ตอนที่ 2 เงาของเมีย
ตอนที่ 2
เงาของเมีย
เช้าวันต่อมา ท้องฟ้ายังคงหม่นหมองและครึ้มจัดราวกับไม่พอใจในชะตากรรมของใครบางคน สายลมเย็นยะเยือกพัดหวีดหวิวลอดเข้ามาจากช่องหน้าต่างไม้บานเล็กทางด้านตะวันออก กลิ่นฝนเก่าที่ผสมผสานกับกลิ่นอับชื้นบางเบาของห้องนอนลอยอวลไปทั่ว ราวกับเป็นกลิ่นอายแห่งความโดดเดี่ยวที่ไม่มีวันจางหาย เมริญาลืมตาขึ้นมาอย่างเชียบช้า สัมผัสได้ถึงความเย็นที่แผ่ซึมลึกเข้าไปในอก ราวกับก้อนน้ำแข็งที่กำลังก่อตัวขึ้นในหัวใจ
หญิงสาวยังคงนอนอยู่บนเตียงเดิมในห้องเดิมห้องนอนเจ้าสาวที่ปราศจากเจ้าบ่าว ไร้ซึ่งรอยยิ้มหวานชื่น ไม่มีเสียงหัวเราะแห่งความสุขที่ควรจะบรรเลงขึ้น มีเพียงเธอ...กับหัวใจที่กำลังพยายามประคองตัวเองให้ลุกขึ้นยืนหยัดอีกครั้งท่ามกลาง ความว่างเปล่า ฝ่ามือเล็กเรียววางทาบลงบนหน้าท้องที่แบนราบอย่างแผ่วเบา สัมผัสถึงความอุ่นร้อนที่แผ่ซ่านออกมา
แม้ไม่มีหลักฐานใดยืนยันเป็นรูปธรรม แต่สัญชาตญาณอันอ่อนโยนของผู้หญิงบอกเธอว่า...
เด็กน้อยคนหนึ่งกำลังถือกำเนิดขึ้นที่นี่ กำลังค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นทีละนิดในกายเธอ อย่างเงียบเชียบและมหัศจรรย์
“เม ลงมากินข้าวเช้าไหมลูก แม่ตั้งโต๊ะไว้ให้แล้วนะ”
เสียงของแม่ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง พร้อมเสียงเคาะเบาๆ ดุจผู้หญิงที่เข้าใจโลกและรู้ว่าน้ำเสียงควรอ่อนโยนเพียงใดในวันที่ลูกสาวต้องเผชิญกับ ความเจ็บปวดเช่นนี้ เมริญาลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้าไร้เรี่ยวแรง เธอเปลี่ยนจากชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ที่บัดนี้ดูหม่นหมอง มาเป็นเสื้อยืดสีขาวบางๆ กับกระโปรงผ้าฝ้ายเก่าๆ ที่สวมใส่สบายกว่า ก่อนจะก้าวเดินลงบันไดไปทีละขั้นอย่างอ่อนล้า
เมื่อมาถึงห้องอาหาร เธอเห็นจานข้าวต้มร้อนๆ ที่ยังคงมีควันกรุ่นๆ ลอยขึ้นมา ถูกวางจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะไม้เก่าๆ เคียงข้างด้วยไข่ต้มและถ้วยเล็กๆ ที่บรรจุหมูหยองอย่างประณีตราวกับรู้ใจ
แม่ของเธอนั่งอยู่ตรงข้าม ร่างอ่อนล้าของผู้หญิงวัยหกสิบกว่าในชุดแม่บ้านสีหม่นที่ซักจนซีดจาง มองลูกสาวด้วยแววตาที่ปนเปกันไปทั้งความห่วงใยอันเปี่ยมล้นและความเจ็บปวดที่มิอาจเอ่ยออกมาได้
“ขอบคุณค่ะแม่” เมริญาก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง
เธอค่อยๆ ตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเชื่องช้า สัมผัสได้ถึงรสชาติกลมกล่อมที่ชุ่มฉ่ำอยู่ในลำคอ จนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ไม่ใช่เพราะเครื่องปรุงรสเลิศ ไม่ใช่เพราะเนื้อหมูที่นุ่มละมุนลิ้น แต่เป็นเพราะมันคือรสชาติของความรัก...เพียงความรักเดียวที่บริสุทธิ์และแท้จริง ที่เธอยังเหลืออยู่ในโลกใบนี้
“แล้ว...เมื่อคืนเขากลับมามั้ยลูก”
คำถามของแม่ถามขึ้นเบาๆ ขณะที่มือเหี่ยวย่นกำลังบรรจงปอกเปลือกไข่อย่างระมัดระวัง เมริญานิ่งไปครู่หนึ่ง หัวใจบีบรัดด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ค่ะแม่ หนูคิดว่าเขาคงไม่ได้กลับมาคืนนี้ด้วยซ้ำ...” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบจะกลืนหายไปกับสายลม
“เขา...พูดอะไรบ้างมั้ย”
แม่ยังคงถามต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกลัวจะทำร้ายจิตใจลูกสาว
เธอเงียบไปอีกครั้ง ลมหายใจสะอื้นน้อยๆ สะดุดตรงลำคอ ราวกับมีก้อนแข็งๆ จุกอยู่ที่นั้น ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกับกลัวว่าแม้แต่ตัวเองจะได้ยิน
“เขาบอกว่า...หนูเป็นแค่คนที่เขาต้องรับผิดชอบ”
แม่ของเมริญาวางไข่ต้มลงอย่างช้าๆ มือสั่นเล็กน้อย หยาดน้ำตาซึมในแววตาที่ฉายชัดถึงความเจ็บปวดลูกสาวฉันไม่สมควรได้รับคำพูดแบบนั้นเลย
แต่เธอไม่พูดถ้อยคำปลอบโยนที่อาจจะฟังดูซ้ำซากออกมา...ไม่ใช่เพราะไม่กล้า แต่เพราะรู้ดีว่าลูกของเธอเข้มแข็งพอที่จะพูดแทนใจตัวเองได้แล้ว
“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูไม่เป็นไร หนูยังมีแม่และอาจจะมีอีกหนึ่งคนกำลังจะมาเติมเต็มหัวใจหนูอีกครั้ง”
หญิงสาวพูดพลางเอามือแตะหน้าท้องเบาๆ ด้วยความอ่อนโยนและทะนุถนอม สายตาที่เคยมองเหม่อฉายแววบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ความเศร้าอีกต่อไป มันไม่ใช่หยาดน้ำตาแห่งความปวดร้าวอีกแล้ว หากแต่เป็นประกายแห่งความตั้งใจอันแน่วแน่และมุ่งมั่นที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
หลังอาหารเช้า เมริญากลับขึ้นห้องไปเก็บเสื้อผ้าอย่างเงียบๆ เธอดึงกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่เคยใช้ตอนเรียนมหาวิทยาลัยออกมา เปิดออกอย่างช้าๆ ก่อนจะแพ็กเสื้อผ้าไม่กี่ชุดที่ยังพอใช้ได้ และใส่ข้าวของจำเป็นบางอย่างลงไปอย่างบรรจง
เมริญารู้...ว่าวันนี้เธอต้องออกจากที่นี่ให้ได้ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธออีกต่อไป มันเป็นเพียงกรงทองที่ขังเธอไว้ในความเจ็บปวด
เธอไม่อาจอยู่ในสถานะเมียที่ไม่มีใครยอมรับ ไม่อาจใช้ชีวิตใต้หลังคาเดียวกับผู้ชายที่ไม่แม้แต่จะเรียกเธอด้วยคำว่าเมียจากใจจริง
หญิงสาวต้องเลือก...เพื่อชีวิตใหม่ของตัวเองและลูกที่กำลังก่อตัวขึ้นในครรภ์ เพื่ออนาคตที่สดใสของชีวิตน้อยๆ ที่เธอตั้งใจจะมอบให้ด้วยความรักทั้งหมดที่มี
เมื่อแม่เดินเข้ามาเห็นลูกสาวกำลังเก็บของก็ไม่ได้ถามอะไร ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากที่สั่นเทาของคนเป็นแม่
เพียงแต่น้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตานั้น...มันพูดแทนทุกความรู้สึก ความรัก ความห่วงใย และ ความเสียใจที่ไม่อาจบรรยายเป็นถ้อยคำได้หมด
“แม่คะ หนูจะไปอยู่กับป้าเดือนที่นครนายกก่อนนะคะ แม่อย่าห่วงหนูเลย หนูจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด หนูจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังค่ะ”
แม่พยักหน้าช้าๆ พร้อมกับน้ำตาที่รินไหล ก่อนจะก้าวเข้าไปโอบกอดลูกสาวแน่นราวกับจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่พูดอะไรเลยสักคำเพราะแม่รู้ดีว่าบางครั้ง ความรักที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเป็นถ้อยคำใดๆแค่กอดแน่นๆ ก็พอแล้ว...กอดที่สื่อถึงทุกสิ่งทุกอย่างในหัวใจ
คืนนั้นเมริญาขึ้นรถทัวร์คันเก่าที่ออกจาก หมอชิตด้วยสัมภาระเพียงหนึ่งใบที่บรรจุชีวิตทั้งหมดของเธอ เธอเลือกนั่งริมหน้าต่าง มองดูไฟถนนที่ไล่ผ่านสายตาไปทีละดวงๆ ราวกับชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่บทใหม่ มือยังคงแตะอยู่ที่หน้าท้องอยู่เสมอ ราวกับพันธสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองว่าจะไม่ยอมปล่อยให้ชีวิตน้อยๆ นี้ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดเพียงลำพัง
เธอไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเจอกับอะไรบ้างบนเส้นทางที่เลือกเดินแต่มีเพียงสิ่งเดียวที่แน่นอน...สิ่งเดียวที่เธอปักใจเชื่อมั่นเธอจะ “ไม่ยอมเป็นของขวัญที่ไม่มีใครต้องการ” อีกต่อไปแล้ว...ไม่ว่าในสถานะใดก็ตาม
ที่ห้องทำงานของปรเมศร์ในบ้านหลังใหญ่ ชายหนุ่มเพิ่งกลับมาถึงหลังจากการพบปะทางธุรกิจที่ยืดเยื้อ เขาก้าวเท้าไปที่ประตูห้องนอนของตัวเองโดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็น ความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้า
ไม่มีชุดเจ้าสาวที่เคยแขวนอยู่ ไม่มีรอยเท้าที่เคยปรากฏบนพรหมไม่มีแม้แต่กลิ่นสบู่จางๆ ที่เคยลอยมาแตะจมูกให้พอได้รู้สึกถึงการมีอยู่ของใครอีกคน
เขาเดินเข้าไปในห้องอย่างเชื่องช้า สายตาเหลือบไปเห็นเพียงแผ่นพับเล็กๆ ที่วางอยู่บนหมอนสีขาวสะอาด ผ้าห่มเด็กสีครีมอ่อนลายหมีสีน้ำตาลที่เธอเคยนั่งเย็บเล่นๆ เมื่อหลายเดือนก่อน...ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวทั้งหมดนี้ขึ้น
เขาหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมืออย่างเหม่อลอย…นิ่งงันไปนานแสนนาน ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยห้วงเวลา
หัวใจ...ที่เขาเคยคิดว่าด้านชา ไม่รู้สึกอะไรกลับเหมือนกำลังเต้นผิดจังหวะครั้งแล้วครั้งเล่า...อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
