๓ ระหว่างเราแสนห่างไกล (๒)
“กินข้าวมาหรือยังเราไปกินข้าวกันไหม ฉันรู้จักร้านดังหลายร้านเลยนะ เธออยากกินอะไรขอแค่บอกมา นายคีนคนนี้จะพาคุณหนูแยมไปเองครับ” ระหว่างทางก็หันมาชวนหล่อนคุยไปด้วย พยายามทำให้เธอกลับมายิ้มอีกครั้ง
แทบจะปูพรมแดงเพื่อเชิญหล่อนขึ้นบนรถ คิดว่าจากชุดที่เธอสวมอาจจะเป็นร้านอาหารมิชลินห้าดาว หรือห้องอาหารในโรงแรม ไม่ก็ร้านในห้างสรรพสินค้า แต่คำตอบของหล่อนทำเอาเขาถึงกับชะงัก เหลียวมองด้วยความสงสัย
“อยากกินส้มตำ” ถึงรถยนต์คันหรูก็ยังไม่ยอมเปิดประตูเข้าไปนั่ง หันมามองเขาแล้วบอกความต้องการของตัวเอง คราวนี้ร่างสูงถึงกับชะงัก เพราะรู้รสนิยมของหญิงสาวดีว่าเป็นคนชอบอาหารอิตาเลี่ยนมากกว่า
“กินเผ็ดได้เหรอ” ถามย้ำไม่ค่อยมั่นใจ แต่เจ้าตัวกลับพยักหน้าขึ้นลงทั้งยิ้มกว้างเพื่อให้เขามั่นใจว่าตนสามารถกินได้ แม้ว่าตัวเองจะไม่สามารถกินเผ็ดได้ก็ตาม ไม่รู้ทำไมใจก็นึกอยากกินอาหารเผ็ดขึ้นมาซะอย่างนั้น
“ได้สิ พาไปได้หรือเปล่าล่ะ” เอียงศีรษะแล้วหันไปถามคนที่ยืนข้างกัน
“แน่นอนอยู่แล้ว วันนี้เป็นวันของเธอโดยเฉพาะเลย บอกไว้ก่อนฉันไม่ค่อยมีเวลาว่างบ่อยเท่าไหร่หรอกนะ ให้เฉพาะคนสำคัญเท่านั้น” คนฟังถอนหายใจทันทีกับคำหยอดของเขา รู้ว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นสักที กลายเป็นเธอที่ต้องรักษาระยะห่างของเราเอาไว้
“หาให้เจอก่อนเถอะคนสำคัญน่ะ” ส่งค้อนให้เขาวงโต ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจปล่อยผ่านคำพูดของหล่อนไปได้ จึงส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้ว่าที่พี่สะใภ้ของตัวเอง
“ก็เจอแล้ว...แต่เขาไม่รับรักสักที” จากที่เศร้าเรื่องของกวินกลายเป็นมาเหนื่อยใจเรื่องของคนน้องแทน สองพี่น้องชักจะเล่นกับความรู้สึกของเธอมากเกินไปแล้ว
“ฉันจะเป็นพี่สะใภ้นายแล้วนะ เลิกมองตาหวานเชื่อมแล้วก็หยุดจีบกันได้แล้ว ไม่ว่ายังไงฉันก็ยังยืนยันคำเดิม...นายควรเจอคนที่รักนาย” แตะที่ไหล่หนาพร้อมพูดชัดเจนที่ย้ำไปหลายรอบแล้ว แต่เหมือนเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยวางความรู้สึกสักที
ยังดีที่คีตภัทรไม่ได้ทำให้หล่อนอึดอัด แม้เขาจะพูดหยอดแต่ก็ยังรู้ดีว่าไม่อาจพัฒนาไปได้มากกว่านี้ จนเธออดรู้สึกผิดกับอีกฝ่ายไม่ได้
เพราะเขายังไม่เคยมีความรักจริงจังสักครั้ง จึงไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้คือรักหรือผูกพันกันแน่...
“เฮ้อ ไปกินส้มตำกันเถอะ ขี้เกียจฟังคำปฏิเสธให้เจ็บใจเล่นแล้ว ไม่รู้ไอ้พี่กวินมันดีกว่าฉันตรงไหน...โอ๊ย ตีทำไมเนี่ย เจ็บนะ” เบื่อกับการถูกไล่จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วยังไม่วายเอ่ยจิกกัดพี่ชายของตัวเองให้หญิงสาวต้องตีที่แขนหนาเป็นการตักเตือน เขาถึงกับสะดุ้งแต่ก็ไม่ได้เจ็บมากนัก เพียงแค่อยากเรียกร้องความสนใจจากกุลิสราเท่านั้น
“เรียกพี่ชายให้มันดีๆ หน่อย” เบะปากทันทีพร้อมเปลี่ยนสีหน้าแย้มยิ้ม ค้อมศีรษะรับคำเธอ
“ครับผม ขอโทษครับคุณแยม ต่อจากนี้กระผมจะเรียกว่าคุณพี่กวินทุกคำทุกประโยคเลย พอใจคุณหนูแยมแล้วใช่ไหมขอรับ” จ้องใบหน้าหวานแล้วกระพริบตาปริบ เป็นการแสดงที่น่าเหนื่อยหน่ายใจจนหญิงสาวต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง
ให้ทะเลาะกันอยู่ตรงนี้ตลอดทั้งวันก็ไม่ไหวหรอก
“นายนี่...รีบพาฉันไปกินข้าวได้แล้ว” เขาหัวเราะทันทีเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงที่ไร้แววความเศร้า จึงยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าตัวเองทำให้เธอมีความสุขได้บ้าง แม้จะเล็กน้อยก็ยังดีกว่าเห็นน้ำตาของอีกฝ่าย
มือหนาเอื้อมไปเปิดเปิดตูรถยนต์ให้เธอแล้วเดินอ้อมไปนั่งประจำตำแหน่งข้างคนขับ เคลื่อนตัวออกจากลานจอดเพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่เธอต้องการรับประทาน เลือกจะกินในห้างสรรพสินค้าของเครือ Center MP ที่เป็นธุรกิจของครอบครัว ถึงจะเป็นเจ้าของก็ไม่ใช่ว่าสามารถกินฟรีได้ อย่างไรก็ต้องจ่ายเงินเหมือนคนอื่น
เข้ามาในร้านก็เลือกโต๊ะมุมสุดก่อนหันไปสั่งอาหาร ระหว่างรอก็มองผู้หญิงซึ่งนั่งตรงข้าม เห็นเธอไม่ได้เศร้าเหมือนตอนแรกก็พอคลายความกังวลไปได้บ้าง เผลอมองดวงหน้าหวานนานจนคนถูกจ้องรู้สึกตัวเงยหน้ามองตอบ
“แยม...” เรียกชื่อเธอเสียงเบา
“หือ” ตอบรับในลำคอ รู้ว่าชายหนุ่มคงมีเรื่องจะพูดกับเธอเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้ระหว่างเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
รู้จักกันตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่สนิทกัน เขาเป็นเพื่อนที่ดีของเธอมาตลอด น่าจะเป็นเพื่อนผู้ชายเพียงคนเดียวที่คบกันมานาน กระทั่งวันที่มารดาของชายหนุ่มเสียไป คนติดแม่ก็เสียศูนย์ไปพักหนึ่งจนเธอต้องคอยอยู่เคียงข้างให้กำลังใจ
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการถูกเพื่อนรักแอบรัก แต่เขาก็ไม่ได้ปิดบังความรู้สึกทั้งยังสารภาพรักอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเธอก็ปฏิเสธชัดเจนเช่นเดียวกัน ไม่ได้คิดกับคีตภัทรมากเกินกว่าเพื่อนคนหนึ่ง ชายหนุ่มก็ดูจะเข้าใจไม่ได้เซ้าซี้ พวกเรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมจนเขาเรียนจบปริญญาตรีและไปต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ
คิดว่าความรักฉันหนุ่มสาวคงหมดไป ไม่คิดเลยว่ากลับมาไทยจะถูกสารภาพรักอีกครั้ง และเธอก็ยังยืนยันคำเดิมคือเป็นแค่เพื่อน...
“อารมณ์ดีแล้วใช่ไหม” จ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมที่ยังเหลือร่องรอยความเศร้า อุตส่าห์รอวันที่ได้ลองชุดแต่งงานไม่นึกว่าชายหนุ่มจะเบี้ยวนัดโดยไม่โทรมาบอกก่อน แล้วยังส่งคนอื่นมาแทนอีกต่างหาก เหมือนเขาไม่เห็นความสำคัญของเธอเลยสักนิด
การแต่งงานก็แค่ผลประโยชน์ทางธุรกิจสำหรับกวินสินะ...
ไม่เหมือนหล่อนที่แต่งกับเขาเพราะความรัก
“ก็...ดีขึ้นบ้าง” พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อให้คนตรงข้ามสบายใจ เขาเห็นอย่างนั้นก็เอื้อมมือมายีศีรษะมนด้วยความเอ็นดู ทำให้เธอต้องรีบปัดมือหนาออกรวดเร็ว กลัวว่าผมตัวเองจะยุ่งก่อนมองค้อนอีกฝ่ายที่แกล้งกัน
“เก่งมากเจ้าหนู”
“บ้า” มองค้อนใส่เขาพอดีกับที่อาหารเริ่มทยอยออกมาเสิร์ฟ
แค่เห็นสีพริกบนส้มตำก็ทำคนมองลอบกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก เธอจับช้อนส้อมมือสั่นเทาเล็กน้อย ขณะที่คีตภัทรก็นึกเป็นห่วงไม่คิดว่าหล่อนจะสามารถกินเผ็ดได้ คิดจะถามอีกครั้งก็ไม่ทันเพราะกุลิสรากินส้มตำคำโตตามด้วยข้าวเหนียวและไก่ย่าง
ชายหนุ่มยังไม่กล้ากินอะไรสักอย่าง ทำได้เพียงจ้องหล่อนด้วยความเป็นห่วงอย่างเดียว กลัวว่าเพื่อนสนิทของตัวเองจะทานไม่ไหว ทั้งยังกังวลว่าหญิงสาวจะท้องเสีย จึงทำเพียงนั่งมองก่อนที่หญิงสาวจะร้องไห้ออกมาทำเอาเขาตกใจยิ่งกว่าเดิม
