๔ สัญญาเลิกจ้าง (๒)
“มีอะไรเหรอ ฉันต้องรีบไปทำงานแล้ว...เธออย่าลืมกินยาคุมฉุกเฉินนะ เมื่อคืนเหมือนว่าฉันจะไม่ได้ใส่ถุงยาง นี่เงินเอาไปซื้อยาคุมเองแล้วกัน ถ้ากินแล้วก็ส่งข้อความมาบอกฉันด้วย หรือจะลงไปพร้อมกันเลยไหม” นึกได้ว่าตัวเองไม่ได้สวมถุงยางอนามัยเพราะไม่มีเพศสัมพันธ์มานานแล้ว นึกก่นด่าตัวเองที่สะเพร่าขนาดนี้
หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงต้องย้ำเตือนกับเธอพร้อมยัดเงินใส่มือของหญิงสาว เธอก้มมองเงินโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ความเงียบโอบล้อมยิ่งทำให้หายใจลำบากมากกว่าเดิม เขาจึงตัดสินใจจะเปิดประตูเพื่อไปทำงาน
เป็นครั้งแรกที่ไม่อยากอยู่ติดห้อง แล้วเธอก็มองออกว่าชายหนุ่มพยายามหลบหน้า จึงส่งยิ้มให้เจ้านายพร้อมปล่อยแขนแนบลำตัว ส่งยิ้มให้เขาพร้อมเอ่ยเน้นย้ำเพื่อทำตามความต้องการของอีกฝ่าย ถึงตัวเองจะน้ำตาตกในก็ตาม
“เดี๋ยวหนูไปซื้อมากินแล้วจะไลน์บอกค่ะ”
“ดี รีบกินด้วยล่ะ” พยักหน้าเป็นการรับทราบเดินออกจากห้องเพื่อไปยังประตูลิฟต์ กลับถูกเธอเดินเข้ามาขวางหน้าเอาไว้ คิ้วหนาขมวดมุ่นไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้หล่อนจึงได้พยายามทำตัวติดกับเขานัก เริ่มไม่ชอบใจในการกระทำของเมษาจนแสดงออกทางสีหน้า
“คุณคีนมีแฟนแล้วเหรอคะ” ไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้จากปากเธอ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ เขาพอจะเดาความรู้สึกของเธอออกว่าคิดเช่นไรกับตน
ถึงกระนั้นก็ไม่อาจตอบรับความรักของอีกฝ่ายได้
“ไม่เชิงแฟน แต่ฉันมีคนที่ชอบแล้ว ชอบมาเกือบสิบปีแล้วก็ไม่คิดจะหาใครมาแทนที่” สบตาหล่อนพร้อมบอกความจริงเพื่อให้เธอตัดใจ อย่างไรเรื่องของเราก็ไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วคำตอบของเขาก็ทำให้เธอหน้าหม่นลง
ยอมเดินหลีกทางไม่คิดจะรั้งเขาไว้อีกต่อไป ถอนหายใจยอมแพ้กับความจริงที่ได้พบ มีเพียงหล่อนที่รู้สึกไปเองคนเดียว ส่วนเขาไม่ได้มีความรักมอบแก่กัน หัวใจของชายหนุ่มมีเจ้าของแล้ว เธอเองก็ต้องยอมรับความจริงสักที
“เดินทางปลอดภัยค่ะ” โบกมือลาด้วยรอยยิ้ม ถึงจะเป็นยิ้มแสนเศร้าที่ติดตาเขาแม้ว่าจะลงลิฟต์ไปถึงชั้นล่างแล้วก็ตาม
ร่างสูงยีศีรษะตัวเองอย่างหงุดหงิดเมื่ออยู่ในกล่องโดยสารลำพัง กระชับกระเป๋าที่ถือไว้แน่น ในหัวคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องเมื่อคืนและสายตาของเมษาที่มองกันอย่างตัดพ้อ เขารู้ดีว่าจะโทษแอลกอฮอล์ทั้งหมดไม่ได้เพราะตนไม่ได้เมาจนจำอะไรไม่ได้ขนาดนั้น
แค่ได้อ้อมกอดอบอุ่น กลิ่นกายหอมหวานกับน้ำเสียงนุ่มกระซิบข้างหู กลับทำให้เขาเตลิดเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอ คิดแล้วก็ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเป็นเอามากขนาดนี้ เพียงแค่ได้สัมผัสร่างกายของเธอก็ไม่อาจหยุดยั้งความต้องการของตัวเองเอาไว้ได้
เขายอมรับเลยว่าเซ็กส์เมื่อคืนไม่ได้มีแค่ความต้องการปลดปล่อยอย่างเดียว หากแต่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ที่แฝงด้วยความอ่อนโยน ไม่ได้กระแทกกระทั้นเอาแต่ใจกลับเลือกปรนเปรอจนหญิงสาวสุขสมเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะยามที่เห็นใบหน้าของหล่อนเหยเกเมื่อถูกล่วงล้ำก็ทำให้นึกปวดหนึบกลางลำตัวจนต้องรีบเอากระเป๋ามาบดบัง
ไอ้บ้าเอ๊ย...จะมาต้องการตอนนี้ไม่นะเว้ย
ย้ำเตือนกับตัวเองแล้วพยายามคิดถึงเรื่องอื่น บอกให้เธอลืมกลับกลายเป็นตนที่จำได้ทุกสัมผัส ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเข้าหน้าหล่อนติดหรือเปล่า เพียงแค่คิดว่าต้องอยู่ห้องเดียวกันก็ทำตัวไม่ถูกแล้ว
หรือเขาต้องหาเรื่องกลับดึกจะได้ไม่ต้องพบเธอดีนะ...
นอนที่บริษัทเลยดีไหม...
ระหว่างทำงานชายหนุ่มเลือกจะตัดโลกภายนอกแล้วจริงจังกับหน้าที่ของตัวเอง แต่ก็แปลกที่กลับเผลอเหม่อบ่อยครั้งจนลูกน้องต่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายของตัวเอง งานเสร็จตั้งแต่ช่วงเช้าส่วนบ่ายก็แยกย้ายกันไปตามแผนกต่างๆ เพื่อสอนการใช้งานเว็บไซต์ใหม่ที่พวกเขาเพิ่งเขียนขึ้น
หัวหน้าแผนกไอทีนั่งอยู่หน้าจอแล้วพิมพ์เอกสารบางอย่าง ใบหน้าเคร่งเครียดจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ปล่อยเขานั่งทำงานคนเดียวกระทั่งมีข้อความเข้ามาจึงได้ละจากงานแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู
‘กินยาแล้วนะคะ’
ข้อความจากคนที่อยู่ห้องทำให้ไม่อาจละสายตาได้ ถึงจะมีช่องทางการติดต่อกันแต่ก็ไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้ง นี่จึงเป็นครั้งแรกทำให้เขาเผลอมองข้อความอยู่หลายนาที ก่อนวางโทรศัพท์คว่ำลงพลางถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม
ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำเช่นไรกับสถานการณ์ตอนนี้ ปวดหัวจนต้องเอนกายพิงพนักแล้วสั่งปริ้นเอกสารที่พิมพ์เสร็จ นั่งเหม่อมองหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อ่านรายละเอียดตรงหน้าอีกครั้งเพื่อไม่ให้ตกหล่นในแต่ละประเด็น
เขาทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากตัดปัญหาออกจากชีวิต แค่ที่เป็นตอนนี้ก็จัดการไม่ได้ จึงไม่อยากเพิ่มเรื่องไม่เป็นเรื่องเข้ามาอีก เมื่อเขายังไม่ถลำลึกก็คงง่ายในการจะตัดหล่อนออกไปจากชีวิต แต่แค่นึกว่ากลับห้องไปจะไม่เจอหญิงสาว ก็รู้สึกหายใจลำบากทั้งคอแห้งผากจนต้องหยิบขวดน้ำมาดื่ม กลับมานั่งเหม่อมองเอกสารอีกครั้ง
“พี่คีน พี่คีนพี่!” เสียงดังข้างหูทำให้เขาสะดุ้ง หันไปตบศีรษะคนอยู่ใกล้จนอีกฝ่ายต้องลูบหัวปอยๆ
“เหี้ยอะไรไอ้โจ๊ก มึงตะโกนเสียงดังใส่หูกูทำไม พูดเบาๆ ก็ได้ยินแล้วไอ้เวร” ด่าไม่หยุดด้วยความหงุดหงิด ทำให้คนที่เป็นหน่วยกล้าตายต้องหันไปมองเพื่อนที่เหลือซึ่งก้มหน้าลงแล้วแสร้งทำงานอย่างขะมักเขม้น
“เรียกเป็นสิบรอบไม่เห็นตอบรับ ผมเลยต้องตะโกนเสียงดังเพื่อปลุกพี่ไงครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าทำไมถึงเหม่อแบบนี้ล่ะพี่” ไม่ได้สลดถึงจะโดนตบกบาลก็ตาม รีบเลื่อนเก้าอี้มานั่งแล้วขยับเข้าหาเจ้านาย ด้วยนิสัยเป็นกันเองของเขาทำให้ลูกน้องกล้าจะเข้ามาพูดคุยด้วย ทั้งยังคำเรียกอย่างสนิทสนมเหมือนพี่น้องมากกว่าเจ้านายลูกน้อง
