บทที่ 1 นังเด็กกาฝาก
บทที่ 1 นังเด็กกาฝาก
ณ.มณฑลเจิ้งไฉ
ตระกูลมู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในมณฑลแห่งนี้ มู่ซูเจี้ยนผู้ที่เลี้ยงลูกมาตามลำพังหลังจากสามีตาย เธอเป็นแม่หม้ายที่สุขสบายเลยทีเดียวเธอมีลูกชายอยู่สองคน คนโตมีหน้าที่การงานเป็นนายอำเภอมีภรรยาและลูกชายที่น่ารัก เขามีชื่อว่ามู่ไคฉี ภรรยาที่เป็นสะใภ้ชื่อว่าซูหรงและลูกชายอายุ5 ขวบชื่อว่า หย่งอี้ เด็กชายคนนี้เกิดมาก็ได้ความรักจากคุณย่าเต็ม ๆ ต่างจาก ฮว๋าเย่ ลูกสาวของเฟิงมี่ภรรยาของลูกชายคนที่สองของตระกูล เพราะเธอมากจากตระกูลที่ยากจน ลูกชายของเธอมู่หลวนหลงได้รับราชการเป็นทหารและมียศเป็นถึงรองนายพลทำให้เธอไม่พอใจที่ลูกชายไปคว้าลูกสะใภ้บ้านนอกคนนี้มา ใจอคติของเธอคิดว่าหลานสาวตัวน้อยคนนี้ไม่ใช่หลานตัวเองจงเกลียดจงชังตั้งแต่ลืมตาขึ้นมามองโลก
ตอนนี้ฮว๋าเย่มีอายุน้อยกว่าหย่งอี้ 1 ปี แต่ทว่าความเฉลียวฉลาดพูดจาฉะฉานมากกว่าพี่ชายมากนักแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะชื่นชอบ ซูหรงไม่อยากให้ลูกสาวของสะใภ้เล็กได้รับการยอมรับจากคนเป็นย่า จึงหาทางกลั่นแกล้งสารพัดทั้งพูดกรอกหูแม่สามีให้รังเกียจและเข้าใจผิดเฟิงมี่กับลูกอีกด้วย
เนื่องจากหลังที่เฟิงมี่คลอดลูกสาวได้กี่เดือน หลวนหลงผู้เป็นสามีต้องออกเดินทางไปรักษาความสงบเพราะเกิดการปฏิวัติที่ยาวนาน ทำให้3 ปีมานี้เขาไม่ได้กลับมาบ้านเลย มีเพียงจดหมายมาแต่ทว่าจดหมายนั้นไม่ได้ถึงมือของเฟิงมี่เลย อีกทั้งแม่สามียังส่งจดหายใส่ร้ายป้ายสีเสีย ๆ หาย ๆ ให้เฟิงมี่อีกด้วย
ภายในห้องที่เต็มไปด้วยของใช้มากมายแต่ทว่าในนั้นยังเป็นที่นอนของสองแม่ลูกที่น่าสงสารอีกด้วย เด็กหญิงแต่งตัวมอมแมมกำลังนั่งหัดอ่านตัวหนังสือตามที่แม่เคยสอนเพราะเธอเคยเห็นเด็กที่โตกว่าสวมชุดนักเรียนไปโรงเรียนเธอเองก็อยากจะไปแต่เมื่อมองดูคุณแม่ที่แทบจะไม่ค่อยได้กินอะไร อดมื้อกินมื้อเพราะคุณย่าไล่เธอกับแม่มาอยู่ในห้องเก็บของเพราะจับได้ว่าแม่ของเธอไปขโมยของกินมาให้เธอตอนยามที่เธอหิว เธอจึงไม่เคยร้องขออะไรแม่อีกเลย
ปัง ๆ ปังๆ !!
“เฟิงมี่นังลูกสะใภ้ตัวดีเมื่อไหร่เธอจะลุกขึ้นมาทำงานบ้าน ตอนนี้หลานชายของฉันหย่งอี้หิวจนท้องจะกิ่วอยู่แล้ว” เสียงของมู่ซูเจี้ยนเคาะประตูปากตะโกนเรียกลูกสะใภ้เล็กเสียงดังลั่นบ้าน ทว่าวันนี้เฟิงมี่รู้สึกไม่สบายตื่นสายกว่าทุกวัน งานในบ้านล้วนแต่เป็นงานที่แม่สามีให้เธอทำทั้งหมด ฮว๋าเย่ได้ยินเสียงย่ารีบลุกขึ้นเขย่ากายผู้เป็นแม่เมื่อมือของเธอแตะลงที่ร่างกายของเฟิงมี่ราวกับกำลังถูกไฟเผาไหม้ เด็กน้อยชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินไปเปิดประตูด้วยตนเองหากไม่เช่นนั้นผู้เป็นย่าต้องโมโหมากกว่าเดิมแน่ ๆ
“นี่ไม่ได้ยินเสียงฉันหรือไง นอนเอาบ้านเอาเมืองขี้เกียจตัวเป็นขนเหรอเลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ เลย" เสียงของซูเจี้ยนจอมโหดร้ายยังคงต่อว่าไม่หยุดปาก
แอ้ดดด !! เสียงประตูห้องเก็บของค่อย ๆ เปิดออกเด็กหญิงก้มหน้าลงต่ำจับมือของตัวเองแน่นข่มใจขยับปากเพื่อบอกคุณย่า
“คุณย่าคะวันนี้คุณแม่ของหนูไม่สบาย ตอนนี้แม่ตัวร้อนเหมือนไฟเลยคุณย่าให้คุณป้าซูหรงทำงานบ้านแทนคุณแม่ได้มั้ยคะ ” ซูเจี้ยนยืนค้ำเอวจ้องมองเด็กหญิงด้วยความไม่พอใจแค่เห็นหน้าเด็กคนนี้ยิ่งทำให้เธอโมโหมากกว่าเดิม เธอใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากของฮว๋าเย่ก่อนจะสถบด่าโดยไม่สนใจเลยว่าเด็กหญิงจะกลัวเธอมากขนาดไหน
“เด็กขี้โกหกแกมันก็เหมือนแม่ชั่ว ๆ ของแก กล้าโกหกคนที่ให้ข้าวให้น้ำฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าแม่ของแกจะไม่สบายหลีกทางฉันจะไปลากคอมันไปทำกับข้าวให้หลานชายฉันกิน ” ซูเจี้ยนดันนิ้วชี้เพียงเล็กน้อยร่างกายของฮว๋าเย่ถลาล้มลงกับพื้นทันที ร่างเล็กสั่นเทาสะอึกสอื้นไห้ด้วยความเจ็บแต่ก็รีบลุกขึ้นเดินตามคุณย่าไปที่นอนที่แม่นอนอยู่
“คุณย่าแม่ของหนูไม่สบายจริง ๆ ขอให้แม่ได้พักสักวันนะคะ”
“แกไม่ต้องมาปากดีอยากให้ฉันลงไม้ลงมือตีแกหรือไง นี่นังเฟิงมี่ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ไม่ต้องมาทำตัวสำออย และเสี้ยมสอนให้ลูกของแกโกหกเหมือนแก ” แม่มู่แม่สามีจอมเลวทรามต่ำช้าปากต่อว่าลูกสะใภ้เล็กไม่หยุดปาก เสียงดังเอะอะทำให้เฟิงมี่สะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าแม่สามีก็รู้ทันทีว่าตอนนี้เธอโกรธมากแค่ไหนและรู้สึกเป็นห่วงฮว๋าเย่รีบยันกายตัวเองเพื่อลุกขึ้นแต่ทว่าฤทธิ์ไข้ในร่างกายของเธอยังไม่ทุเลาและมีไข้สูงเพราะไม่ได้รับยาทำให้หนาวสั่นจากด้านใน พูดจาตอบแม่สามีอย่างแผ่วเบา
“คุณแม่ต้องการอะไรหรือคะ แคก แคก ”
“จะต้องการอะไรอีกล่ะ นี่มันกี่โมงแล้วรีบลุกไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้หลานชายของฉันทนหิวมานานแล้วอย่ามาแกล้งสำออยทำเป็นไม่สบาย ฉันไม่ได้โง่เชื่อมารยาสาไถยของแก ”
“คุณย่าคุณแม่ไม่สบายจริง ๆ นะคะ ” ร่างเล็กสั่นระริกด้วยความกลัวรีบเดินเข้ามาจับปลายเสื้อของย่าเพื่อบอกเธอ แต่ทว่ากลับถูกมือหนาของซูเจี้ยนปัดออกทันทีและยังมองเธอด้วยสายตารังเกียจ
“อย่าเอามือสกปรก ๆ ของแกมาแตะต้องตัวของฉัน ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ใช่ย่าของแก แกมันเป็นลูกชู้เป็นกาฝากที่น่ารังเกียจที่สุด ฉันจะให้เวลาแกลุกขึ้นเดี๋ยวนี้รู้ใช่มั้ยว่าฉันโมโหจะเป็นยังไง "
“คุณแม่คะ ตอนนี้ฉันลุกไม่ไหวขอพักสักวันไม่ได้หรือคะเหมือนว่าตอนนี้ฉันจะเป็นไข้หวัด ” เฟิงมี่สงสารลูกสาวจับใจและเจ็บช้ำใจเหลือเกินที่ถูกซูเจี้ยนปฏิบัติเช่นนี้ แต่เธอทำอะไรไม่ได้ทำได้เพียงทนฝืนทนกล้ำกลืนรอวันที่สามีกลับมา เธอคิดว่าสามีกลับมาจะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้
ครั้นนั้นซูเจี้ยนสั่นเทาด้วยความโมโหคิดว่าเฟิงมี่เธอโกหกเพราะขี้เกียจ เหลียวมองหาสิ่งของที่จะทำโทษเฟิงมี่ในครั้งนี้ เธอหันไปเห็นถังน้ำที่ฮว๋าเย่เตรียมมาจะเช็ดตัวให้เฟิงมี่ เธอแสยะยิ้มก้มลงยื่นมือไปคว้าถังน้ำก่อนจะสาดใส่ร่างกายของเฟิงมี่ที่นั่งอยู่บนเตียงนอน
ซ่า !!
“ฉันไม่มีทางเชื่อแก ที่บอกว่าไม่สบายเพราะความขี้เกียจของแกนะสิ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปทำอาหารมาให้หย่งอี้เดี๋ยวนี้ หากแกยังไม่ลุกวันนี้ฉันจะขับไล่แกสองแม่ลูกออกไปนอนนอกบ้าน” ซูเจี้ยนพูดจบเดินสะบัดผมออกจากห้องเก็บของไปทันที ฮว๋าเย่รีบเข้าไปหาเฟิงมี่ด้วยความเป็นห่วงใบหน้าของเด็กหญิงเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา
“คุณแม่ อึก อึก คุณแม่หนาวมั้ยคะเดี๋ยวหนูจะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้คุณแม่นะคะ ฮื้อ ฮือ ทำไมคุณย่าถึงได้ใจร้ายกับเราสองแม่ลูกแบบนี้ แล้วทำไมคุณย่าชอบด่าว่าหนูไม่ใช่หลานของคุณย่าด้วย คุณย่าไม่รักหนูเลยหรือไงคะ ” เฟิงมี่หนาวสั่นไปทั้งตัวดึงกายของลูกสาวเข้ามาใกล้ เช็ดหยาดน้ำตาที่อาบแก้มพร้อมพูดจาปลอบโยน
“โธ่ฮว๋าเย่ของแม่ อย่าใส่ใจคำพูดของคุณย่าเลยนะ คุณย่าแค่ไม่ชอบแม่แต่ไม่ได้เกลียดลูกหรอกนะ อย่าเสียใจไปเลยรู้มั้ยลูกสาวของแม่เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าหยาดน้ำตาเสียอีก ตอนนี้แม่รู้สึกดีขึ้นแล้วเดี๋ยวแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่เราจะได้ออกไปที่ครัวกันนะ”
“ได้ค่ะ ” ฮว๋าเย่หยุดร้องไห้รีบเช็ดน้ำตาพร้อมลุกขึ้นเพื่อให้เฟิงมี่เปลี่ยนเสื้อผ้าจะไปทำอาหารให้หย่งอี้ เฟิงมี่จ้องมองใบหน้าลูกสาวตัวน้อยด้วยความสงสาร
‘ทนอีกสักนิดนะฮว๋าเย่เมื่อไหร่ที่คุณพ่อกลับมาทุกอย่างจะดีขึ้น ’
เฟิงมี่คิดในใจพยายามลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกโชกด้วยน้ำที่ซูเจี้ยนราดใส่เมื่อครู่ ร่างกายของเธอตอนนี้แทบไม่อยากจะขยับแต่เมื่อเป็นเช่นนี้และไม่อยากให้ฮว๋าเย่ต้องถูกต่อว่าไปด้วยจึงฝืนใจไปทำอาหารให้หลานชายคนโตตระกูลมู่ได้กินข้าวเช้า
