บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 11 ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ 4

งานเลี้ยงรื่นเริง ผู้คนกลับเคร่งขรึมเครียดเกร็ง

ใต้ท้องฟ้าโปร่งที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวระยับ ลานกว้างในพระราชอุทยานหลวง พระแท่นสูงสุดคือที่ประทับขององค์จักรพรรดิและหวงโฮ่ว ถัดไปคือหวงไท่โฮ่วและองค์หญิงจื้อหรู รายล้อมด้วยเหล่าพระสนมต่างๆ จากนั้นจึงเป็นฉงเยว่ไท่จื่อและแขกเมืองทั้งสี่

องค์ชายจากแคว้นฉู่ทั้งสองนั่งถัดจากจื่อเว่ย ฝั่งตรงข้ามคือฝูซินและเซวียนหลิน ก่อนจะไล่ระดับเป็นบรรดาองค์หญิงองค์ชายของต้าฉิน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยและครอบครัว

แต่ละคนล้วนสวมอาภรณ์เต็มยศ

ฝูซินในฐานะอู่กงจู่ที่มีความสำคัญในแคว้นเว่ยรองลงมาจาก

เว่ยหวางฝูเจี้ยนสวมอาภรณ์สีเหลืองสด ปักด้วยไหมทองเป็นลวดลายหงส์สยายปีก ศีรษะสวมฮวากวาน[ ฮวากวาน 花冠 รูปร่างเล็กกว่า เฟิ่งกวาน 凤冠 หรือมงกุฎหงส์ ที่มีความประณีตงดงามและประดับด้วยอัญมณีล้ำค่า ซึ่งเป็นเครื่องประดับออกงานของหวงโฮ่ว] เพื่อแสดงลำดับยศในแคว้น แม้จะไม่เทียบเท่าหวางเฟยหรือหวงโฮ่ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้อื่นไม่มีสิทธิ์สวมใส่ เครื่องหยกและทองที่สวมเข้าชุดกันล้วนเป็นของพระราชทานจากอดีตเว่ยหวางทั้งสิ้น ยกเว้นแต่เพียงกำไลหยกซึ่งจื่อเว่ยสังเกตเห็นได้ในทันทีที่นางเดินเข้ามา

ดวงหน้าที่ปกติจะคล้ำเข้มกว่าผิวกายในร่มผ้าถูกตกแต่งอย่างดีด้วยฝีมือนางกำนัลทั้งสอง แม้ไม่บอบบางดังเช่นเชื้อพระวงศ์หญิง ทั้งยังแผ่กำจายอำนาจที่มีแต่กำเนิดจนผู้คนมิกล้าเทียบเคียงแม้แต่น้อย องคาพยพทั้งห้าเมื่อเทียบกับหญิงสาวของต้าฉินอาจจะดูแข็งกระด้างไปบ้าง ทว่าดวงตาของนางกลับมีอำนาจลึกลับที่ทำให้ผู้คนจดจำมิรู้ลืม

พลอยทำให้สตรีอื่นรอบข้างกลายเป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น

ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นกับบุรุษแทบทุกคน โดยเฉพาะชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งตรงข้ามกับนาง

จื่อเว่ยจ้องนางด้วยสายตาเรียบนิ่ง ทว่าแฝงนัยบางอย่างชัดเจนแม้จะทำเป็นสนใจการระบำเบื้องหน้า แต่กับฉู่หนานกง คนผู้นี้ไม่เคยละสายตาไปจากนางแม้เพียงเสี้ยวลมหายใจหนึ่ง พานให้ฝูซินกระอักกระอ่วนอย่างถึงที่สุด

การแสดงของบรรดาบุตรธิดาของขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายทยอยผ่านไปทีละน้อย ดึกดื่นค่อนคืนน้ำค้างหนาว ผู้คนเริ่มอ่อนล้าจนตาแทบปิด ฉากหน้าคล้ายกับเป็นงานรื่นเริงต้อนรับแขกเมือง แท้จริงแล้วจักรพรรดิกลับหมายจะเฝ้ามองท่าทีของพวกนางและคนจากแคว้นฉู่ต่างหากเล่า

“องค์หญิงฝูซิน งานเลี้ยงวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” จักรพรรดิตรัสถามด้วยสุรเสียงเป็นกันเอง

ฝูซินสะดุ้งน้อยๆ ก้มศีรษะตอบรับ “สนุกมากเพคะ”

นางแอบไขว้นิ้ว

“องค์หญิงน้อยเล่า” หยินซีหวงโฮ่วตรัสถามไปยังเซวียนหลิน

องค์หญิงเซวียนหลินอมยิ้มน่ารัก “สนุกมากเพคะ”

“องค์ชายทั้งสองคงมิได้เหน็ดเหนื่อยจนหมดสนุกกระมัง”

องค์ชายหนานหลางส่ายหน้า อมยิ้มน้อยๆ “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท หลายวันก่อนไท่จื่อมาพบแม่ ขอให้แม่ช่วยพูดเรื่องหนึ่ง”

หวงไท่โฮ่วตรัสขึ้นด้วยสีพระพักตร์ชื่นมื่น

“อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”

“หลานชายข้าอยากแต่งชายาแล้ว”

สิ้นสุรเสียงของหวงไท่โฮ่ว ผู้คนก็ส่งเสียงคล้ายนกกระจอกแตกรัง องค์จักรพรรดิแม้จะพอคาดเดาได้ กระนั้นก็ทรงแย้มสรวลแล้วตรัสถามด้วยสุรเสียงตื่นเต้น

“จริงหรือ กับผู้ใดกัน”

“องค์หญิงฝูซินจากแคว้นเว่ย”

เรื่องนี้มิใช่เรื่องแปลกใหม่ ทว่ากลับสร้างความตื่นตกใจให้กับฉู่หนานกงเสียมากกว่า แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอะไร หวงไท่โฮ่วก็ตรัสแทรกขึ้นอีก

“แต่แม่อยากให้แต่งชายาทีเดียวสองคน องค์หญิงฝูซินเป็น

หวงไท่จื่อเฟย[ หวงไท่จื่อเฟย ชายาเอกในองค์รัชทายาท] ส่วนจื้อหรูเป็นเหลียงตี้[ เหลียงตี้ ชายารองในองค์รัชทายาท เหลียงตี้ แปลว่าผู้ประพฤติดีงาม] เช่นนี้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาตระเตรียมงานสองรอบ”

รับสั่งของหวงไท่โฮ่วสร้างความไม่พอใจไปยังเหล่าองค์หญิงบุญธรรมทั้งหลายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะองค์หญิงผิงซวนและองค์หญิงปาเซียนซึ่งเริ่มนั่งไม่ติดที่ ทว่าไม่อาจออกปากท้วงอะไรได้ ที่สุดแล้วต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกลับเป็นฉงเยว่ไท่จื่อเสียเอง หวงไท่โฮ่วคิดบีบบังคับฉงเยว่ไท่จื่อต่อหน้าธารกำนัล แสดงว่าไม่เคยถูกพิษสงของพระนัดดาผู้นี้มาก่อน

“ไท่จื่อของเราว่าอย่างไร”

จักรพรรดิทอดพระเนตรสีหน้าเย็นเยียบของโอรส ก็ทรงคาดเดาได้ส่วนหนึ่งว่าจะเป็นอย่างไร

ฝ่ายฝูซินจิบสุรา รอชมเรื่องสนุกโดยไม่เอ่ยอะไร ในครรลองสายตาเหลือบไปเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของฉู่หนานกงโดยไม่ได้ตั้งใจแวบหนึ่ง นึกในใจว่าเรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

“ทูลเสด็จพ่อ กระหม่อมยังไม่พร้อมแต่งชายาทีเดียวสองคนพ่ะย่ะค่ะ ให้กล่าวตามตรงก็ต้องบอกว่ากระหม่อมยินดีแต่งองค์หญิงฝูซินเป็นหวงไท่จื่อเฟยเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนี้เพื่อป้องกันเรื่องราวน้อยใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า หากเสด็จย่าต้องการให้กระหม่อมแต่งเหลียงตี้หรือหรูจื่อ[ หรูจื่อ ตำแหน่งอนุภรรยาในองค์รัชทายาท หรืออนุภรรยาของชนชั้นสูงในสมัยโบราณ] คงต้องเลือกแต่งตั้งจากชายงามในสังกัดองครักษ์หลวงแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงองค์ชายไร้อำนาจ หากต้องการฐานอำนาจจริง ชายงามในสังกัดกององครักษ์หลวงล้วนเป็นบุตรหลานชนชั้นสูง ความสัมพันธ์ย่อมไม่ต่างกันเท่าใด” วาจาสามหาวหักหน้าหวงไท่โฮ่วต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิทำให้ผู้คนตัวเกร็ง หากแต่ตัวต้นเหตุกลับมิได้สะทกสะท้านเท่าใดนัก ฉงเยว่ไท่จื่อเป็นเช่นนี้เสมอจนผู้คนชินชา แต่ก็มิอาจทำใจให้มองข้าม แม้ว่าหวงไท่โฮ่วไม่อาจเอาความเขาได้ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่พาลถึงผู้อื่นจนเดือดร้อนไปทั่ว

หวงไท่โฮ่วซัดถ้วยหยกเกิดเสียงดังลั่น “บังอาจ! ไท่จื่อ เจ้าบอกย่าเองว่าจะแต่งเหลียงตี้”

จื่อเว่ยประสานมือเป็นเชิงขออภัย กล่าวว่า “หลานเติบโตมาด้วยตัวคนเดียว อำนาจวาสนาช่างต่ำต้อย ได้เป็นไท่จื่อก็เปรียบประดุจจับไม้สั้นไม้ยาวได้ ตอนที่บอกว่าจะแต่งเหลียงตี้เข้าตำหนักมิได้ระบุว่าชายหรือหญิง หากเสด็จย่าต้องการให้หลานมีสตรีอื่นนอกจากองค์หญิงฝูซิน เกรงว่าจะทำใจให้เป็นไปตามพระประสงค์ยากเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”

หวงไท่โฮ่วพระโอษฐ์สั่นระริก จนนางข้าหลวงข้างกายต้องรีบปรี่เข้ามาดูแล “วิปริต! หลานไม่รักดี ข้าอุตส่าห์แนะนำสตรีงามพร้อมให้กับเจ้า!”

คนทั่วทั้งงานต่างก็นั่งตัวเกร็ง เดือดร้อนหวงโฮ่วต้องเข้ามาปลอบประโลมให้หวงไท่โฮ่วพระทัยเย็นลง

ขณะที่ผู้คนต่างก็คาดเดาไปต่างๆ นานา ฝ่ายฝูซินกลับหนาวเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย ภายใต้อาภรณ์แขนยาวคือมือที่กำลังเย็นเฉียบด้วยความตระหนก ราวกับว่าความกดดันทั้งหมดโถมทับมาที่ไหล่ของนาง คนผู้นี้วิปลาสเกินไปแล้ว ถึงขั้นเอานางไปวางไว้กลางคมหอกคมดาบในวังหลวงเชียวหรือ ช่างไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเสียเลย

นางลอบด่าทอความไร้ยางอายของจื่อเว่ย เรื่องการอภิเษกสมรสเช่นนี้ ที่จริงหวงโฮ่วและหวงไท่โฮ่วต้องเป็นผู้จัดการ ไท่จื่อไหนเลยจะมีสิทธิ์มีเสียงคัดค้าน แต่ทว่าน่าแปลกที่ไม่มีใครแอบอ้างกฎมณเฑียรบาลมาบังคับเขา ทำราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นแม้ไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ผิดอันใด

ที่คาดไม่ถึงคือแทนที่จะพูดคุยกันอย่างลับๆ กลับพูดออกมาต่อหน้าผู้คนที่เป็นแขกบ้านแขกเมือง ย่อมต้องเป็นที่หน้าหัวร่อเป็นแน่แท้

จื่อเว่ยใช้สายตาเฉื่อยชามองไปยังองค์หญิงจื้อหรู กล่าวเสียงเย็น

“หม้อยาเคลื่อนที่อย่างนาง จะทนกระหม่อมได้สักกี่น้ำพ่ะย่ะค่ะ”

“ไท่จื่อ!” บรรดาฟูเหรินทั้งหลายอุทานด้วยความตกใจ

“ไท่จื่อ บังอาจเกินไปแล้ว”

จักรพรรดิทรงตบโต๊ะเสียงดังจนผู้คนอกสั่นขวัญแขวนเกรงว่าศีรษะจะถูกกุด จื่อเว่ยกลับอมยิ้มท้าทายอยู่ในที

“เสด็จพ่ออย่าทรงพิโรธไปพ่ะย่ะค่ะ เรื่องรสนิยมพวกนี้ พระองค์ก็ทรงทราบมาแต่ต้นและไม่เคยเก็บมาใส่พระทัย คราวนี้ก็อย่าได้ทรงใส่พระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ไท่จื่อ…เจ้าคิดว่าเราไม่กล้าทำอะไรเจ้าอย่างนั้นรึ”

ผู้คนต่างทราบดีว่าแม้ฉงเยว่ไท่จื่อจะทำตัวเหลวไหลถึงเพียงไหน หากแต่ความสามารถในการช่วยองค์จักรพรรดิในการบริหารราชกิจนั้นเป็นที่ประจักษ์แก่ขุนนางทั้งหลาย แน่นอนว่าฝ่าบาทไม่มีทางลงโทษเขาได้ตามใจปรารถนา บรรดาขุนนางจึงเสหลบตาองค์จักรพรรดิ แขกเมืองทั้งหลายก็แสร้งทำเป็นกินดื่มจนเมามายไม่รู้เรื่อง ทว่าหูกลับเงี่ยฟังเรื่องราวอันน่าสนุกที่เกิดขึ้น

จื่อเว่ยก้มศีรษะ “ลูกมิบังอาจ”

“ฝ่าบาท…โปรดทรงระงับโทสะก่อนเถิดเพคะ” หยินซีหวงโฮ่วเห็นว่าท่าไม่ดี ทั้งยังตีฝีปากกันต่อหน้าแขกเมือง เกรงว่าจะเกิดเรื่องราวเลยเถิด จึงออกหน้าแทนผู้เป็นโอรส

“ประเสริฐ...โอรสของเราช่างเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง” องค์จักรพรรดิข่มเพลิงพิโรธ ไม่อยากอับอายต่อหน้าผู้อื่นจึงเลี่ยงวาจาร้ายกาจเอาไว้

จื่อเว่ยสบตากับองค์จักรพรรดิโดยตรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “ลูกขอทูลถามอะไรอย่างหนึ่งได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“หึ! มีอะไรจะพูด ก็พูดมาก่อนที่เราจะโมโหจนสั่งลงทัณฑ์เจ้า”

จื่อเว่ยไม่สะทกสะท้าน เขาปรายตามองบรรดาขุนนางที่แทบจะกลั้นใจตายไปกับการปะทะคารมของไท่จื่อและองค์จักรพรรดิ

“การบริหารบ้านเมือง เกี่ยวอะไรกับการแต่งชายามากมายหรือพ่ะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิทรงชะงัก คำถามนี้ไม่ว่าใครก็ตอบได้ แต่คนเป็นจักรพรรดิจะตอบไม่ได้ เพราะหากตอบไป ภาพลักษณ์ของโอรสสวรรค์จะพังทลายย่อยยับ

พระเนตรคมกริบแดงก่ำจับจ้องไปยังโอรส “เรื่องนี้หากเจ้าไม่รู้ ก็ไม่สมควรจะเป็นไท่จื่อแห่งต้าฉิน”

จื่อเว่ยกระตุกยิ้มชั่วช้า หัวเราะในลำคอแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ทรงยึดตำแหน่งไท่จื่อของกระหม่อมไป และโปรดประทานอิสระในการเลือกคู่ครองให้กระหม่อมดังเดิมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

สายพระเนตรคมกริบปรายมายังฝูซินซึ่งเป็นผู้ชมอยู่เงียบๆ ทว่าเมื่อตกเป็นจุดสนใจก็พลันกระอักกระอ่วนจนต้องเอ่ยถามเสียงค่อย “ฝาบาทจะทรงรับสั่งอะไรกับหม่อมฉันหรือเพคะ”

นางถามเสียงหวาน อมยิ้มอ่อนโยน

ทันใดนั้นจักรพรรดิก็ทรงสะบัดชายฉลองพระองค์ด้วยความเกรี้ยวกราด ครางฮึ่มฮ่ำในลำคออย่างเหลืออด หวงตี้แห่งต้าฉินทราบดีว่ายังไม่มีอำนาจถึงขั้นพระราชทานสมรสให้กับฝูซินได้ กระนั้นแล้วก็ไม่อาจหักใจพระราชทานสมรสให้จื่อเว่ยเช่นกัน

ม้า…เมื่อพยศมากๆ ใส่บังเหียนไปก็เปล่าประโยชน์ หาไม่แล้วแผนการของพระองค์จะต้องถูกทำลายไม่มีเหลืออย่างแน่นอน

“เราให้เวลาเจ้าหนึ่งปี ทำให้องค์หญิงฝูซินตกลงปลงใจเป็นชายาของเจ้าให้ได้ และหากเจ้าสัญญาว่าจะไม่แต่งชายยาใจเข้าตำหนัก เราจะพิจารณาคำขอร้องที่เจ้าเคยขอเราไว้”

จื่อเว่ยประสานมือ “เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นพ่ะย่ะค่ะ”

ใบหน้าของฝูซินแข็งค้าง เช่นนี้ไม่เท่ากับว่ากดดันนางต่อหน้าผู้อื่นกลายๆ หรือ ยิ่งเห็นว่าฉู่หนานกงมีใบหน้าดำทะมึน นางก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นมาทุกที

จื่อเว่ยแย้มยิ้มสว่างไสว รังสีกดดันพลันหายวับ พลอยทำให้ผู้คนถอนหายใจอย่างโล่งอก ขุนนางทั้งหลายต่างก็คุ้นเคยกับฉากทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวระหว่างองค์จักรพรรดิและไท่จื่อตั้งแต่ตอนที่ยังทรงเป็นแค่องค์ชายแล้ว จึงมิได้พากันออกหน้าขัดขวางอะไร

ทว่าแขกเมืองทั้งสี่ต่างก็สับสนงงงวยไปชั่วขณะหนึ่ง พายุที่พัดโหมมาเมื่อครู่ บัดนี้หายวับไปราวเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง แม้แต่ฝูซินเองก็ไม่คาดคิดว่าเรื่องจะจบลงเช่นนี้

โดยเฉพาะฝูซินที่ไม่เข้าใจว่าฝ่าบาทและจื่อเว่ยทำข้อตกลงอะไรไว้กันแน่ เพราะอะไรจึงทำเหมือนว่าเพราะจื่อเว่ยยังมีความสำคัญ จึงไม่ปลดเขาออกจากตำแหน่งไท่จื่อ และเหตุใดจึงต้องลากนางเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตลอดเล่า

หรือว่าที่เห็นเมื่อครู่ก็แค่ละครฉากหนึ่ง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel