บทที่ 2 ลูกสะใภ้ตัวดี
บทที่ 2 ลูกสะใภ้ตัวดี
อีกฝั่งของบ้านสะใภ้ใหญ่ซูหรงเธอกำลังนั่งทาเล็บอย่างสบายใจเมื่อเห็นแม่สามีเดินมาจากหลังบ้านและสีหน้าไม่ดีจึงรีบเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“วันนี้คุณแม่เป็นอะไรแต่เช้าคะ หรือว่าเมื่อคืนฝันไม่ดี”
“จะอะไรอีกล่ะก็นังสะใภ้รองตัวดีนะสิ ตะวันโด่งป่านนี้ยังไม่มาทำอาหารให้หย่งอี้ของฉัน ฉันไปตามที่ห้องเก็บของเห็นเธอนอนหลับสบาย หน้าด้านแสร้งว่าตัวเองไม่สบาย เฮอะ! คิดว่าฉันมองไม่ออกหรือไงว่านังเฟิงมี่แค่ขี้เกียจไม่อยากทำงานเลยเอาข้ออ้างว่าตัวเองไม่สบายมาเป็นข้ออ้าง”
“แล้วคุณแม่ทำยังไงกับนังนั่นละคะ” ซูหรงปิดฝาขวดน้ำยาทาเล็บวางลงไว้พร้อมถามซูเจี้ยนต่อ
“จะทำยังไงล่ะ ฉันก็บังคับให้มันมาทำอาหารให้หลานชายฉันนะสิ หย่งอี้ทนหิวอีกหน่อยนะหลานย่าแล้ววันนี้ย่าจะพาไปเดินเล่นที่ตลาดหลานอยากได้อะไรย่าจะซื้อให้ทุกอย่างเลย” ซูเจี้ยนพูดจาอ่อนลงจ้องมองเด็กชายที่นั่งเล่นของเล่นด้วยสายตาอ่อนโยน
“จริงนะครับ ผมอยากได้รถของเล่นคุณย่าซื้อให้จริงๆ นะครับ”
“แน่นอนสิ ย่าจะโกหกหลานรักของย่าทำไมกัน” เด็กชายรีบลุกขึ้นไปกอดคุณย่าด้วยความดีใจ ซูหรงที่มองอยู่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ความสุขของเธอคือการที่เห็นคนเป็นย่ารักลูกชายของเธอเพียงผู้เดียวเพราะนั่นหมายความว่าสมบัติของซูเจี้ยนจะตกเป็นของลูกชายเธอเพียงคนเดียว และเธอจะไม่ยอมให้สมบัติสักชิ้นตกไปอยู่ในมือของนังเฟิงมี่ เธอจึงคิดหาหนทางกำจัดของแม่ลูกให้ออกไปจากบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมีชู้ของเฟิงมี่แท้ที่จริงเธอกุเรื่องขึ้นมาเท่านั้นเพราะกลัวว่าซูเจี้ยนจะรักฮว๋าเย่ โชคดีที่ซูเจี้ยนโง่เง้าหลอกง่ายเพียงเป่าหูไม่กี่ครั้งก็หลงเชื่อคำพูดของเธอจนหมด
“ดีจังเลยค่ะวันนี้ฉันก็จะออกไปข้างนอกพอดี ฝากคุณแม่ดูแลหย่งอี้ด้วยนะคะ ฉันจะเอาข้าวกลางวันไปส่งพี่ไคฉีที่อำเภอ”
“ฉันโชคดีจริง ๆ ที่มีลูกสะใภ้ประหยัดแบบเธอ ต่อให้เรารวยแค่ไหนต้องรู้จักประหยัดจะยิ่งทำให้เรารวยมากกว่าเดิมเข้าใจมั้ย”
“ค่ะคุณแม่” ซูหรงยิ้มมุมปากพร้อมจ้องมองหย่งอี้ เด็กชายคนนี้เกิดมาช่วยเหลือเธอแท้ ๆ ถ้าไม่มีลูกชายคนนี้ชีวิตเธอคงแย่ไม่น้อย
ในครัวตระกูลมู่
เฟิงมี่ดูของที่สามารถมาทำอาหารได้ในห้องครัวเหลือเพียงแค่ผักเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีเนื้อเลยวันนี้เธอจึงจะทำผัดผักให้ทุกคนได้กินแล้วค่อยบอกให้แม่สามีซื้อของมาไว้ในครัวใหม่ ตั้งแต่หลวนหลงย้ายประจำการไปอยู่ที่อื่น เธอแทบไม่ได้ใช้เงินเลยสักหยวนสามีของเธอฝากเงินเดือนผ่านซูเจี้ยนให้แม่ของเขานำมาให้เธออีกที แต่คนอย่างซูเจี้ยนที่รังเกียจเฟิงมี่อยู่แล้วมีหรือจะยอมให้เงินตกมาถึงมือของเฟิงมี่ เธอจึงทำได้เพียงเก็บของเหลือที่หย่งอี้กินเหลือมาให้ลูกสาวได้กิน ในบ้างครั้งเธอเองเคยคิดนึกสมเพชตัวเองทำไมต้องทนได้ขนาดนี้ จะพาลูกสาวกลับไปอยู่ที่บ้านของเธอที่ชนบทก็กลัวสามีกลับมาไม่พบเจอจึงยอมทนอยู่จนถึงทุกวันนี้ อีกอย่างบ้านที่ชนบทของเธอไม่เหลือญาติผู้ใหญ่เหลือสักคน
“คุณแม่คะให้หนูช่วยมั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกนะแค่นั่งยิ้มหวานให้กำลังใจแม่ก็พอ ดีหน่อยที่วันนี้ไม่มีอะไรให้ทำยุ่งยาก แม่จะรีบผัดผักและเราจะได้กลับไปที่ห้องกัน คุณย่าทำที่นอนเราสองคนเปียกหมดแล้ว แม่ต้องยกไปตากแดดไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีที่นอนคืนนี้” เฟิงมี่พูดพร้อมนึกถึงฟูกเก่า ๆ ขาด ๆ ที่แทบจะไม่รู้สึกถึงความหนานุ่มเปียกโชกด้วยน้ำที่ซูเจี้ยนสาดใส่เธอก่อนหน้านี้
เวลาผ่านไปไม่นานผัดผักของเธอก็เสร็จเธอจัดจานยกไปให้ซูเจี้ยนที่บ้านหลังใหญ่ เมื่อก่อนเธอเองก็เคยได้อยู่ที่นั่นแต่หลังจากหลวนหลงไม่อยู่เธอก็ถูกขับไล่ให้มาอยู่ในห้องเก็บของที่ทั้งชื้นทั้งอับ
“คุณแม่คะกับข้าวของหย่งอี้เสร็จแล้วค่ะ” เฟิงมี่ยกกับข้าวมาให้เห็นว่าตอนนี้ที่โต๊ะอาหารมีซูเจี้ยน พี่สะใภ้ใหญ่และหลานชายนั่งรออยู่ตรงนั้นพอดี
“กว่าจะเสร็จทำไมทำนานแบบนี้รีบยกมาให้หย่งอี้สิ” เฟิงมี่ยกผัดผักวางลงบนโต๊ะอาหารทันทีที่ซูหรงเห็นอาหารที่เหมือนอ้วกหมาเธอลุกขึ้นยืนต่อว่าเฟิงมี่ทันที
“นี่แกคิดว่าลูกฉันเป็นวัวเป็นควายหรือไง ถึงมีแต่ผักแต่หญ้ามาให้ลูกของฉันนะ !! หย่งอี้ของฉันจะต้องกินแต่เนื้อเท่านั้น”
“นั่นสิ นี่แกตั้งใจทำผัดผักมาเพื่อยั่วโมโหหรือเพราะเอาคืนที่ฉันสาดน้ำใส่แกเมื่อครู่ นังนี่แกมันร้ายนักนะ” ซูเจี้ยนดวงตาจ้องเขม็งมาทางเฟิงมี่พร้อมตวาดเสียงดัง
“ไม่ใช่นะคะคุณแม่ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยเพียงแต่ในครัวไม่มีอะไรนอกจากผักอีกอย่างผักมีประโยชน์กับเด็กมาก ๆ นะคะ”
“นี่แกยังกล้ามาเถียงฉันเหรอ แถมยังตำหนิว่าฉันขี้งกไม่ซื้อของเข้าบ้านหรือไง! ไม่ใช่แกสองคนแม่ลูกเอาเนื้อไปทำกินหมดแล้วหรือไง นังเฟิงมี่วันนี้ฉันจะสั่งสอนแกให้รู้สำนึกเอาเนื้อของหลานชายฉันไปกินกับเด็กกาฝากนั่นจนหมดแล้วยังมีหน้าเอาเศษผักมาทำอาหารมาให้หลานฉันกิน”
พรึ่บ!!
ซูเจี้ยนจับจานผัดผักที่ยังร้อน ๆ อยู่สาดใส่ศีรษะของเฟิงมี่ด้วยความโมโห ซูหรงจ้องมองด้วยความสะใจที่เห็นแม่สามีรังแกสะใภ้เล็ก
“โอ้ย!! คุณแม่ทำไมทำแบบนี้คะฉันแสบร้อนไปหมดแล้ว ฉันไม่ได้โกหกนะคะที่ครัวไม่มีเนื้อเลยสักชิ้นฉันกับฮว๋าเย่ก็ไม่ได้กินมันด้วยเพราะคุณแม่ไม่ได้ซื้อของเข้าครัวมาเป็นอาทิตย์แล้วต่างหากเลยไม่มีอะไรให้ทำ” เฟิงมี่รีบปัดผักออกจากใบหน้าเอ่ยถามแม่สามีเสียงสั่น
“เฮอะ !! แค่นี้ไม่ตายหรอกนะ! แต่ถ้าตายได้คงจะดีเพราะทุกวันนี้ฉันเบื่อหน้าแกกับเด็กกาฝากนี่เหลือทน แกนี่ชักจะทำให้ฉันเหลืออดจริง ๆ ฉันนะเหรอจะลืมซื้ออาหารเข้าบ้านสงสัยแค่ผัดผักคงไม่พอแกอยากกินมือฉันเป็นอาหารเช้าสินะ” ซูเจี้ยนตวาดขึ้นเสียงง้างมือจะตบใบหน้าของเฟิงมี่ เสียงของฮว๋าเย่ดังขึ้นห้ามย่าของเธอ
“คุณย่า อย่านะ อย่าทำคุณแม่ของหนูนะ”
“ทุกอย่างก็เพราะแกไงนังเด็กเหลือขอ แกกับแม่ของแกขโมยเนื้อไปกินจนหมด โอ๊ย!! หงุดหงิดหย่งอี้เราออกไปกินอาหารที่ตลาดดีกว่า” ซูเจี้ยนวางมือลงไม่ลงมือตบเฟิงมี่ให้เจ็บมือเลือกที่จะจับมือหลานชายออกไปกินข้าวนอกบ้าน หย่งอี้หันมามองฮว๋าเย่พร้อมแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อย่างสมน้ำหน้า เพราะเขาถูกแม่ปลูกฝังมาให้รังเกียจและพูดกรอกหูว่าฮว๋าเย่ไม่ใช่พี่น้องของตัวเองและเป็นคนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้น
