๒ แม่บ้านชั่วคราว (๒)
“กินสิ” ตักข้าวเข้าปากคำแรกก็ไม่เห็นว่าหล่อนจะกิน อาหารตรงหน้ามีแต่น่าทานทั้งนั้น จึงใช้ช้อนของตัวเองตักปลาราดพริกลงบนจานของหล่อน ดวงตากลมกระพริบปริบเหมือนน้ำท่วมปาก ยิ้มแหยะก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ช้อน ช้อนกลาง...” อุตส่าห์วางช้อนกลางเอาไว้ เขากลับไม่ยอมใช้เสียอย่างนั้น
คิ้วหนาเลิกขึ้นแล้วมองอาหารแต่ละจาน พบว่ามีช้อนกลางวางไว้ซึ่งเธอคงอยากให้ใช้ แต่พอดีว่าเขาไม่ค่อยถนัดการใช้ช้อนกลางสักเท่าไหร่ ขี้เกียจวางช้อนของตัวเองแล้วใช้ช้อนกลาง ส่วนมากจึงเลือกกินข้าวคนเดียวเพราะไม่ต้องยุ่งยากมากพิธี
อยู่ที่บ้านมักจะถูกมารดาดุเสมอที่ไม่ยอมใช้ช้อนกลาง เมื่อก่อนฟังจนเบื่อแต่ตอนนี้เริ่มอยากให้มารดากลับมาบ่น แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เพราะท่านล่วงลับไปหลายปีก็ยังหวังว่าจะได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
แต่ที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่หยิบรูปถ่ายกับคลิปเก่ามาดูยามคิดถึงเท่านั้น...
“กินสองคนจะใช้ช้อนกลางทำไม กินเข้าไปเถอะ ตัวฉันไม่มีเชื้อโรคหรอก” เลือกจะตักอาหารโดยใช้ช้อนของตัวเองเข้าปาก หญิงสาวนั่งหน้านิ่งไม่กล้าตักอะไรกินสักอย่าง พรูลมหายใจเสียงเบาพยายามรักษามารยาทเอาไว้แล้วบอกสิ่งที่ตัวเองคิด
“แต่ว่าเพื่อสุขอนามัยที่ดีเราก็ต้องใช้ช้อนกลางนะคะ” ดูท่าว่าหากไม่ทำตามความต้องการของเธอ อาจได้ยินคำบ่นและใบหน้าบูดบึ้งอีกนาน เขายังต้องการกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย จึงจำยอมใช้ช้อนกลางตามความต้องการของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“โอเค ใช้แล้ว พอใจไหมครับคุณหนูเมษา” รู้ดีว่ากำลังถูกประชดแต่ก็อดที่จะดีใจไม่ได้เมื่อชายหนุ่มยอมทำตามความต้องการของตน ปากอวบอิ่มจึงแต้มยิ้มแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ทำให้คนฝั่งตรงข้ามนึกพึงพอใจ
“ไม่ใช่คุณหนูสักหน่อยค่ะ หนูเป็นแม่บ้านต่างหาก”
ไม่มีการต่อล้อต่อเถียงอีก ทั้งสองรับประทานอาหารร่วมกันโดยไม่มีประโยคชวนคุย แต่ก็ไม่ได้อึดอัดเลยสักนิด อาหารพร่องไปกว่าครึ่งแล้วสุดท้ายก็เกลี้ยงหมดจาน ไม่แน่ใจว่าเขากินเร็วหรือเป็นเธอกันแน่ที่ละเมียดละไมในการรับประทานเสียเหลือเกิน
ร่างหนากินข้าวหมดไปสองจานแล้ว แต่เธอเพิ่งกินไปแค่ครึ่งจานเท่านั้น ทำให้ตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มที่นั่งจ้องอีกฝ่ายกินข้าว แอบจับสังเกตว่าเธอรับประทานอาหารเรียบร้อยเหมือนผ่านการอบรมเป็นอย่างดี ไม่มีเสียงช้อนส้อมกระทบจาน เคี้ยวเสียงเบาแล้วยังปิดปากตลอดเวลาอีกต่างหาก
“เธอกินข้าวเรียบร้อยดีนะ” คนฟังถึงกับชะงัก ไม่รู้ว่าประโยคของเขาคือการจับผิดหรือเปล่า แต่ก็ทำให้หล่อนตื่นเต้นจนกลืนข้าวไม่ลง นึกอิ่มขึ้นมาทันทีจึงได้รวบช้อนส้อมพร้อมหยิบน้ำขึ้นดื่ม
“อิ่มแล้วเหรอ”
“ค่ะ” พยักหน้าเชื่องช้า
“กินให้หมด อีกสองสามคำก็หมดแล้วจะเหลือไว้ทำไม คงไม่ใช่เพราะไดเอทหรอกนะ” มองหญิงสาวด้วยแววตาดุ ข้าวที่ตักก็ไม่ได้เยอะยังกินไม่หมด ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ตัวเล็กนิดเดียว ลมพัดทีเดียวก็คงปลิวแล้ว
จึงได้บังคับให้หญิงสาวกินข้าวในจานให้หมด แม้ว่าหล่อนจะส่ายศีรษะแล้วส่งแววตาขอร้อง เธอไม่ใช่คนกินข้าวเยอะอยู่แล้ว เท่าที่ตักมาก็มากเกินกว่าปกติ
“หนูอิ่มแล้ว”
“กินให้หมด ไม่รู้หรือไงว่ากว่าจะได้ข้าวแต่ล่ะเม็ดชาวนาลำบากแค่ไหน” คนฟังถึงกับทำหน้าหงอยคล้ายจะร้องไห้ ไม่อยากกินต่อแต่เมื่อเห็นดวงตาคมที่จ้องไม่วางตาก็จำต้องตักข้าวเข้าปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนั้นชายหนุ่มยังตักกับให้เธอเสียพูนจาน
พอกำลังจะอ้าปากท้วงก็ถูกจ้องทำเอาไม่กล้าพูดอะไรอีก จำต้องกินข้าวที่เหลือและกับที่เขาตักให้หมด
โหดร้ายเกินไปแล้ว...
รับประทานอาหารเที่ยงจนอิ่มก็นำจานชามไปล้างแล้วมาเช็ดโต๊ะ โดยที่ร่างสูงนั่งทำงานอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ มีโน้ตบุ๊กหนึ่งเครื่องวางบนตัก พร้อมกับเสียงรัวแป้นที่เธอนึกสงสัยว่าเขากำลังทำอะไร เมื่อชะโงกหน้าไปมองก็พบว่าชายหนุ่มเขียนโปรแกรมด้วยภาษาที่หล่อนไม่เข้าใจ
ไม่ทราบว่าเขาทำงานอะไรรู้เพียงว่าทำที่ไหน เห็นเจ้านายมีสมาธิกับงานจึงไม่คิดกวน เลือกจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองออกมาจากเครื่องอบผ้า เดินเลี่ยงเข้าห้องเพื่อเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้แล้วค่อยออกมาข้างนอกเพราะอยากใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากที่สุด
แต่เหมือนชายหนุ่มจะไม่คิดเช่นนั้น อีกฝ่ายเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากห้อง ไม่มีแม้แต่คำร่ำลาหรือหันมามองกันสักนิด หล่อนจึงทำได้เพียงโบกมือให้เจ้านายแล้วยิ้มแววตาเศร้า ถึงเขาจะไม่หันมามอง แค่ได้ทำให้ก็ยังดี
ตึกสูงใจกลางมหานครเป็นสำนักงานหลักของ MP Group ซึ่งมีธุรกิจในเครืออย่างห้างสรรพสินค้าและโรงแรมอยู่ทั่วประเทศ ทั้งยังเริ่มตีตลาดต่างประเทศโดยผู้บุกเบิกคือคนรุ่นปู่ส่งต่อมายังรุ่นลูกและกำลังจะถึงรุ่นหลาน
ประตูถูกเปิดออกพร้อมการก้าวเดินที่เร่งรีบของหัวหน้าแผนกไอที นัดกับคนในทีมว่าวันนี้ต้องรันโปรแกรมทุกอย่างและเช็ครายละเอียดงานไม่ให้เกิดความผิดพลาด ทุกคนอยู่พร้อมหน้าขาดเพียงเขาคนเดียวจึงต้องรีบหน่อยไม่อยากให้งานล่าช้า
คีตภัทร เมธปิยาค้อมศีรษะพร้อมส่งยิ้มให้คนที่ยกมือไหว้ รีบแทรกตัวเข้าไปในลิฟต์ซึ่งเต็มไปด้วยผู้โดยสาร หมดเวลาพักแล้วทำให้พนักงานทุกคนต้องเร่งรีบกลับแผนกของตัวเอง ไม่เว้นกระทั่งคนที่มีตำแหน่งสูงอย่างเขาเช่นเดียวกัน
ลูกชายคนเล็กของประธานบริษัทที่ทำตัวติดดิน ต่างจากคนเป็นพี่อย่างกวิน เมธปิยาที่นั่งตำแหน่งรองประธาน อีกไม่นานคงขึ้นนั่งเก้าอี้สูงสุดเพียงแต่ตอนนี้คงต้องพิสูจน์ฝีมือให้เป็นที่ยอมรับจากผู้บริหารคนอื่นเสียก่อน อีกอย่างคนเป็นพ่อก็ยังคงแข็งแรงและสามารถทำงานได้อีกหลายปี ลูกชายทั้งสองจึงไม่คิดจะรีบให้พ่อลงจากตำแหน่ง
โดยเฉพาะคีตภัทรที่บอกชัดเจนว่าจะไม่รับตำแหน่งรองประธานเมื่อพี่ชายขึ้นเป็นประธานบริษัท เขาเรียนจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาคอมพิวเตอร์จึงอยากใช้ความรู้ที่เรียนมาในการทำงาน แม้ว่าจะต่อปริญญาโทด้านการบริหารแต่ก็ไม่ถนัดเอาเสียเลย จึงโยนงานทุกอย่างไปให้ผู้เป็นพี่ชายที่เก่งในด้านนี้
“คีน” พนักงานเริ่มทยอยออกไปเมื่อลิฟต์เลื่อนขึ้นชั้นสูง กระทั่งเหลือเพียงไม่กี่คนในกล่องสี่เหลี่ยม โดยที่เขาก็ไม่ได้สนใจจะมอง ทำเพียงก้มกดโทรศัพท์คุยงานกับคนในแผนกเพราะใกล้เวลาประชุมเข้ามาทุกทีแต่เขายังไม่ถึงห้อง จึงตัดสินใจบอกให้ทุกคนรันโปรแกรมไปก่อนแล้วเขาค่อยเก็บงานที่เหลือ
