๑ ไม่รู้จักเธอแต่รู้จักฉัน (๒)
“หนู ทำงานให้คุณได้ไหม” ถามเสียงเบา
“หะ ทำงานให้ฉันเหรอ” ถึงกับตกใจจนเผลอหันมามองแล้วถามเสียงดัง ก่อนหันกลับไปมองถนนบังคับพวงมาลัยเพื่อขับตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง ไม่คิดว่าจะได้เจอกับคำตอบที่สร้างความตกใจพอสมควร จากการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กลับกลายเป็นสร้างพันธะให้เธอเกาะติด
รับรู้ได้ถึงดวงตาที่มองไม่กระพริบ ชายหนุ่มค่อนข้างตกใจพอสมควรไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างไร
เพิ่งเจอกันไม่ถึงสามสิบนาทีด้วยซ้ำ ยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดแล้วจะกล้ารับเข้ามาทำงานได้ยังไง แววตาของเขายุ่งเหยิงบรรยากาศในห้องโดยสารมีเพียงความเงียบ ได้ยินแค่เสียงฝนที่ตกกระทบหลังคารถ ยิ่งทำให้หญิงสาวดิ่งมากกว่าเดิม
“หนูไม่มีที่ไปแล้ว ของทุกอย่างพวกนั้นก็เอาไป นอกจากคุณ...หนูก็ไม่มีใคร” ก้มมองหน้าตักของตัวเองแล้วบอกเสียงสั่น ดวงตาสั่นไหวพร้อมกับเสียงสะอื้นที่คนฟังเริ่มร้อนรนทำตัวไม่ถูกอีกครั้ง เหมือนถูกเร่งรัดเอาคำตอบจนเขาถอนหายใจเสียงหนัก
มิจฉาชีพหรือเปล่า...
แอบคิดด้วยความระแวง เหลือบมองคนข้างตัวดูเสื้อผ้าที่หล่อนสวมเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบธรรมดาที่ไม่ได้ราคาแพง ข้างกายไม่มีกระเป๋าหรือพกของสำคัญ คงจะจริงที่บอกว่าถูกขโมยไป ไหนจะโดนโกงอีกต่างหาก
คนอะไรจะซวยขนาดนั้น ถึงไม่อยากเชื่อก็คงต้องเชื่อแล้วล่ะ
สีหน้าของเขามีความกังขาแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ทำเพียงขับรถไปตามเส้นทางแล้วเลี้ยวเข้าคอนโดมิเนียมสุดหรูที่มีความสูงเพียงแค่สิบชั้นเท่านั้น จอดรถตรงช่องจอดพิเศษที่สามารถส่งรถของเขาไปยังช่องจอดวีไอพีได้โดยไม่ต้องขับขึ้นไปเอง
“ลงได้แล้ว” บอกคนข้างกายทำให้เธอรีบพยักหน้า ออกจากรถอย่างรวดเร็วโดยถอดเสื้อคลุมของร่างหนาแล้วถือเอาไว้ราวเป็นของชิ้นสำคัญของตนเอง ก้าวเท้าตามเขาเข้าไปในอาคารที่เปิดไฟสว่าง ค้อมศีรษะให้คนที่เปิดประตูคอยท่า พยายามก้าวขาของตัวเองให้ทันเขา ไม่วายหันไปมองด้านหลังที่รถยนต์ถูกเลื่อนขึ้นไปชั้นบนเพื่อเข้าสู่ช่องจอดเป็นที่เรียบร้อย
หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะยามเข้ามาในกล่องโดยสาร เผลอมองคนข้างกายที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก เขาเป็นหนุ่มหล่อที่ทำให้ตกตะลึงตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า ดวงตาเรียวยาว คิ้วเข้มกันเป็นทรงมีบาดแผลลึกที่ปลายคิ้วทำให้ใบหน้าดูดุมากกว่าเดิม จมูกโด่งเป็นสันกับริมฝีปากอวบอิ่มดูสุขภาพดี มองนานจนถูกจ้องกลับจึงสะดุ้งแล้วก้มหน้ามองพื้นแทน
ประตูลิฟต์เปิดออกทำให้เห็นบานประตูสีขาวตรงหน้า เพิ่งรู้ว่าเป็นลิฟต์ส่วนตัวที่เปิดหน้าห้องโดยไม่ต้องพบเจอกับคนอื่น เธอรีบเดินตามเขาโดยไม่สนใจน้ำที่หยดลงบนพื้นจากเสื้อผ้าเปียกของตัวเอง นิ้วถูกทาบลงที่ประตูดิจิตอลพร้อมเสียงปลดล็อคประตู
“ฮัลโหล น้าเอ้กว่างไหมครับ พรุ่งนี้ช่วยเอารถผมไปล้างหน่อยได้ไหม เบาะผมเปียกน่ะครับ...ฝากจัดการหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ” เข้ามาข้างในโดยที่เดินตามเจ้าของห้องไม่ห่าง เขาเองก็คุยโทรศัพท์เหมือนหล่อนไม่มีตัวตน จนวางสายไปจึงได้หันมามองกัน
“ถอดรองเท้า...ส่วนนั่นห้องน้ำ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ฉันไม่อยากให้น้ำหยดลงบนพื้นห้อง ขี้เกียจถู” หยุดชะงักไม่กล้าเดินไปไหน มองตามนิ้วของเขาที่ชี้ไปยังประตูสีขาวติดกับทางเข้าห้อง จากคำบอกเล่าคงเป็นห้องน้ำ
เพียงแต่เขาบอกให้เปลี่ยนเสื้อผ้า ทั้งที่เธอมาแค่ตัวเนี่ยนะ...
“เดี๋ยวเอาชุดฉันไปใส่ก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันว่าจะเอายังไงต่อไป” เหมือนร่างสูงจะทราบความคิดของเธอเป็นอย่างดีจึงได้อธิบาย คนฟังรีบพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ไฟเปิดสว่างทำให้เห็นหน้าของตัวเองชัดเจน
ดูไม่จืดเลยสักนิด...
ใบหน้าซีดเซียวกับแก้มที่เปื้อนดินผสมกับคราบน้ำตา รีบเปิดก๊อกน้ำแล้วล้างหน้าตัวเองให้กลับมาสดใสอีกครั้ง ย้อนคิดถึงสิ่งที่เจอก็นึกกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เผลอกำมือตัวเองแน่นจนเล็บจิกลงที่ฝ่ามือไม่รับรู้ความเจ็บ เพราะมันเจ็บที่หัวใจมากกว่า
ไม่คิดว่าความหวังดีของตนจะถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นเหยื่อเสียเอง เกือบเสียทุกอย่างไปแล้วหากไม่ได้เขาช่วยเหลือ คิดแล้วก็พลันอุ่นวาบในหัวใจ ทั้งที่เป็นคนแปลกหน้าแต่ชายหนุ่มกลับช่วยแล้วยังพามาที่ห้องอีกต่างหาก
ท่าทีของเขาไม่ได้คุกคาม แววตาก็อ่อนโยนจนเธอเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“ชุดของฉันยังไม่เคยใส่ เอาไปเปลี่ยนก่อนแล้วกัน” มองเสื้อสีขาวกับกางเกงสีดำที่ถูกพับไว้แล้วยื่นมาตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ค่อยรับมาถือก่อนแล้วปิดประตูห้องน้ำ พลันรอยยิ้มจางก็ถูกเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง
อบอุ่นและปลอดภัย...
ความรู้สึกที่ได้รับตอนนี้ปัดเป่าความเหนื่อยล้าได้หมด จนต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะได้ออกไปคุยกับเขา เหมือนว่าจะไม่มีชุดชั้นในจึงเลือกไม่สวม อย่างไรเสื้อของเขาก็ใหญ่พอจะปิดบังร่างกายของตัวเองได้
ส่องกระจกอีกครั้งเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ผมเปียกถูกซับด้วยผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ ส่วนเสื้อก็พับแขนขึ้นมาสองทบเพราะมันยาวจนถึงข้อศอก กางเกงหัวยืดถูกมัดไว้แน่นไม่ให้หลุด สีหน้าดีกว่าเมื่อครู่มากทีเดียว ส่องกระจกจนพอใจก็เดินออกมาข้างนอกโดยถือเสื้อผ้าเปียกออกมาด้วย
“เอาไปซักตรงนั้น ทำเองเป็นไหม...ฉันทำไม่เป็นหรอกนะ” เดินตามทางเข้ามายังห้องกว้างที่โอ่อ่าจนเผลอมองตกตะลึง ไม่ได้สังเกตแต่เพิ่งรู้ว่าน่าจะเป็นเพนท์เฮ้าส์เพราะห้องค่อนข้างกว้าง น่าจะประมาณสามร้อยตารางเมตรเลยก็ว่าได้
ชายหนุ่มชี้ไปยังโซนครัวที่ติดกับริมระเบียง เธอจึงรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว ใช้มือรองเอาไว้ไม่ให้น้ำหยดลงพื้น ทำการซักผ้าโดยไม่ได้ถามไถ่เขาสักคำ เล่นเอาเจ้าของห้องถึงกับขมวดคิ้วเพราะคิดว่าเธอทำไม่เป็นจะต้องถามอย่างแน่นอน
อุตส่าห์หาวิธีใช้ในอินเตอร์เน็ตจะได้บอกแล้วเชียว แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะทำได้คล่อง เหมือนเคยทำอาชีพแม่บ้านอย่างไรอย่างนั้น
“ทำไมทำเป็น” ทนไม่ไหวจนต้องเดินมาถาม
“เคยใช้ค่ะ...หนูเคยทำงานแม่บ้านให้นายฝรั่งก่อนมาไทย” คำตอบไม่น่าแปลกใจ เขาจึงพยักหน้าเป็นการรับทราบ จากนั้นจึงกวักมือเรียกแล้วเดินนำไปยังโซฟารูปตัวยูที่ตั้งกลางห้อง โดยมีโทรทัศน์ขนาดแปดสิบหกนิ้วอยู่ตรงข้ามแต่ก็แทบไม่ได้เปิดใช้
ร่างบางเดินตามแล้วกำลังจะหย่อนก้นลงที่โซฟาเยื้องกับเขา แต่ก็เปลี่ยนใจเป็นนั่งลงบนพื้นแทน ทำให้เจ้าของห้องต้องรีบร้องห้าม “เฮ้ยๆๆ นั่งบนโซฟาสิ นี่ยุคไหนแล้วมานั่งพื้นทำไม ฉันไม่ใช่เจ้าขุนมูลนายสักหน่อย” เธอยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งบนโซฟาเหมือนเดิม
