๓ ระหว่างเราแสนห่างไกล (๓)
“เฮ้ยๆๆ ร้องไห้ทำไม” ยื่นกระดาษทิชชู่ไปตรงหน้าเธอ ซึ่งร่างบางก็รับมาถือเอาไว้ก่อนซับน้ำตาของตัวเอง หยิบน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มจนหมดแก้วความเผ็ดก็ยังไม่หาย ยังสะอื้นไห้จนโต๊ะข้างเคียงเหลือบมอง แต่เหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่สนใจสักนิด
“มันเผ็ด ฮึก” คำตอบที่ได้ฟังทำให้เขานึกหงุดหงิดปนสงสารหล่อน รีบรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นมาตรงหน้าอีกฝ่าย คิดว่าคงจะคลายความเผ็ดได้บ้าง ขณะที่กุลิสราก็ร้องไห้หักกว่าเดิมจนใบหน้าแดงก่ำเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้
รู้ทั้งรู้ว่ากินเผ็ดไม่เก่งแล้วยังจะกินอีก ไม่รู้จะทำอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้ดี...
“แล้วใครบอกให้เธอสั่งเผ็ดกันล่ะ ฉันก็บอกแล้วว่าให้สั่งส้มตำเด็กอนุบาล กินเผ็ดแล้วเป็นแบบนี้ตลอดเลย ถ้าเธอท้องเสียคุณอาเล่นฉันตายแน่” บ่นเพื่อนไม่หยุดแล้วมองเธอนั่งเช็ดน้ำตาเหมือนเด็กเล็กก็เผลอถอนหายใจเสียงดัง
รู้ดีว่าหญิงสาวทานเผ็ดไม่ได้และไม่ชอบทาน แต่คราวนี้ถึงกับออกปากเอง เหตุผลเดียวที่พอจะคิดออกคืออยากร้องไห้นั่นแหละ เพียงแค่เอาเรื่องความเผ็ดมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น เป็นเพื่อนกันมาหลายปีทำไมเขาจะมองไม่ออก
เธอเสียใจเรื่องของกวิน ผิดหวังมานับครั้งไม่ถ้วน คิดว่าจะไม่ร้องไห้สุดท้ายก็ยังกลับมาเสียน้ำตาเหมือนเดิม เรื่องของเรามีสองทางเลือกคือดันทุรังแล้วจบลงที่การแต่งงานโดยที่เธอจะไม่มีวันได้รับความรักจากเขา หรืออีกทางคือเลือกเดินออกมาจากความเจ็บปวด
ซึ่งเธอใจไม่กล้าพอจะทำแบบนั้น จึงเลือกอยู่แบบช้ำๆ เพราะอย่างน้อยก็ยังได้เคียงข้างคนที่ตัวเองรัก
“ไม่หรอกน่า อึก” สะอื้นตัวโยนแล้วคว้าน้ำมาดื่มอีกครั้ง ทั้งเจ็บที่ใจไหนจะเผ็ดแสบร้อนปากอีก ไม่รู้ว่าเธอคิดถูกหรือผิดกันแน่ที่เลือกมากินอาหารเผ็ดเพื่อตัวเองจะได้มีเหตุผลในการร้องไห้ ระบายความอัดอั้นในใจบ้าง
“ดื่มน้ำๆ”
“ดีขึ้นหรือเปล่า” ปากอวบอิ่มเม้มแน่นเมื่อถูกถาม ถึงจะอยากเลิกกินแต่ก็นึกเสียดายอาหารมากมายที่สั่งมาตรงหน้า
“อือ ก็ดีขึ้นนะ...กินเร็วสั่งมาตั้งเยอะ” ริมฝีปากแดงทั้งยังรอบปากแดงอีกต่างหาก ดวงตายังคลอไปด้วยน้ำสีใสแต่เธอกลับชวนเขากินอาหารตรงหน้าต่อ ร่างสูงหมดอารมณ์จะกินจึงหยิบน้ำเปล่าขึ้นดื่ม พร้อมลุกยืนค่อยคว้าข้อมือเล็กให้ลุกตาม
“ช่างมันเถอะน่า กินไม่ไหวแล้วจะฝืนไปทำไม ไม่ต้องกินแล้วไปที่อื่นดีกว่า” มองอาหารที่เธอไม่ได้อยากกินแล้วบังคับหญิงสาวให้ออกไปข้างนอก อย่างไรเธอก็กินไม่ได้และเขาเองก็กินไม่ลงเช่นเดียวกัน แล้วอย่างนั้นจะอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไร
สู้ออกไปข้างนอกแล้วทำตามความต้องการของเธอดีกว่า แม้หญิงสาวจะไม่เอ่ยออกมาแต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองควรทำอย่างไร
“จะไปไหน...ยังไม่ได้จ่ายตังค์เลย” พยายามยื้ออีกฝ่ายเอาไว้ ซึ่งเขาก็ยอมปล่อยมือเธอก่อนจะหยิบธนบัตรออกมาวางลงบนโต๊ะ พอดีกับที่พนักงานเดินเข้ามาเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเห็นทั้งสองกำลังฉุดยื้อกันจึงเป็นห่วง
“เงินค่าข้าวนะครับ ไม่ต้องถอนนะ” จ่ายเงินเรียบร้อยก็รีบออกจากร้านในทันที คนตัวเล็กกว่าพยายามก้าวตามให้ทันโดยที่มืออีกข้างก็ยังถือกระเป๋าของตัวเองเอาไว้ ห่างจากร้านอาหารการก้าวเดินก็กลับมาปกติเหมือนเดิม
กระทั่งมาถึงที่จอดรถยนต์แล้วเขาเปิดประตูให้หล่อนนั่งเบาะข้างคนขับ ร่างบางถูกจับยัดเข้าไปข้างในก่อนเจ้าตัวจะมาประจำตำแหน่งเดิม เคลื่อนพาหนะออกจากตึกสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่ยังคงรู้สึกผิดต้องรีบดื่มน้ำขวดที่คว้ามาจากร้านพร้อมหันมาถาม
“นายจะพาฉันไปไหน” ยังไม่ทันจะออกจากห้างสรรพสินค้าก็หันมาถามรวดเร็ว
“นั่งเฉยๆ ไปเถอะน่า ไม่พาเธอไปต้มยำทำแกงที่ไหนหรอก ถึงผมจะหน้าเหี้ยมแต่หัวใจก็หวานแหววนะครับคุณ” เขาไม่ยอมบอกในคราวแรก เลือกจะตอบปัดเพราะอยากให้เธอเซอร์ไพรส์มากกว่า แต่กุลิสราก็ไม่ต้องการจะคาดเดา
“อย่าลีลาสิคีน บอกได้หรือยังจะพาไปไหน” นึกหมั่นไส้คนที่อมพะนำไม่ยอมพูด จึงพยายามเค้นถาม เขาเห็นใบหน้าที่บูดบึ้งของคนที่นั่งข้างกันก็หลุดยิ้ม ยอมเฉลยถึงที่หมายกลัวว่าหล่อนจะร้องไห้เสียก่อน
บอกแล้วว่าเขาจัดการกับปัญหาไม่เก่ง ยิ่งเห็นน้ำตาของผู้หญิงก็ยิ่งแพ้...
“พาเธอไปตามหาหัวใจไง” หันมายักคิ้วให้หนึ่งครั้งแล้วกลับไปมองถนนข้างหน้า ทำเอาร่างบางถึงกับพูดไม่ออก เหมือนเขารู้ว่าเธอต้องการอะไรจึงทำให้หมดทุกอย่าง กระทั่งขับรถทางไกลเพื่อพาไปส่งให้ถึงมือคนที่รัก
ไม่รู้ว่าจะตอบแทนเพื่อนอย่างไรกับความแสนดีของเขา อีกทั้งยังรู้สึกผิดที่ไม่อาจตอบรับความรักของชายหนุ่มได้
“จะพาไปหัวหิน ไปส่งให้ถึงมือคนที่เธอรัก...ดีหรือเปล่า” พูดแล้วก็ยกมือมาวางไว้บนศีรษะมน เธอเห็นอย่างนั้นก็น้ำตาคลอ สุดท้ายก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาจนได้ ซาบซึ้งกับการกระทำของเขาจึงเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงสั่น
“คีน...” เหลียวมองเธอครู่หนึ่งก่อนหลุดยิ้ม
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า บอกแล้วไงว่าฉันแข็งแกร่ง” รู้ว่าหญิงสาวห่วงความรู้สึกของตนและยังขอบคุณที่ทำให้มากขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันเหลือบ่ากว่าแรง อะไรที่ช่วยได้ก็อยากช่วย ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำให้กุลิสรามีความสุขก็อยากทำ
เพราะวันที่เขาไม่มีใคร ก็ยังมีหญิงสาวอยู่ข้างกายมาตลอด...
“ขอบคุณมากนะ”
