บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 ความริษยาของสตรีคือยาพิษ 2

“ปล่อยมือข้าก่อน” ฝูซินนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บจากแรงบีบของเขา

จื่อเว่ยปลดผ้าคลุมออกจากกาย โยนมันลงบนตั่งยาว จากนั้นจึงลากนางแล้วบังคับให้นอนบนตั่ง

“ข้ายังนอนไม่เต็มอิ่ม ไหนๆ ก็เป็นสหายกันแล้ว เช่นนั้นข้าก็ทำแบบที่ทำกับฝูเจี้ยนได้อย่างไม่ต้องกังวลน่ะสิ”

ฝูซินสะดุ้งน้อยๆ “ทำอะไร”

จื่อเว่ยผลักนางให้นอนลงก่อนจะโถมกายทาบทับแล้วพลิกกายไปนอนด้านข้าง หยิบผ้าห่มที่กองบนพื้นมาคลุมร่างของทั้งคู่ นอกจากมือที่โอบเอวของนางแน่น ใบหน้าแนบชิดกับศีรษะนาง ขาของเขายังกดทับขานางราวกับกอดหมอนข้าง

ฝูซินตัวแข็งทื่อ รู้สึกราวกับว่ากำลังจะเป็นไข้

“มีครั้งหนึ่งที่ข้ากับฝูเจี้ยนตกหน้าผา แต่โชคดีที่ร่างไปแขวนติดอยู่บนเถาวัลย์ เราสองคนห้อยโหนอยู่บนนั้นจนหมดแรง สุดท้ายก็ต้องนอนกอดกันแบบนี้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นในร่างกายให้กัน”

“แต่ที่นี่มีผ้าห่มตั้งมากมาย ท่านสามารถ”

เขาใช้ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะปากนางเบาๆ กล่าวกระซิบ “ชู่…อย่าพูดมาก แค่ออกไปรับหน้าเสด็จพี่รองก็ปวดหัวแทบระเบิดแล้ว ข้าอยากพักผ่อน”

“แต่ท่านมีเตียงของท่าน” นางกลอกตาใช้ความคิด ปกติเขาอยู่ได้อย่างไรโดยไม่มีคนนอนกอด หรือนอนกอดองครักษ์? หรือนอนกอดนางกำนัล?

“อย่าคิดเพ้อเจ้ออะไรเด็ดขาด” ลมหายใจของจื่อเว่ยเป่ารดใบหูนางจนต้องย่นคอ “ปกติข้านอนกอดหมอนข้าง”

“เช่นนั้นยิ่งสมควรให้ท่านไปนอนบนเตียง”

“หากเป็นเช่นนั้นแม้จะเป็นสหายแต่ข้าก็ไม่รับประกันว่านอกจากนอนแล้วจะไม่เกิดอะไรขึ้น” เขาตีรวน

ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในหัวของฝูซิน นางกัดริมฝีปาก กล่าวอย่างประดักประเดิด “ท่านทำเหมือนเด็กหนุ่มที่แอบชอบหญิงสาว ท่านชอบข้าหรือ”

จื่อเว่ยดีดตัวขึ้นนั่ง มองฝูซินที่นอนตัวแข็งด้วยสายตาแข็งกร้าว “ห้ามเจ้าพูดเช่นนี้อีก”

ฝูซินชะงัก พลันปั้นสีหน้าไม่ถูก มองสีหน้าทะมึนของเขาอย่างไม่เข้าใจ “ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ข้ามิได้ว่าอะไรนี่”

“ข้าขอสั่งให้เจ้าหุบปาก”

นางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ตั้งท่าจะลุกขึ้น ทว่าจื่อเว่ยกลับทิ้งตัวลงนอนแล้วกอดนางท่าเดิม

“มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ข้าหุบปาก”

“มิเช่นนั้นจะไม่ใช่แค่นอนหลับอย่างแน่นอน” เขากระซิบข้างหูนาง จงใจหายใจรดใบหูของนางอย่างชั่วช้า

ฝูซินย่นคอ คราวนี้นางตัวแข็งทื่อจริงๆ เริ่มสับสนว่าสรุปแล้วจื่อเว่ยกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ นางหันหลังให้เขา กลับถูกลำแขนแกร่งรัดร่างให้แนบชิดกับแผงอกกำยำ นั่นยิ่งทำให้นางร้อนวูบวาบราวกับเป็นไข้

“สวรรค์ ส่งข้าไปรบที่ไหนก็ได้ทีเถอะ” นางพูดกับตัวเองเสียงค่อย

“หากไม่หยุดพูด มือข้าจะเลื่อนขึ้นด้านบน”

ฝูซินกอดอกในทันใด ได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองในใจ

อดทนไว้…ตอนนี้นางยังต้องพึ่งพาคนผู้นี้

ธรรมเนียมแคว้นเว่ยที่ว่าสหายนอนร่วมกันได้นั้น แท้จริงแล้วใช่ว่าทุกคนจะสามารถนอนร่วมกันได้ หากผู้ใดผู้หนึ่งยินยอมให้อีกฝ่ายนอนข้างกาย นั่นหมายความว่าชั่วชีวิตนี่จะเป็นสหายกันไปจนตาย ไม่มีวันทรยศ

ที่ฝูซินยอมให้จื่อเว่ยนอนโอบกอดเช่นนี้ เป็นเพราะคำพูดที่เขากล่าวถึงฝูเจี้ยน เสด็จพี่ของนาง เขาจะไม่มีวันทรยศเว่ยหวางฝูเจี้ยนใช่หรือไม่

หลายปีก่อนครั้งที่ฝูเจี้ยนยังเป็นองค์ชาย คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนนั้นนางยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก แต่ครั้งที่อดีตเว่ยหวางเสด็จประพาสป่าทางทิศตะวันตกซึ่งมีเขตแดนติดกับต้าฉิน เสด็จพี่ของนางและองค์ชายของต้าฉินได้พลัดหลงไปในป่า ครานั้นต้องใช้กำลังพลตามหาทุกฝีก้าวในป่า รวมไปถึงหุบเหวลึกที่เบื้องล่างคือป่าทึบ ท้ายที่สุดก็พบเสด็จพี่ของนางและองค์ชายผู้นั้นนอนตัวสั่นอยู่บนเถาวัลย์

มิคาดว่าองค์ชายผู้นั้น บัดนี้กลับเป็นถึงองค์ไท่จื่อแห่งต้าฉิน ทั้งยังเป็นไท่จื่อที่ไร้ฐานอำนาจโดยสิ้นเชิง นั่นยิ่งทำให้นางอดตั้งคำถามในใจไม่ได้

จักรพรรดิแห่งต้าฉินคิดการณ์อย่างไรถึงยกตำแหน่งนี้ให้เขาแทนที่จะเป็นองค์ชายใหญ่ หรือว่ามีอะไรเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าที่นางรู้

หรือบางที...เขาอาจไม่ได้ไร้อำนาจอย่างที่ทุกคนเล่าลือกันมา

ความอบอุ่นจากร่างสูงใหญ่ที่โอบกอดนางไว้ ทำให้ฝูซินไม่อาจคลายความตึงเครียดของตนเองได้ นางคิดเรื่อยเปื่อย ไพล่ไปถึงเรื่องราวคลื่นใต้น้ำในวังหลวงของต้าฉินแห่งนี้ แม้มิใช่ทุกเรื่อง แต่ก็มีหลายเรื่องราวที่นางขบคิดจนคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้

จักรพรรดิมีแต่โอรส โอรสแต่ละองค์มีฐานอำนาจที่หยั่งรากลึกในวังหลวง ราชสำนักของต้าฉินแบ่งเป็นหลายฝ่าย องค์หญิงที่เป็นพระธิดาบุญธรรมทั้งหมดจะเป็นผู้กำหนดทิศทางในราชสำนัก หากนางคาดเดาไม่ผิด ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อวางแผนรวบอำนาจเข้าสู่พระหัตถ์ของผู้เป็นจักรพรรดิโดยชอบธรรม

การที่แต่งตั้งจื่อเว่ยเป็นไท่จื่อ คล้ายกลับเป็นการผลักเขาสู่ที่สว่าง เพื่อให้คมหอกคมดาบพุ่งเป้ามาที่เขา แต่ฝูซินยังไม่เข้าใจ เหตุใดคนจากจวนเซี่ยโหวมิได้ออกหน้าสนับสนุนเขา หรือเป็นเพราะหวงโฮ่วได้วางแผนอะไรไว้กันแน่

ที่จริงคนที่ควรขึ้นเป็นไท่จื่อควรเป็นองค์ชายใหญ่

สัมผัสจากฝ่ามือร้อนรุ่มเคลื่อนขึ้นสูง ปัดผ่านหนังตัดเย็บตรงหน้าอก บีบเคล้นความอ่อนนุ่มเบาๆ 

ฝูซินสูดลมหายใจเฮือก นางเบิกตาโพลง กระแทกฝ่ามือใส่มือมารที่บังอาจแตะต้องหน้าอกของนาง ก่อนจะบิดไพล่แล้วตวัดเรียวขากัดทับต้นคอของจื่อเว่ยอย่างรวดเร็ว

นางหอบหายใจ เค้นเสียงขู่เขา “อย่าบังอาจมาทำตัวรุ่มร่ามกับข้า”

“เจ้าบังอาจนัก!”

จื่อเว่ยลืมตาขึ้น นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ครั้นเห็นว่าเรียวขาของ

ฝูซินพาดอยู่บนลำคอของตนก็ดึงร่างของนางให้โน้มเข้าใกล้เพื่อให้แขนที่ถูกบิดไพล่หลุดพ้นจากพันธนาการ

“ท่านต่างหากที่บังอาจ บังอาจมาจับหน้าอกข้า ทั้งยัง…” ใบหน้าของนางเห่อร้อน ทว่ายังทำราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร “บีบขยำหน้าอกผู้อื่นเช่นนี้มันใช้ได้หรือ”

จื่อเว่ยชะงัก ตวัดขานางออกแล้วพลิกกายกดทับขาทั้งเรียวสองข้างด้วยขาของตัวเอง เขาจับนางขึงพืด คร่อมร่างของนางไว้ด้วยร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า

“ข้า…” เขาหยุดคิด สบตานางด้วยความรู้สึกประหลาด จู่ๆ ใจก็สั่นระรัว พูดไม่ออกเสียอย่างนั้น

แววตาเขาไหววูบหากแต่นางไม่ทันได้สังเกต

ฝูซินกัดฟันหายใจหอบเหนื่อย เพียงชั่วพริบตานางก็ตกอยู่ใต้การควบคุมของเขา ช่างน่าอับอายนัก

“เมื่อครู่ข้าขออภัยเจ้าด้วย ตอนแรกคิดว่าเป็นแผ่นหลังที่มีเนื้องอก” เขาหน้าแดงเล็กน้อย

พลันนึกอยากย้อนเวลา นึกสบถด่าตัวเองในใจที่พูดจาเหลวไหลถึงเพียงนี้

“เนื้องอก! ท่านพูดจาเหลวไหล!”

นั่นมันหน้าอกนาง!

“ข้าไม่เห็นความแตกต่างระหว่างหน้าอกหรือแผ่นหลังของเจ้าสักนิด” เขายังคงโกหกตาไม่กะพริบ

ฝูซินถลึงตาดุร้าย พยายามดิ้นรนออกจากพันธนาการของเขา ทว่ายิ่งดิ้นก็ยิ่งปวดร้าว

“บัดซบ หน้าอกสตรียังแยกไม่ออก”

จื่อเว่ยเลิกคิ้ว “ปกติเวลามีคนเข้ามาอุ่นเตียงให้ข้า พวกนาง…”

“หุบปาก ท่านหุบปากเลยนะ!”

สวรรค์ มาพูดเรื่องใต้ผ้าห่มกับนางได้อย่างไร

เขาตีหน้านิ่งมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่แปรเปลี่ยนตามอารมณ์ของนาง ลำคอพลันแห้งผาก นึกอยากผิดแผนดูสักครั้ง “เจ้าว่าอยากให้ข้าคุ้มครองน้องสาวของเจ้า ช่วยเหลือพี่ชายของเจ้าใช่หรือไม่”

จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง ทำให้นางตามอารมณ์ไม่ทัน ทว่ากลิ่นกายของเขาชวนให้จิตใจนางผ่อนคลาย จากที่พยายามดิ้นขัดขืนก็กลับมาสงบอย่างมีสติ

ใบหน้าของจื่อเว่ยอยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขา ทว่านางกลับรู้สึกคล้ายร่างกายกำลังถูกเปลวไฟลามเลีย สายตาของเขาราวกับแผดเผานางจนมอดไหม้ได้

“ข้าพูดไปทั้งหมดแล้ว”

“ให้ทำอะไรก็ยอมอย่างนั้นรึ”

นางเบือนหน้าหนี “ขอเพียงไม่ขัดต่ออุดมการณ์ของข้า ไม่ทำให้ผู้อื่นสามารถดูถูกดูแคลนข้าได้ ข้ายินดี”

“เช่นนั้นหลับตาลง ห้ามดิ้นรนขัดขืน”

นางหันขวับ มองเขาด้วยสายตาดุดัน “ข้าไม่ยอมเสียตัวให้ท่านแน่”

จื่อเว่ยแค่นเสียงขึ้นจมูก กล่าวแกมบังคับ “เกรงว่าองค์หญิงจะไม่อาจปฏิเสธได้”

นางกำหมัดแน่น กล้ำกลืนความไม่พอใจไว้ในอก กัดริมฝีปากจนห้อเลือดแล้วหลับตาลง

แต่ไหนแต่ไรมา ในสายตาของคนทั้งใต้หล้า...สตรีก็แค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น

จื่อเว่ยลุกขึ้นเดินไปยังเตียงนอน เขาเปิดช่องลับตรงหัวเตียง หยิบของสิ่งหนึ่งออกมา จากนั้นจึงเดินไปที่ตั่งตัวยาว ยกมือข้างซ้ายของนางขึ้นมาแล้วทำอะไรบางอย่าง

สัมผัสเย็นเยียบที่ข้อมือซ้ายทำให้ฝูซินตัวสั่นเล็กน้อย กระนั้นแล้วก็มิได้ลืมตาขึ้นมา จื่อเว่ยลูบไล้ฝ่ามือที่ด้านเป็นจุดๆ ของนาง กล่าวเสียงขรึม “โบราณว่าไว้ว่าสตรีที่มือไม้หยาบกร้าน มิใช่สตรีเกียจคร้าน”

เขาเลื่อนมือไปยังลำแขนกลมกลึงของนาง บีบเบาๆ ราวกับต้องการทดสอบอะไรบางอย่าง

“อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าเจ้าสามารถเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์คับขัน”

เขาสัมผัสมือทั้งสองข้างของนาง คลายมือที่กำหมัด สอดประสานมือของเขาและนางเข้าด้วยกัน

“ข้าเองก็มิใช่องค์ชายที่อยู่แต่ในตำหนัก” จื่อเว่ยก้มลงกระซิบข้างหูของฝูซิน 

หญิงสาวเลือดลมสูบฉีดไปทั่วร่างจนพวงแก้มแดงซ่าน

“แม้จะผ่านสตรีที่รออุ่นเตียงไม่ซ้ำหน้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่เคยให้ใครมาแตะต้อง” เสียงของเขาเลือนหาย ทว่าฝ่ามือของจื่อเว่ยกลับกระชับมือนางแน่น

ฝูซินลืมตาขึ้น พร้อมกับที่เขาก้มหน้าลงมา ประทับริมฝีปากอย่างอ่อนโยนบนกลีบปากของนาง เขาเลียริมฝีปากก่อนจะขมเม้มเบาๆ อย่างหยอกเย้า นางตาพร่า...หัวใจเต้นรัว เผยอปากโดยไม่รู้ตัว

จื่อเว่ยค่อยๆ แทรกซอนเรียวลิ้นเข้าไปในโพรงปากของนาง ดูดดื่มลึกซึ้ง ช่วงชิงความหอมหวานและลมหายใจจนนางครางเสียงต่ำในลำคอ

ช่วงเวลาหนึ่ง คล้ายกับมีมืออันอบอุ่นกำลังโอบประคองหัวใจอันหนาวเหน็บของนางไว้

เขาจุมพิตนางเนิ่นนาน ฉุดกระชากวิญญาณของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้นผละริมฝีปากออก นางจึงได้เห็นแววตาหวานเชื่อมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากเขา

จุมพิตครั้งที่สาม…คล้ายกับว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป

ทว่าเพียงพริบตาเดียวแววตาของเขาก็กลับมาเย็นชาดังเดิม พร้อมกับวาจาร้ายกาจ “จูบเจ้าไม่ได้เรื่องสักนิด”

ริ้วโทสะวาบผ่านในอก นางยกแขนหมายจะฟาดฝ่ามือใส่เขา ทว่าเสียงกระดิ่งตรงข้อมือข้างซ้ายเรียกความสนใจจากนางเสียสิ้น

กำไลหยกสีแดงประดับด้วยลวดลายสลักทองคำซึ่งมีกระดิ่งทองลูกเล็กๆ ส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง หญิงสาวเอียงศีรษะ มองเห็นว่าลวดลายทองที่ว่านั้น คือผีเสื้อตัวเล็กๆ กำลังขยับปีกโผบินจำนวนห้าตัว

ผีเสื้อห้าตัว…

นางเหลือบมองใบหน้าเย็นชาของเขา แววยิ้มพาดผ่านนัยน์ตาสีอ่อนของนาง “จููบของท่านต่างหากที่ไม่ได้เรื่อง สู้เขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”

จื่อเว่ยหันขวับ “ใคร? เจ้าคนแซ่ฉู่นั่นรึ?”

ใบหน้าของนางจืดเจื่อนเล็กน้อย เสหลบตาจื่อเว่ย “อยากให้ผู้อื่นมีใจ ท่านควรจะอ่อนโยนกว่านี้” 

จื่อเว่ยแค่นเสียงขึ้นจมูก “องค์หญิง โปรดอย่าหลงตัวเอง”

ฝูซินไหวไหล่ กำไลนี้บอกทุกอย่างกับนางหมดแล้ว

“เรื่องของพระองค์เถิดเพคะ” นางลุกขึ้น ทำราวกับจุมพิตเมื่อครู่มิได้ทำให้นางหวั่นไหวแม้แต่น้อย “หาเรื่องจูบหม่อมฉันสามครั้งในสองวัน คงเพราะพระองค์อดกลั้นไม่ไหว ฝูซินอยากจะหัวเราะจริงๆ เพคะ”

“ข้าบอกว่าอย่าหลงตัวเองอย่างไรเล่า”

นางเลิกคิ้ว เอียงศีรษะอมยิ้มตาเป็นประกาย “ที่พระองค์ปล่อยข่าวว่าองค์หญิงฝูซินมีจิตปฏิพัทธ์ต่อองค์ไท่จื่อ เห็นทีเรื่องราวคงกลับกันกระมังเพคะ”

ใบหน้าของเขาดำทะมึน สีหน้าเย็นชายิ่งกว่าหิมะเดือนเก้า “บังอาจเกินไปแล้วองค์หญิงฝูซิน ข้าบอกว่าไม่ใช่อย่างไรเล่า”

“ไท่จื่อ…พระองค์ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก ฝูซินเป็นคนตรงๆ แต่เรื่องการถูกจุมพิตแล้วจะมอบหัวใจให้ชายคนใดคนหนึ่ง เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก ทว่าหากพระองค์บอกหม่อมฉันดีๆ เพื่อขอโอกาส ฝูซินอาจพิจารณารับคำขอนะเพคะ” นางแสร้งยิ้ม มิได้สบตากับเขา หันกายเดินออกจากห้องราวกับนางหงส์

“องค์หญิงห้า เจ้ามั่นใจเกินไปไม่กลัวหน้าแตกหรือ” เขากล่าวเสียงดัง

“หม่อมฉันหน้าหนาเพคะ” นางตะโกนกลับ

ครั้นเดินพ้นประตูห้องนอนของเขา รอยยิ้มก็พลันจืดเจื่อน นางเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น ดวงหน้าแดงซ่าน สบถกับตัวเองเบาๆ

“คนผู้นี้รุกคืบน่ากลัวเกินไปแล้ว”

นางแค่ถามซ้ำเสมือนตอนสอบปากคำนักโทษ หากกล่าวจี้ใจดำ ผู้คนมักมีปฏิกิริยาที่ผิดแผกไปจากเดิมเสมอ ฉงเยว่ไท่จื่อแห่งต้าฉิน แท้จริงแล้วมิใช่คนโหดเหี้ยมเย็นชา ภายใต้ท่าทางน่าเกรงขาม ยังซุกซ่อนอารมณ์ของคนหนุ่มคนหนึ่งเอาไว้ไม่มิด

เพียงแต่อารมณ์ของคนหนุ่มเช่นนี้ หากนางอยากอยู่รอด ก็ต้องหาวิธีรวบหัวรวบหาง ไม่ใช่สิ...หาวิธีที่จะสามารถใช้ต่อรองกับเขาได้

วันรุ่งขึ้นจื่อเว่ยพาฝูซินและเซวียนหลินไปยังจวนเซี่ยโหว ซึ่งเป็นพระญาติทางฝ่ายหยินซีหวงโฮ่ว แต่ด้วยเพราะแจ้งอย่างกะทันหัน ทางจวนเซี่ยโหวจึงมิได้เตรียมพร้อมอะไรมากนัก เซี่ยโหวซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของจื่อเว่ยเข้าวังไปตั้งแต่เช้าตรู่ เหลือเพียงหยวนเหล่าไท่และสวีฟูเหรินซึ่งเป็นท่านยายและป้าสะใภ้ของจื่อเว่ย ครั้นทราบว่าไท่จื่อเสด็จมายังที่นี่ ทั้งสองจึงรีบออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง

“ถวายพระพรฉงเยว่ไท่จื่อ”

คนของจวนเซี่ยโหวทำความเคารพ จื่อเว่ยยกมือขึ้น ใบหน้าเรียบเฉย

“ตามสบาย”

เขาเดินไปหาหยวนเหล่าไท่ กล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ท่านยายสบายดีหรือไม่”

ใบหน้าของหญิงชราประดับรอยยิ้มบางๆ มือเหี่ยวย่นลูบไล้มือของหลานชายด้วยแววตาเอ็นดู “หม่อมฉันสบายดีเพคะ”

จื่อเว่ยสีหน้าแข็งกระด้าง แต่มิได้ดึงมือออก

“ท่านยายอย่าทำตัวเหินห่างกับหลานเช่นนี้”

หยวนเหล่าไท่หัวเราะเสียงเบา กล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตัน “หลานข้าเป็นถึงไท่จื่อ ใช้คำพูดคำจาเช่นเมื่อก่อนเกรงว่าจะไม่ดีนักกระมัง”

“ท่านยายคิดมากแล้ว” เขาหันไปหาสวีฟูเหริน ทักทายตามมารยาท “ป้าสะใภ้สบายดีหรือ”

“หม่อมฉันสบายดีเพคะ”

กับสวีฟูเหริน จื่อเว่ยมิได้แสดงท่าทีสนิทสนม กระนั้นแล้วนางก็มิได้สะทกสะท้านอะไร พลันหันไปทางฝูซินและเซวียนหลิน “แม่นางทั้งสองเป็นใครหรือ”

“องค์หญิงฝูซินและองค์หญิงเซวียนหลินจากแคว้นเว่ย”

ดวงตาของสวีฟูเหรินและหยวนเหล่าไท่เป็นประกาย มองนางสองพี่น้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน ครั้นรู้สึกว่าเสียมารยาทมากแล้วจึงย่อกายคารวะพวกนาง

“ถวายพระพรองค์หญิงฝูซิน องค์หญิงเซวียนหลินเพคะ”

ฝูซินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มจืดจาง ขณะเดียวกันเซวียนหลินกลับกอดพี่สาวแน่น

ผู้ต่ำศักดิ์แม้อาวุโสกว่า ทว่าก็ไม่มีใครถือสานางทั้งสอง เข้าใจว่าเป็นองค์หญิงต่างแคว้นคงไม่คุ้นขนบธรรมเนียมของต้าฉินนัก จื่อเว่ยกระแอมคราหนึ่ง หันไปกล่าวกับหยวนเหล่าไท่

“ท่านยาย หลานมีเรื่องจะฝากฝัง”

“หืม…เช่นนั้นเข้าไปข้างในกันเถอะ”

“จะให้องค์หญิงเซวียนหลินพำนักอยู่ที่นี่รึ แล้วองค์หญิงฝูซินเล่า”

หยวนเหล่าไท่มองไปยังองค์หญิงสองพี่น้อง ดวงตาเต็มไปด้วยแววพินิจพิจารณา หลานชายของนางไม่เคยสนใจสตรีใด ทว่าครั้งนี้กลับพามาที่จวนเซี่ยโหว เห็นทีว่ามิใช่เรื่องปกติเสียแล้ว

“ถูกต้อง องค์หญิงเซวียนหลินยังเล็กนัก อยู่ในวังหลวงมีแต่เรื่องราวอันตราย หากนางมาอยู่ที่นี่ ท่านยายจะได้ไม่เหงาด้วยเป็นอย่างไร”

“เอ๊ะ ท่านแม่ยังมีหม่อมฉันนะเพคะ”

จื่อเว่ยปรายตามองป้าสะใภ้ กล่าวเสียงเย็นชา “ท่านมิใช่ชอบไปเล่นไพ่กับบรรดาฟูเหรินทั้งหลายหรอกหรือ”

สวีเหยียนซิ่วสะดุ้งสีหน้าซีดเผือด คาดไม่ถึงว่าเรื่องนี่จะลอยเข้าหูจื่อเว่ยไปได้ พานหลบสายตาของหยวนเหล่าไท่อย่างลุกลี้ลุกลน

ที่จริงควรระลึกไว้ว่าไม่มีอะไรหลุดพ้นหูตาเขาไปได้ต่างหาก

“ลูกสะใภ้ข้า…ถึงขั้นลักลอบเล่นการพนันเลยรึ?”

สวีเหยียนซิ่วยิ้มแห้ง ไม่กล้าเถียงแม้สักครึ่งคำ ในใจนึกคาดโทษไท่จื่อไปแล้วเก้าส่วน ฝูซินจึงชิงพูดออกหน้าแทน

“การละเล่นสนุกๆ ของบรรดาภรรยาของขุนนางใหญ่ ช่วยลับสมองไม่น้อย สมัยก่อนฝูซินเคยเห็นเสด็จแม่และฟูเหรินทั้งหลายเล่นกัน ฝึกความจำได้ดียิ่ง”

เสียงของฝูซินทำให้สวีฟูเหรินหน้ามีสีเลือดขึ้นมาบ้าง มองนางด้วยความซาบซึ้ง “ใช่แล้ว ฝึกความจำได้ดียิ่งเจ้าค่ะท่านแม่”

จื่อเว่ยแสร้งทำเป็นมองเจตนาของฝูซินไม่ออก น้องสาวนางจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน การผูกมิตรกับผู้อื่นไว้โดยเฉพาะสะใภ้ใหญ่ของที่นี่นับว่านางมาถูกทาง

“อย่างนั้นหรอกรึ”

น้ำเสียงของหยวนเหล่าไท่ไม่ใคร่เชื่อเท่าใดนัก ทว่าเห็นแก่หน้าจื่อเว่ยจึงมิได้เอ่ยขัดขึ้นมา ฝ่ายฝูซินเพียงแต่อมยิ้ม จับมือกับเซวียนหลินนั่งนิ่ง ในใจคิดวางแผนสารพัดเพื่อให้สภาพการอยู่อาศัยของเซวียนหลินสะดวกสบายที่สุด

สร้างน้ำใจกับสวีฟูเหรินก็เป็นทางเลือกหนึ่ง

“วันนี้ใครมากันนะ โอ้…ไท่จื่อ ทรงสบายดีหรือไม่”

ผู้มาเยือนยิ้มแฉ่ง เดินเข้ามาโอบเอวหยวนเหล่าไท่อย่างสนิทสนม ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มเลิกคิ้วใส่จื่อเว่ยอย่างยียวน

“สบายดี”

“หย่งชิง อย่าเสียมารยาทต่อไท่จื่อ” ผู้เป็นย่าเอ่ยเสียงเข้ม ทว่าเซี่ยหย่งชิงกลับไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“เป็นญาติสนิทกันแท้ๆ จะมากมารยาทไปทำไม ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะไท่จื่อ”

จื่อเว่ยใช้แววตาเย็นเยียบแทนคำตอบ

เซี่ยหย่งชิงเป็นบุตรชายคนรองของเซี่ยหงเทียน พี่ชายของหยินซีหวงโฮ่ว ด้วยชาติกำเนิดมิใช่ชั่วจึงไม่เห็นหัวของผู้ใดเป็นสำคัญ ยิ่งกับจื่อเว่ยซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมา ยิ่งกวนประสาท

“อา…มีแขกมาเยือนหรือ”

“องค์หญิงฝูซินและองค์หญิงเซวียนหลินจากแคว้นเว่ย องค์หญิงเซวียนหลินจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว”

ดวงตาของเซี่ยหย่งชิงเป็นประกายพราวระยับ “หย่งชิงถวายพระพรองค์หญิงทั้งสอง”

“หึ” จื่อเว่ยแค่นเสียงในลำคอ

สองพี่น้องพยักหน้ารับตามมารยาท ฝูซินมองหน้าเซวียนหลินด้วยสายตาเป็นกังวล รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ พลันพูดกับจื่อเว่ยว่า “ไท่จื่อ หม่อมฉันขออยู่ที่นี่กับน้องเก้านะเพคะ”

“ดีเลย!” เซี่ยหย่งชิงเห็นดีเห็นงาม

“หลานตัวดี สำรวมกิริยาด้วย”

หยวนเหล่าไท่ฟาดฝ่ามือตีแขนหลานชายเบาๆ จนเซี่ยหย่งชิงใบหน้าเหยเกเสแสร้งเป็นเจ็บปวด

“เจ็บนะท่านย่า”

“คงมิได้หรอก ฝูซินเป็นว่าที่ชายาของข้า เวลาศึกษาดูใจระหว่างเราสองช่างสั้นนัก เห็นทีว่าจะไม่สามารถอนุญาตได้”

เรื่องเหล่านี้แม้ได้ยินมาบ้าง แต่ก็ทำให้คนที่ได้ยินชะงักงันได้สักครู่หนึ่ง

“น้องสาวของหม่อมฉันกำลังเคว้งคว้างนะเพคะ”

“ให้หย่งชิงดูแลนางไป” จื่อเว่ยกล่าวโดยไม่มองหน้าใคร

ฝูซินกัดริมฝีปาก มองหน้าญาติของเขาด้วยสายตาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย สุดท้ายนางจึงหลุบตาลง เก็บซ่อนแววตาเกรี้ยวกราด เงยขึ้นฉีกรอยยิ้มจอมปลอม

“ฝูซินลืมไป ไท่จื่อทรงตกอยู่ในห้วงความรักเช่นนี้ คงมิอาจตัดใจจากหม่อมฉันได้โดยง่ายสินะเพคะ น้องเก้า…อยู่ที่นี่อย่าทำตัวดื้อดึงรู้หรือไม่” นางแย้มยิ้ม สบตากับเซวียนหลินอย่างมีนัย “หยวนเหล่าไท่ ฝูซินขอฝากน้องเก้าด้วย”

หยวนเหล่าไท่ซึ่งกำลังอึ้งกับคำพูดของฝูซินพยักหน้ารับคราหนึ่ง หันไปมองจื่อเว่ยด้วยสายตาอัศจรรย์ใจ

“โอ้…ในที่สุดไท่จื่อก็หลุดพ้นจากบ่วงชายงามแล้วรึ” นางจงใจพูดให้องค์หญิงแห่งแคว้นเว่ยได้ยิน ทว่าฝูซินกลับมิได้ทิ้งรอยยิ้ม

“แค่ก! ท่านยาย ท่านเองก็หลงเชื่อข่าวลือพวกนั้นหรอกหรือ” จื่อเว่ยสำลักชา มองหยวนเหล่าไท่ด้วยความตกใจ ฝูซินลอบสังเกต มีแต่ต่อหน้าหยวนเหล่าไท่เท่านั้นที่จื่อเว่ยจะดูอ่อนโยนลงกว่าปกติ ถึงแม้จะแสดงออกว่าไม่ไยดีป้าสะใภ้และลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็มิได้เกรี้ยวกราดดังเช่นอยู่ในวังหลวง ดูท่าแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับที่นี่นับได้ว่ากลมเกลียวก็ไม่ผิดนัก

ที่ว่าเขาไร้ฐานอำนาจ อาจไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด

เกาทัณฑ์ในที่ลับย่อมอันตรายเสมอ

หยวนเหล่าไท่แย้มยิ้มบางเบา “ก็เจ้าหย่งชิงมาเล่าให้…”

“อ้าวท่านย่า หลานนึกออกพอดีว่าจะต้อนรับองค์หญิงเซวียนหลินอย่างไร ขอตัวก่อนนะขอรับ” ราวกับนกรู้ เซี่ยหย่งชิงผลุบกายออกไปในทันที

“ชิงเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท”

สวีฟูเหรินตะโกนไล่ตาม ทว่าร่างของเซี่ยหย่งชิงเดินลิ่วอย่างว่องไวออกไปราวกับกระต่าย นางส่ายหน้าอย่างระอา “กลิ่นสุราฉุนขนาดนี้ คงไปเหลาสุราจู่เหอจื่อมาเป็นแน่”

หยวนเหล่าไท่กุมขมับ มองหน้าจื่อเว่ยด้วยแววตาระอาเช่นกัน “หลานชายข้าแต่ละคนเล่นพิเรนทร์อะไรกัน”

“อยู่ที่นี่อย่าลืมที่พี่บอก เข้าใจหรือไม่”

ฝูซินกล่าวกำชับ อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงัก “ทราบแล้ว”

“อ่อนแอเข้าไว้ แต่ถ้าใครมาแกล้งเจ้า ให้คนของเจ้าซัดพวกมันให้หมอบเลยเข้าใจหรือไม่ ข้าอนุญาตเต็มที่”

ศีรษะเล็กๆ ผงกขึ้นลงอย่างเชื่อฟัง

ฝูซินถอนหายใจอย่างโล่งอก บีบพวงแก้มขององค์หญิงเก้าเบาๆ “เด็กดี พี่สาวทำเพื่อเจ้านะ”

“หลินเอ๋อร์ทราบดี”

องค์หญิงเซวียนหลินในวัยสิบสี่ปี ว่านอนสอนง่าย ทั้งยังเชื่อฟังฝูซินเป็นที่สุด แม้ว่าจะหวาดกลัว แต่กระนั้นด้วยความที่เห็นฝูซินเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด นางจึงต้องกลั้นน้ำตาเพื่อแสดงความเข้มแข็งให้พี่สาวเห็น

“ดีมาก”

ฝูซินแย้มยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนยิ้มตาม สุดท้ายเซวียนหลินกลับเป็นฝ่ายทนไม่ไหว กอดร่างของนางแน่น สะอื้นฮักราวกับจะขาดใจ

จื่อเว่ยมองนางสองพี่น้อง ครั้นเห็นรอยยิ้มงดงามที่นางมีให้น้องสาว ก็พลันเบือนหน้าหนี ภาพความรักระหว่างพี่น้อง กับเขาแล้วกลับไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่ารอยยิ้มของหญิงสาวที่พยายามปลอบประโลมองค์หญิงตัวน้อย ทำให้สุดท้ายก็ต้องดึงสายตากลับมามอง ในใจหวนระลึกถึงอดีตที่ผ่านมาหลายปี

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel