ตอนที่ 1 ของขวัญที่ไม่มีใครต้องการ
ตอนที่ 1
ของขวัญที่ไม่มีใครต้องการ
เสียงฝนที่โหมกระหน่ำไม่ขาดสาย ฟาดกระทบผืนหลังคาเรือนหลังใหญ่ในค่ำคืนที่เหน็บหนาวและเงียบงัน มันยิ่งตอกย้ำความเปลี่ยวเหงาให้แก่หญิงสาวที่นั่งกอดเข่าตัวเองอย่างอ้างว้างอยู่มุมหนึ่งของห้องนอนที่กว้างขวางเกินไป
ห้องที่ควรจะอบอวลไปด้วยไออุ่นแห่งความสุขสมหวังของเจ้าสาวในคืนแรกของชีวิตสมรส หากแต่เวลานี้...กลับมีเพียงความว่างเปล่าที่โอบล้อมเธอไว้ทุกทิศทาง ราวกับเป็นห้วงมืดมิดที่กลืนกินทุกสิ่ง
เมริญายังคงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์งดงามราวหิมะแรก แขนเสื้อผ้าโปร่งบางเบาถูกถลกขึ้นจนยับย่นตามท่าทางที่เธอกอดเข่าชิดอก เธอซบใบหน้าลงกับหัวเข่าที่บัดนี้ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา หยดแล้วหยดเล่าซึมลึกลงสู่เนื้อผ้าของกระโปรงผืนงามที่ประดับประดาอย่างประณีต แต่กลับแทบไม่มีใครได้ชื่นชมความงามของมันเลยในค่ำคืนนี้
คืนนี้...ไม่มีกลิ่นหอมของช่อดอกไม้งดงาม ไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วของแขกเหรื่อผู้มาร่วมยินดี ไม่มีถ้อยคำอวยพรหวานซึ้งใดๆ มีเพียงความเงียบงันและความจริงอันโหดร้ายที่กัดกินหัวใจเธอ
และคำพูดเย็นชาของผู้ชายคนหนึ่งที่เธอจำได้ขึ้นใจราวกับสลักลงบนแผ่นหิน
“เราแต่งงานกันเพราะผมต้องรับผิดชอบเท่านั้น เมริญา อย่าคิดเกินเลย และอย่าหวังอะไรจากผมเลย”
เขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ ก่อนจะก้าวขาจากไปอย่างไม่ไยดี โดยไม่แม้แต่จะชายตามองเธอตรงๆ ด้วยซ้ำ ราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ ไร้ซึ่งตัวตนและความสำคัญใดๆ ในสายตาของเขา
หญิงสาวเพียงแต่ก้มหน้าซ่อนความเจ็บปวด พยักหน้าเบาๆ ราวกับหุ่นกระบอกที่ถูกเชิดให้ทำตามคำสั่ง แล้วยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างเดียวดาย จนกระทั่งเสียงฝีเท้าหนักๆ ของเขาค่อยๆ ห่างหายไปจากบันไดทีละน้อย จนเงียบสนิทลงในที่สุด...
และในวินาทีนั้นเอง น้ำตาที่กลั้นไว้ตั้งแต่เช้าจึงพลันหลั่งรินออกมาอย่างไม่อาจยับยั้งได้อีกต่อไป ราวกับเขื่อนขนาดใหญ่ที่พังทลายลงมาในพริบตา ปล่อยให้สายธารแห่งความปวดร้าวไหลบ่าท่วมท้นจิตใจที่บอบช้ำ
แม้จะไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะรักเธอเลยแม้แต่น้อย...
แต่เธอก็ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าคำว่าเมียที่ผูกพันกับชายที่เธอไม่เคยกล้าแม้แต่จะเอื้อมถึง จะเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้… เจ็บปวดราวกับถูกกรีดแทงลงกลางใจจนแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ
“เม...กินอะไรก่อนไหมลูก แม่อุ่นแกงไว้ให้”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ของแม่ดังขึ้นพร้อมน้ำเสียงอ่อนโยนที่แฝงด้วยความห่วงใยอันเปี่ยมล้นเมริญาเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า พลางฝืนยิ้มบางๆ แม้จะรู้ดีว่าไม่มีใครมองเห็นรอยยิ้มจางๆ นั้นในความมืดสลัว
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูเหนื่อยนิดหน่อย เดี๋ยวหนูขอพักนะคะ”
เธอตอบกลับไปอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ ก่อนจะก้าวเท้าอันหนักอึ้งไปล็อกประตูห้องอย่างเงียบเชียบ ราวกับไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ถึงความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใน
เมื่อกลับมายืนอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ มองตัวเองในชุดเจ้าสาวที่เคยงดงามกลับสะท้อนภาพ หญิงสาวที่เต็มไปด้วยความรวดร้าว ริมฝีปากซีดเซียวไร้สีเลือด ดวงตาแดงก่ำบวมช้ำจากการร้องไห้หนัก ผิวพรรณดูหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา แม้จะถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางราคาแพงระยับที่ปกปิดริ้วรอยแห่งความอ่อนล้า แต่กลับไม่มีสิ่งใดสามารถบดบัง ความเศร้าสร้อยในแววตาของเธอได้เลย
“วันนี้ฉันเป็นเจ้าสาว...ใช่ไหม?”
เธอพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เบายิ่งกว่าเสียงลมหายใจที่รวยริน ความจริงที่ปรากฏตรงหน้าช่างสวนทางกับความฝันในวัยเยาว์อย่างสิ้นเชิง
“หรือเป็นแค่ของขวัญที่ไม่มีใครต้องการ...”
เมริญา เติบโตมาในบ้านหลังใหญ่หลังนี้มาทั้งชีวิต ในฐานะลูกแม่บ้านเธอเคยวิ่งเล่นอย่างอิสระใต้ร่มเงาของต้นลั่นทมใหญ่ที่ออกดอกสะพรั่งหน้าคฤหาสน์ เคยเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างใหญ่จากสนามหญ้าเขียวขจี เคียงข้างแม่ที่ก้มหน้าขัดพื้นบ้านด้วยความขยันขันแข็งเสมอมา
แต่ไม่เคยเลย...ที่จะมีสักเสี้ยวความคิดว่าเมื่อโตขึ้น เธอจะต้องมาแต่งงานกับคุณปรเมศร์ชายหนุ่มผู้เจ้าระเบียบราวกับไม้บรรทัด หน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตร แต่กลับเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ที่เธอไม่เคยกล้าแม้แต่จะคิดฝันว่าจะได้ยืนเคียงข้างเขาเพียงเสี้ยวนาทีเดียวในชีวิตนี้
การแต่งงานของเธอกับเขา...เกิดขึ้นอย่างกะทันหันหลังเหตุการณ์เลวร้ายที่ไม่มีใครอยากพูดถึง วันนั้น...เขาคือผู้เดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอจากคนในครอบครัวของเขาเอง เป็นคนเดียวที่เธอกล้าฝากความไว้ใจทั้งหมดที่มีให้ และเขาก็พูดเพียงแค่ประโยคเดียวสั้นๆ ที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาลว่า...
ผมจะแต่งงานกับคุณเอง”
เขาไม่เคยถามว่าเธอต้องการไหม ไม่เคยถามว่าเธอรู้สึกอย่างไร ไม่เคยถามถึงความยินยอมพร้อมใจจากเธอเลยแม้แต่น้อย
เขาเพียงทำตาม “หน้าที่” ที่ตัวเองคิดว่าต้องรับผิดชอบ และย้ำทุกคำราวกับตอกย้ำความจริงอันเจ็บปวดในใจ
ตีสองครึ่งเสียงฝนยังคงตกไม่หยุดหย่อน เมริญาคลานลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบราวกับกลัวจะรบกวนใคร เธอเดินอย่างแผ่วเบาไปยังชั้นล่างของบ้านที่มืดมิด มีเพียงแสงสลัวจากภายนอกส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นริ้วๆ
หญิงสาวเดินไปที่ห้องครัว หยิบแก้วน้ำเย็นมาดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงที่ม้านั่งไม้เก่าๆ ที่เป็นของใช้ชิ้นเดียวของแม่ที่เธอรู้สึกผูกพัน มือบางยกขึ้นลูบท้องแบนราบของตัวเองอย่างช้าๆ แผ่วเบาด้วยความรู้สึกที่ปะปนกันไปหมด
แม้จะยังไม่แน่ใจเต็มร้อย...แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของตัวเอง ความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากเดิม
บางที...อาจมีอีกชีวิตหนึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ในนี้... กำลังถือกำเนิดขึ้นในครรภ์ของเธอ
เธอกลัวเหลือเกิน กลัวความโดดเดี่ยวที่กำลังจะมาถึง กลัวการต้องเลี้ยงดูชีวิตเล็กๆ คนหนึ่งเพียงลำพังในโลกที่กว้างใหญ่และโหดร้ายใบนี้
แต่ในขณะเดียวกัน...เธอก็รู้ว่า เธอไม่อาจยอมให้ใครพรากชีวิตน้อยๆ นี้ไปจากเธอได้
“ถ้าลูกเกิดมาจริง ๆ แม่สัญญาว่าจะรักลูกให้มากที่สุด...”
น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่คำพูดเหล่านั้นหนักแน่นมั่นคงราวกับคำสาบานที่ให้ไว้กับตัวเองและชีวิตน้อยๆ ในครรภ์
“แม้ไม่มีพ่อ...แม่ก็จะเป็นบ้านที่ดีที่สุดให้ลูก... แม่จะปกป้องลูกด้วยชีวิต”
น้ำตาหยดใหม่รินไหลลงมาอาบแก้มอีกครั้ง คราวนี้...ไม่ใช่เพียงเพราะความเศร้าโศกเสียใจเท่านั้น
หากแต่เพราะความกลัวอันบริสุทธิ์ของคนเป็นแม่...และความเข้มแข็งที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นอย่างเงียบๆ ในใจของแม่คนหนึ่งที่พร้อมจะลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องชีวิตอันเป็นที่รัก
ที่อีกฟากของเมือง ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร ปรเมศร์นั่งอยู่ในห้องชุดอันเงียบสงบที่โรงแรมหรูใจกลางเมือง เขามองจอโน้ตบุ๊กตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า มือไม่ได้แตะต้องมันเลยแม้แต่น้อย
เขานั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยใจไปกับเสียงฝนที่ยังคงกระหน่ำไม่ขาดสาย พลางนึกถึงดวงตาคู่หนึ่งของผู้หญิงคนนั้น... ผู้หญิงที่นั่งก้มหน้าก้มตาเซ็นทะเบียนสมรสโดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาด้วยซ้ำ
เธอไม่มีคำถาม ไม่มีข้อแม้ ไม่มีน้ำตาต่อหน้าเขาเลยแม้แต่หยดเดียวเธอแค่...นิ่ง...นิ่งงันราวกับไร้ความรู้สึกและความนิ่งนั้นเอง ที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด มันกัดกินอยู่ในใจเขาอย่างไม่มีเหตุผล
เขาไม่เคยรักเธอ...เขาบอกตัวเองซ้ำๆ ราวกับพยายามตอกย้ำความจริงอันโหดร้ายนี้ลงไปในจิตใจที่เริ่มหวั่นไหว
แต่ทำไม…ใบหน้าซีดเผือดใต้ชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์นั้น ถึงยังวนเวียนอยู่ในหัวของเขาไม่ยอมหายไปไหน... ราวกับเป็นเงาตามตัวที่คอยหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา
