ตอนที่ 2 ชีวิตที่เลือกเองไม่ได้
ตอนที่ 2
ชีวิตที่เลือกเองไม่ได้
หลังเรียนจบได้เพียงสัปดาห์เดียว ชนิกานต์ก็มีความคิดที่อยากจะไปสมัครงาน ความใฝ่ฝันของเธอตั้งแต่เด็กจนโตนั่นก็คือการได้เห็นตัวเองได้ใส่ชุดแอร์โฮสเตส แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการได้ใส่ชุดสวยๆ นั่นก็คือการที่เธอได้เดินทางรอบโลก ได้ออกไปสำรวจสิ่งใหม่ๆ
หญิงสาวเดินลงมาข้างล่าง เห็นผู้เป็นแม่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารจึงเดินเข้าไปหา
“กินข้าวแล้วเหรอคะคุณแม่”
“อืม”
เป็นปกติของวิไล เธอมักจะเย็นชาแบบนี้เสมอจนชนิกานต์ชินชาเสียแล้ว
“แต่งตัวซะสวย จะไปไหนล่ะ”
หญิงสาวคุกเข่าลงก่อนสวมกอดเอวผู้เป็นแม่ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้ไปงานรับปริญญาแต่เธอก็ไม่โกรธ และไม่เคยหยิบเรื่องนี้มาพูดทำให้แม่ต้องขุ่นเคืองใจ
“ไปสัมภาษณ์งานค่ะคุณแม่”
วิไลขมวดคิ้วมองหญิงสาว “ยื่นใบสมัครไปแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะคุณแม่ สมัครผ่านทางออนไลน์ ทางสายการบินติดต่อให้ไปสัมภาษณ์ด่านแรกวันนี้ค่ะ”
“สายการบิน?”
หญิงสาวพยักหน้า เธอลืมไปว่ายังไม่ได้บอกแม่เรื่องที่เธอนั้นยื่นสมัครออนไลน์กับสายการบินเอาไว้
“จะสมัครงานแอร์โฮสเตสทำไมไม่ปรึกษาแม่ก่อน”
หญิงวัยกลางคนทุบโต๊ะถาม แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็เปรยๆอยู่เสมออยากให้ชนิกานต์ทำงานที่บริษัท จะได้ไม่ต้องไปไหนไกล ไม่ต้องไปอยู่ไกลหูไกลตา
“เอ่อ หนูบอกคุณแม่มาตลอดเลยนะคะว่าหนูจะไปสมัครงานแอร์โฮสเตสหลังเรียนจบ”
หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อน ดูเหมือนว่าแม่จะลืมเธอจึงได้ทบทวนความทรงจำ แต่อีกฝ่ายก็ไม่สนใจ อะไรที่รับปากไปแล้วก็พร้อมที่จะพลิกลิ้นเสมอ
“ฉันไม่อนุญาตให้แกเป็นแอร์โฮสเตส”
วิไลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและเด็ดขาด เธอวางแผนชีวิตไว้ให้ชนิกานต์แล้ว เพราะฉะนั้นชนิกานต์จะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เธอต้องการ
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้แกเป็นแอร์ ถ้าแกไปก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่!”
พูดจบแล้ววิไลก็เดินหนีไป ทิ้งให้ชนิกานต์ยืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง หัวใจหญิงสาวห่อเหี่ยว เมื่อความฝันของเธอพังทลายไม่มีชิ้นดี เพราะไม่ได้รับ การสนับสนุนจากคนในครอบครัว โดยเฉพาะแม่คือคนที่เธอรักและเคารพมากที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมสนับสนุนและไม่เห็นด้วยที่เธอจะไปเป็นแอร์โฮสเตสตามความฝัน
“อ้าว ยังไม่ไปเหรอลูก”
ปิติเดินลงมาจากชั้นบน เห็นลูกสาวนั่งอยู่ที่เก้าอี้จึงเอ่ยถาม เมื่อวานชนิกานต์บอกเขาว่ามีสัมภาษณ์งาน แต่ป่านนี้แล้วลูกสาวยังไม่เดินทางออกจากบ้านเลย
“คงไม่ได้ไปแล้วค่ะคุณพ่อ”
หญิงสาวยิ้มเศร้า ถึงเธอจะไม่ได้อธิบายแต่ปิติก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนเป็นพ่อถอนหายใจยาวก่อนเดินเข้ามาหาลูกสาว วางมือลงบนไหล่ทั้งสองข้าง
“ลูกโตแล้วนะ ถ้าลูกอยากทำอะไรลูกทำได้เลย ลูกไม่จำเป็นต้องฟังใคร”
ปิติไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ภรรยาทำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะคัดค้านอีกฝ่าย เขาได้แต่ปลอบโยนลูกสาว ทั้งที่รู้ดีว่าชนิกานต์จะต้องเชื่อฟังแม่ และไม่มีทางคล้อยตามกับคำพูดของเขา
“ถ้าทำตามใจ คุณแม่ก็จะไม่สบายใจค่ะ”
ชนิกานต์รักแม่มาก ถึงแม้ว่าแม่จะดุและเข้มงวด แต่เธอก็ไม่เคยโกรธไม่เคยเกลียดแม่เลย สักครั้ง หญิงสาวเข้าใจว่าสิ่งที่วิไลทำนั่นคือความหวังดี
“แล้วแต่ลูกก็แล้วกัน ถ้าลูกทำอะไรแล้วสบายใจพ่อก็ไม่อยากขวาง”
หลังจากที่ความฝันพังทลายหญิงสาวก็ตัดสินใจยื่นใบสมัครงานไปที่บริษัทแห่งหนึ่งตามที่แม่แนะนำ ถึงเธอจะไม่ได้อยากทำงานที่นี่ แต่เพื่อความสบายใจของผู้เป็นแม่เธอจึงยอม
หลายวันหลังจากนั้น ขณะที่ชนิกานต์กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวป้ารดต่อเลยนะคะ เดี๋ยวหนูขอไปรับโทรศัพท์ก่อน”
หญิงสาวเอ่ยกับแม่บ้าน ปกติบ้านหลังนี้มีคนงานอยู่แล้ว แต่บางครั้งเมื่อชนิกานต์รู้สึกเบื่อ เธอก็มักจะออกมาช่วยแม่บ้านและคนงานทำงานเสมอ
หญิงสาวรับสายก่อนได้รับข่าวดีว่าทางบริษัทเรียกตัวไปสัมภาษณ์ในวันพรุ่งนี้ น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกดีใจเหมือนตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากสายการบิน
“คุณแม่คะ ทางบริษัทนั้นโทรกลับมาแล้วนะคะ”
วิไลหันมองหญิงสาวก่อนเอ่ยถาม
“แล้วเขาว่ายังไงบ้าง เขาให้แกไปสัมภาษณ์หรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ เขาเรียกตัวไปสัมภาษณ์พรุ่งนี้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นแกต้องรีบเตรียมตัว แกต้องทำงานที่นี่ให้ได้ เข้าใจไหม”
ชนิกานต์รู้สึกงุนงงนิดหน่อย แต่เธอก็ไม่กล้าถามเหตุผลของแม่ เธอไม่รู้ว่าทำไมแม่ถึงได้มุ่งมั่นตั้งใจอยากผลักดันให้เธอเข้าไปทำงานที่บริษัทแห่งนี้นัก
“แกต้องทำยังไงก็ได้ให้บริษัทนั้นรับแกเข้าทำงาน เชื่อฉันนะ ถ้าแกได้ทำงานที่นี่ชีวิตของแกจะต้องไปได้ไกล”
ชนิกานต์พยักหน้า คำพูดที่ดูเหมือนหวังดีของแม่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ห่อเหี่ยวมานานหลายวัน
“เอาล่ะ รีบไปเตรียมตัวซะ”
หญิงสาวยิ้มก่อนพยักหน้า เธอเดินกลับขึ้นมาบนห้องก่อนจะหาชุดเพื่อเตรียมไปสัมภาษณ์ในวันพรุ่งนี้
“ทำอะไรอยู่ลูก”
ปิติเคาะประตูเบาๆก่อนเข้ามาในห้องลูกสาว เห็นว่าชนิกานต์หรือเสื้อผ้าออกมาวางกองบนเตียงก็เอ่ยถาม
“พอดีว่าพรุ่งนี้หนูต้องไปสัมภาษณ์งานค่ะ คุณพ่อ คุณแม่ก็เลยบอกให้รีบมาเตรียมตัว”
“ลูกอยากทำงานที่นี่จริงๆหรือเปล่า”
ปิติเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ชนิกานต์ดูไม่ตื่นเต้น และไม่มีความสุขเหมือนตอนที่สายการบินโทรมาเลย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพ่อ บางทีอาจจะดีก็ได้นะคะ”
หญิงสาวพยายามมองโลกในแง่ดี เธอเชื่อมาโดยตลอดว่าสิ่งที่แม่หยิบยื่นให้คือความหวังดี เพราะฉะนั้นเธอจึงเชื่อฟังแม่มาโดยตลอด ถึงแม้ว่าสิ่งที่แม่ต้องการจะขัดกับสิ่งที่เธออยากทำ แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้ามันทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นอย่างที่แม่ว่า เธอก็จะยอมทำตาม
“พ่อก็ขอให้มันดีก็แล้วกันนะ ขอให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานใจดีกับลูกของพ่อ”
“หนูน่ารักขนาดนี้ ทุกคนต้องใจดีกับหนูแน่ๆค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เธอสวมกอดผู้เป็นพ่อก่อนขอกำลังใจจากอีกฝ่าย
“หนูจะตั้งใจทำงาน เรียนรู้งาน ถ้าหนูเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้พอสมควรแล้วหนูจะมาช่วยธุรกิจของพ่อนะคะ”
“พ่อแล้วแต่ลูก ขอแค่ลูกของพ่อมีความสุขก็พอแล้ว”
