านเอ๋อร์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล นางกำนัลในชุดทะมัดทะแมงของชาวยุทธ์ต้องคอยยกพัดปิดบังใบหน้าของตนเพื่อมิให้ผู้อื่นจำได้ ขณะเดียวกันฝูซินก็สวมหมวกคลุมหน้าเพื่อปิดบังตัวตนเช่นกัน

องค์หญิงแห่งแคว้นเว่ยทอดสายตามองคนบนหลังอาชาที่เคลื่อนขบวนเข้าสู่เมืองเฟิงหยาง จวบจนกระทั่งลับสายตาแล้วจึงหันไปพูดกับนางกำนัลคนสนิท

“สหายไม่ได้พบกันนาน แม้จะตัดขาดแต่ก็ยังต้องพบหน้ากันอีกหลายปี ฉู่หนานกงไม่มีทางเลิกตอแยข้าแน่ๆ”

“องค์หญิงคิดจะทำอะไรเพคะ”

ฝูซินรอกระทั่งขบวนของแคว้นฉู่ลับตา นางถอดหมวกออก พินิจชาสีทองในถ้วยแล้วพึมพำเสียงแผ่ว “อยู่ในวังหลวง ผู้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง เจ้าก็รู้อยู่ว่าหลายฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวอะไรบ้าง อีกอย่างไท่จื่อของต้าฉินมีตำแหน่งไม่มั่นคง จื่อเว่ยประเดี๋ยวอยากได้อำนาจ ประเดี๋ยวอยากอยู่เฉย คาดเดาอารมณ์ไม่ออก ยิ่งเขาหายไปไม่แสดงความต้องการอะไรเช่นนี้ยิ่งน่ากลัว หากเราต้องการอยู่รอดให้ครบกำหนด และอยากสืบเสาะหาความจริงว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงถูกใส่ไคล้ การเลือกคบคนและการใช้คนจำเป็นอย่างยิ่ง”

“องค์หญิงจะทรงเปิดโอกาสให้องค์ชายหนานกงเข้าใกล้ดังเดิมหรือเพคะ”

ฝูซินสูดลมหายใจลึก ทอดสายตามองไปยังถนนหนทางเบื้องล่างที่กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง มองเห็นร้านขายซาลาเปาที่อยู่ติดกับร้านขายเนื้อหมู ถัดไปเป็นร้านขายผัก เต้าหู้ และโรงเตี๊ยมขนาดเล็ก พลันเอ่ยออกมาราวกับพบเห็นสัจธรรมของชีวิต

“ผู้คนผูกพันกันคล้ายกับใยแมงมุม แต่ละฝ่ายแม้ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงแต่ก็ถูกเชื่อมต่อด้วยตัวกลางหนึ่ง พ่อค้าเขียงหมูไม่ได้เกี่ยวข้องกับร้านขายผักโดยตรง แต่พวกเขากลับทำการค้ากับโรงเตี๊ยมและร้านขายซาลาเปาเหมือนกัน โรงเตี๊ยมและร้านขายซาลาเปา แม้แทบไม่เกี่ยวข้อง แต่ก็ต้องใช้วัตถุดิบจากร้านเดียวกันอย่างน้อยหนึ่งร้าน สายใยความสัมพันธ์ผูกโยงไปมา แม้ไม่เกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายก็เชื่อมกันโดยไม่รู้ตัว อำนาจในราชสำนักต้าฉินก็เช่นกัน แม้หลายฝ่ายจะไม่ถูกกัน แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน หากแต่มีหนึ่งคนที่เป็นคล้ายเชือกปลายที่ไม่มีเส้นอื่นมาผูกโยง ก็คือฉงเยว่ไท่จื่อ…ซึ่งเป็นไปไม่ได้”

หว่านเอ๋อร์ยิ่งฟังก็งุนงงเล็กน้อย รู้สึกว่ากำลังฟังองค์หญิงของนางกล่าวออกมาคนละภาษา

ฝูซินอมยิ้ม มิได้บังคับให้นางกำนัลคนสนิทเข้าใจ นางเพียงแต่พูดออกมาราวกับต้องการเรียบเรียงความคิดใหม่อีกครั้งเท่านั้น “มีเหมือนไม่มี จุดแข็งที่แท้จริงของเขาคือการรวบอำนาจจากแคว้นอื่นมาอยู่ในมือของตัวเอง คนผู้นี้สร้างความสัมพันธ์ไปทั่ว ข้าไม่เชื่อว่าจักรพรรดิจะทรงแต่งตั้งคนไม่ได้เรื่องขึ้นเป็นไท่จื่อ ไม่แน่ว่าหากเป็นไปตามที่ข้าคาดเดา อีกไม่นานอาจเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ขึ้นในวังหลวง”

หว่านเอ๋อร์เอามือป้องปาก อุทานด้วยความตกใจ “หรือว่า…”

“เจ้าไม่ต้องพูด รอดูต่อไปก็แล้วกัน”

“แต่องค์หญิงเพคะ พระองค์จะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องนะเพคะ”

ฝูซินเลิกคิ้ว เท้าคางมองหว่านเอ๋อร์ด้วยประกายตาลึกลับ “เรื่องนี้เป็นข้ากระโดดมาร่วมเอง ผู้อื่นคิดการณ์อย่างไรเราก็แค่หาทางเอาตัวรอดให้ได้ สำคัญที่สุดคือล้างมลทินให้เสด็จพ่อ”

“พระองค์ไม่ทรงมีใจให้กับไท่จื่อสักนิดเลยหรือเพคะ”

หว่านเอ๋อร์ถามพาซื่อ

ฝูซินส่ายหน้า จิบชาอย่างสบายอารมณ์ “ทำไมข้าต้องคิดมีใจให้เขาด้วยเล่า”

“แต่ไท่จื่อทรงมีใจให้พระองค์”

ฟังเช่นนี้ฝูซินก็หัวเราะร่วน “เจ้าคิดว่าเขามีใจให้ข้าจริงหรือ”

หว่านเอ๋อร์พยักหน้าเร็วๆ กล่าวเสียงเครียด “เจ้าของกลิ่นจากเสื้อคลุมในคืนนั้น ก็คือฉงเยว่ไท่จื่อนะเพคะ”

พรวด! ฝูซินสำลักชา ถลึงตาดุใส่นางกำนัลคนสนิท “จมูกเจ้าเพี้ยนไปแล้ว”

หว่านเอ๋อร์สายหน้าหวือ “ไม่หรอกเพคะ เป็นขององค์ไท่จื่อจริงๆ”

ครั้นได้รับคำยืนยัน ฝูซินก็พลันยิ้มไม่ออก ในใจเพียรปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าที่นางกำนัลของนางพูดมาล้วนเป็นเรื่องโกหกพกลม

ไม่ได้หรอก นางจะให้เรื่องของจื่อเว่ยมาทำให้แผนการล้างมลทินให้เสด็จพ่อล่มเป็นอันขาด อย่างน้อยก็ต้องเอาใจออกห่างให้มากที่สุด

นางกำหมัดแน่น เชิดหน้ามองฟ้า “วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางหลงกลของไท่จื่อเจ้าเล่ห์ผู้นั้นเป็นอันขาด อยู่ในดงสัตว์ร้ายเช่นนี้ เมื่อไรที่ปล่อยให้หัวใจมามีอำนาจเหนือสติ เมื่อนั้นก็ถึงคราวพ่ายแพ้ทั้งกระดาน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel