บทที่ ๔
วาทิตารีบคลี่ก้อนกระดาษที่เขาปาใส่หน้าเธออย่างเต็มแรงจนแก้มขาวนวลข้างซ้ายขึ้นรอยแดงอย่างเห็นได้ชัดทันที นัยน์ตากลมโตค่อยๆ ไล่อ่านทุกตัวอักษรยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งถอดสี ศีรษะส่ายไปมาเล็กน้อย เหมือนต้องการส่งสัญญาณให้บุคคลที่กำลังจ้องมองอยู่ตรงหน้านั้นได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงตามข้อความในกระดาษนี้
สายตาชายหนุ่มที่กำลังจ้องมองประดุจเสือร้ายกำลังจ้องกวางน้อยและรอเวลาตะคลุบเหยื่อมาเป็นอาหารอันโอชะอยู่อย่างไม่ละสายตา ทำให้เขาเห็นทุกอากัปกิริยาของเธอ เขากระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่งอย่างเหยียดๆ
“ไม่จริง! นะคะพี่ภีม ไม่จริง”
วาทิตามั่นใจว่าเธอตะโกนอย่างเต็มเสียงเพื่อให้สามีรับรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ทว่าน้ำเสียงที่ดังออกมานั้นกลับกลายเป็นเพียงเสียงครางอยู่ในลำคอเท่านั้น หากแต่ภาคินก็สามารถรับรู้ในสิ่งที่เธอพูดออกมาได้
“ฮึๆ... หลักฐานขนาดนี้ยังจะปฏิเสธหน้าตายอยู่อีก เธอนี่มันหน้าด้าน หน้าทนจริงๆ ฉันไม่น่าหลงเชื่อมารยาหญิงอย่างเธอ ฉันไม่น่าไปหลงรักผู้หญิงเลวๆ อย่างเธอ”
เขาตวาดดังลั่นอีกครั้งด้วยความอัดอั้น สายตาที่จ้องมองในเวลานี้มีแต่เพียงความชิงชัง ระคนความผิดหวังในตัวเธอเท่านั้น ไม่มีแล้วซึ่งความอ่อนหวาน อ่อนโยน อย่างเช่นที่ผ่านมา
“พี่ภีม กำลังเข้าใจผิดมันไม่จริงวาไม่เคย...”
“เข้าใจผิดหรอ แล้วไอ้ที่เห็นในมือเธอน่ะมันหมายความยังไง วาทิตา”
เขาแผดเสียงดังขึ้นแทรกหญิงสาวทันที พร้อมกับตรงเข้าไปกระชากแขนบีบไว้เต็มแรงตามอารมณ์โทสะอย่างต้องการให้กระดูกเล็กนั้นแหลกคามือเสียให้ได้
“โอ๊ย! พี่ภีมปล่อยค่ะ วาเจ็บ”
หญิงสาวร้องขอทั้งน้ำตา มืออีกข้างพยามยามปลดมือเขาออกจากแขน ทว่ายิ่งพยายามยื้อหรือดึงออกเขากลับยิ่งบีบหนักขึ้น
“เจ็บงั้นเหรอ แค่นี้มันยังน้อยไปสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ”
สิ้นเสียงเขาก็เหวี่ยงร่างบางเต็มแรง
วาทิตาลงไปกองอยู่กับพื้นห้องอย่างไม่เป็นท่า น้ำตายังคงไหลรินไม่ขาดสายด้วยความเจ็บปวดระคนเสียใจและน้อยใจ
‘ทำไมพี่ภีมถึงใจร้ายได้ขนาดนี้ ทำไมไม่ให้โอกาสวาได้อธิบายอะไรบ้าง ทำไมไม่สืบสาวราวเรื่องหาข้อเท็จจริง ทำไมถึงเชื่อเพียงแค่กระดาษใบเดียวทำไม?’
คำถามต่างๆ เหล่านี้ดังอยู่ในอก เธอไม่สามารถพูดหรือถามมันออกมาได้ดังใจคิด ทั้งๆ ที่อยากจะเอ่ยออกมา แต่ดูเหมือนว่าถ้าพูดหรือถามอะไรออกไปคงเปล่าประโยชน์ มิหนำซ้ำยังจะไปกระตุ้นความโกรธเขายิ่งขึ้นอีก เธอจึงเก็บเอาไว้ รอคอยให้แรงพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่นั้นค่อยๆ เบาลงจนเปลี่ยนเป็นลมที่พัดเอื่อยๆ ก่อนจะดีกว่า
นางอิ่ม กับนวลถลาตรงไปยังร่างบางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนกองอยู่กับพื้นด้วยความงงงัน นางอิ่มโอบกอดร่างบางไว้อย่างรักใคร่ระคนสงสาร ไม่นึกไม่ฝันว่านางจะได้มาเห็นภาพเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้ภาคินทั้งรักทะนุถนอมน้องวาของเขามาก มากซะจนหลายคนที่พบเจอถึงกับออกปากอิจฉาวาทิตาเสียมิได้
“คุณภีม นี่มันอะไรกันคะทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ด้วย”
น้ำเสียงนางอิ่ม ไม่ค่อยพอใจนักกับการกระทำของชายหนุ่มที่นางเลี้ยงดูมากับมือ นางจำได้ว่านางไม่เคยสอนให้เขาใช้กำลังในการตัดสินปัญหาเช่นนี้
“ป้าอิ่มอยากรู้ก็ลองถาม ผู้หญิงคนนั้นดูเองแล้วกันผมไม่อยากพูดถึงให้เป็นเสนียดปาก และก็ช่วยพาออกไปให้พ้นๆ หน้าผมด้วย”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราด พาลไปถึงหญิงสูงวัยที่กำลังโอบกอดร่างบางอย่างปลอบประโลมอยู่ และดูท่านางคงจะยังไม่ปล่อยร่างบางนั้นง่ายๆ อีกด้วย
“ไป! ออกไปให้พ้นและไม่ต้องโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีก ออกไป!”
เขาตวาดเสียงลั่นห้องอีกครั้งอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะที่มือยังกวาดของที่ยังคงหลงเหลือบนโต๊ะนั้นลงมาอีกครั้งอย่าบันดาลโทสะ เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนยังคงนั่งนิ่งอยู่เฉกเช่นเดิม
“ไปค่ะคุณวา มีอะไรไว้ค่อยคุยกันวันหลังนะคะเชื่อป้านะคนดี”
นางอิ่มกระซิบบอกนายสาวก่อนพยักหน้าบอกให้นวลช่วยนางพยุงร่างบางอีกแรง วาทิตามองหน้าสามีอันเป็นที่รักอย่างตัดพ้อ ก่อนลุกขึ้นตามแรงดึงของนางอิ่มกับนวล
“อ่อ... และฉันบอกเธอไปแล้วนะว่าฉันมีน้องสาวเพียงคนเดียว คือยายพลอย หวังว่าเธอจะจำได้และอีกเรื่องที่ฉันอยากให้เธอรู้และจำไว้ ต่อไปนี้เธอไม่ใช่เมียฉันอีกต่อไปอย่างเธอก็เป็นได้แค่นางบำเรอของฉันเท่านั้นมากกว่านี้คงไม่ได้ ฉะนั้นจำใส่หัวเอาไว้ด้วย ออกไป!”
ภาคินประกาศชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการเธออีกแล้วไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดเช่นนั้น อีกทั้งเขายังออกปากไล่เธออย่างไม่เหลือเยื่อใยแม้แต่น้อย
