๓ ระหว่างเราแสนห่างไกล (๑)
๓
ระหว่างเราแสนห่างไกล
วันอาทิตย์ที่ควรไปสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนของบิดาที่มีคอนเนคชั่น กลับต้องมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านเช่าชุดแต่งงานชื่อดังซึ่งมีลูกค้ามาใช้บริการนับพัน จอดรถที่ซอยใกล้เคียงแล้วยืนมองป้ายขนาดใหญ่หน้าร้าน ความรู้สึกหลากหลายตีกันในหัว อยากหันหลังแล้วเดินกลับขึ้นรถ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ไม่สนใจกับคำขอร้องของพี่ชาย
แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะคนที่จะเสียใจคือผู้หญิงที่เขารัก เพียงแค่คิดว่าจะเห็นน้ำตาของเธอก็ต้องยกมือนวดขมับ ยอมรับว่าไม่สามารถรับมือกับน้ำตาของผู้หญิงได้ เขาไม่ใช่คนพูดปลอบเก่งหรือเป็นที่ปรึกษาได้ดี ขนาดชีวิตของตัวเองยังจะเอาไม่รอด แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้ยังไง
ใบหน้าหล่อส่ายไปมาอย่างเชื่องช้า ยืนลังเลอยู่หน้าร้านเกือบนาทีก่อนถอนหายใจเสียงดัง ตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปในร้านแล้วทำทุกอย่างให้เสร็จเร็วที่สุด แม้จะไม่อยากเป็นตัวแทนของใครแต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เขาไม่อยากเห็นเธอร้องไห้...
นั่นเป็นความปรารถนาเดียวที่ทำให้คีตภัทรต้องเดินเข้ามาในร้านเช่าชุดแต่งงาน
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจหนักจนพนักงานที่กำลังจะเดินเข้ามาต้อนรับถึงกับชะงัก ใบหน้าของแขกหนุ่มดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะแต่งงานเลยสักนิด หล่อนจึงทำเพียงยกมือไหว้แล้วเขาก็ยิ้มรับ ค่อยเดินขึ้นไปยังชั้นสองเหมือนรู้ว่าคนที่ตัวเองต้องการพบอยู่ที่ไหน
ร้านสามชั้นที่ขยายอาณาเขตค่อนข้างกว้าง นอกจากมีชุดให้เช่านับพันยังรับออกแบบชุดแต่งงานอีกต่างหาก เขาไม่ค่อยรู้รายละเอียดของร้านมากนัก เพียงแค่ต้องมาทำหน้าที่แทนเจ้าบ่าวซึ่งหนีงานเป็นที่เรียบร้อย
หมายเลขห้องที่ติดหน้าประตูทำให้เขารู้ว่าจุดหมายของตัวเองคือห้องใดเพราะพี่ชายบอกมาแล้ว เหมือนว่ากวินจะเตรียมพร้อมเพื่อทิ้งเจ้าสาวมาอยู่ในความดูแลของเขา ราวกับทุกอย่างถูกวางแผนไว้ก่อนแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าพี่ชายจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
คิดจะล้มเลิกงานแต่งแล้วให้เขาเป็นเจ้าบ่าวแทนหรือไง ยิ่งคิดก็หงุดหงิดมากกว่าเดิม ถึงตนจะชอบคู่หมั้นของพี่แต่ก็ไม่อยากได้เธอมาจากการแย่งชิง
เขาต้องการความรักมากกว่า...
และรู้ดีว่าหญิงสาวไม่ได้คิดกับตนเกินกว่าความเป็นเพื่อน คีตภัทรตระหนักได้ดีแต่ก็ยังไม่รู้วิธีตัดใจจากเธอ
ตอนนี้จึงทำได้เพียงมองหญิงสาวที่กำลังลองชุดแต่งงานด้วยใบหน้าแจ่มใส แววตาเปล่งประกายสะท้อนผ่านกระจกบานใหญ่ ทำให้เขานึกสงสารถ้าเธอเห็นว่าคนที่มาลองชุดไม่ใช่เจ้าบ่าวตัวจริง กลับเป็นเพียงแค่ตัวแทนอย่างเขา
เสียงประตูเปิดและปิดลงทำให้คนที่กำลังลองชุดหันมามอง ทราบในทันทีว่ากวินมาถึงแล้ว แต่เมื่อเห็นหน้าคนเข้ามากลับไม่ใช่ชายที่ตัวเองกำลังเฝ้ารอ รอยยิ้มที่แย้มกว้างค่อยลดลงจนกลายเป็นความเรียบเฉย
คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่รู้ในทันทีว่าเธอผิดหวัง...
“คีน ทำไมนายถึงมา...” เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยแล้วหันไปมองพนักงานที่ช่วยเปลี่ยนชุดให้เจ้าสาวอีกสองคน เพียงแค่มองตาก็รู้ว่าทั้งสองต้องการความเป็นส่วนตัว พวกหล่อนจึงค้อมศีรษะแล้วค่อยเดินออกจากห้องราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
คำถามของเธอไม่น่าแปลกใจ คิดว่าหญิงสาวจะต้องอยากรู้อยู่แล้ว เพราะเธอรอคอยวันที่ได้มาลองชุดกับกวินแบบนับวันรอ พอถึงวันจริงคนที่รอกลับไม่มา หัวใจที่พองโตเหี่ยวเฉาเหมือนมีคนเอาเข็มมาจิ้มจนมันฟีบแบน
“พี่กวินต้องไปดูงานที่หัวหินเลยให้ฉันมาแทน งานมันเร่งเขาเลยไม่ได้บอกเธอน่ะ...ลองชุดต่อเลยไหม” ทรุดกายลงที่โซฟานุ่มแล้วหยิบน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย ทั้งที่ไม่ได้วิ่งหรือใช้กำลังเลยสักนิดแต่ไม่รู้ทำไมลำคอถึงแห้งผาก
วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะแล้วมองผู้หญิงตรงหน้าที่สวมชุดเจ้าสาวสีขาวแสนบริสุทธิ์ กุลิสรา ยสุตมา คือเพื่อนที่รู้จักกันมาแต่เด็ก ความรู้สึกของเขามองเธอเป็นคนสนิทมาตลอดกระทั่งเปลี่ยนไปยามที่หล่อนอยู่เคียงข้างเมื่อมารดาจากไป ไม่รู้ว่ามันพัฒนามากกว่าเพื่อนได้อย่างไร
เขาบอกชอบและถูกปฏิเสธตั้งแต่ครั้งแรก แต่ก็ยังไม่ย่อท้อบอกเป็นครั้งที่สองในหลายปีต่อมา กลับพบความเจ็บช้ำเหมือนเดิมเพราะหล่อนไม่ได้คิดเหมือนกัน
กุลิสรารักพี่ชายของเขา...
“ลองวันอื่นก็ได้ รอวันที่เขาว่างดีกว่า” ความตื่นเต้นหมดไปหลงเหลือเพียงความเศร้าเท่านั้น
ร่างสูงนั่งนิ่งพอจะคาดเดาความรู้สึกของเธอได้จึงไม่อยากถามอะไรให้มากความ ตนไม่ใช่คนที่หญิงสาวเฝ้ารอ เมื่อมาเป็นตัวแทนโดยที่หล่อนไม่ต้องการก็เป็นธรรมดาหากหล่อนจะผิดหวัง แววตาที่สดใสถูกบดบังด้วยความหม่นหมอง
คนมองก็พลอยรู้สึกเศร้าไปด้วย รู้สึกว่าถึงวันนี้จะไม่ใช่วันจริงแต่เธอก็แต่งหน้าทำผมมาสวยเป็นพิเศษ กลับกลายเป็นว่าคนที่ควรอยู่ตรงนี้กลับไม่อยู่ซะอย่างนั้น
“เอาแบบนั้นเหรอ”
“อืม” พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัว โดยที่เขาก็ทำเพียงนั่งรอหล่อนกระทั่งกุลิสราเดินออกมาด้วยชุดเดรสสีหวานต่างจากสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด
เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อให้หญิงสาวกลับมาสดใสอีกครั้ง ทำได้เพียงเดินตามเธอออกจากห้องส่วนตัว สอดมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างเกะกะไปหมด ตอนเป็นเพื่อนกันยังวางแขนไว้บนไหล่เธอได้ ไม่รู้เหตุใดยามคิดไม่ซื่อถึงไม่กล้ากระทั่งจะแตะตัวอีกฝ่าย
ไหนจะสถานะของเราที่เปลี่ยนจากเพื่อน กลายเป็นพี่สะใภ้กับน้องชายสามี...
พวกเขาไม่ควรสนิทสนิมกันเกินไป เกรงสายตาคนนอกที่มองเข้ามาอาจจะไม่ประสงค์ดี คิดว่าหญิงสาวคงให้คนรถที่บ้านมาส่ง เพราะจะได้กลับพร้อมกวินแต่เมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่ ก็จำต้องกลับบ้านพร้อมเขา จึงได้เดินนำไปยังรถยนต์ของตัวเอง
